วันรุ่งขึ้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์แห่งหอดารารักษ์มารวมตัวกันมีผู้หนึ่งถามว่า “ศิษย์พี่เทียนหนิง เรียกพวกเรากลับมาเช่นนี้เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?”“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเทียนหนิง ภารกิจทดสอบของพวกเรายังมิเสร็จสิ้น มีเรื่องกระไรเจ้าก็รีบพูดมาเถิด”ทุกคนต่างแย่งกันกล่าวเซ็งแซ่เย่เทียนหนิงปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม แล้วกล่าวว่า “เหล่าสหายพี่น้องร่วมสำนัก ท่านเจ้าสำนักได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ฉินซูมาเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์ของเรา เรื่องนี้ พวกท่านไม่มีความเห็นใดเลยหรือ?”“ฉินซู? รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งราชวงศ์ต้าเหยียนผู้นั้นน่ะหรือ?”“นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า”“มิใช่กระมัง? ข้าได้ยินมาว่า บุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสซือคงต่างก็สิ้นชีพด้วยน้ำมือฉินซู ท่านเจ้าสำนักยังให้เขามาเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่อีกหรือ?”“ฉินซูคือศัตรูของหอดารารักษ์ของเรา ท่านเจ้าสำนักกระทำเช่นนี้ มันเหยียบย่ำจิตใจของเรายิ่งนัก”ทุกคนพากันแสดงความคิดเห็นเซี่ยจื่อผิงกล่าวว่า “ทุกท่าน ท่านอาจารย์อาวุโสรองได้สนทนากับท่านเจ้าสำนักแล้ว ท่านเจ้าสำนักกล่าวว่า ให้พวกเราที่มีความเห็นต่างไปสนทนาย
ในใจของเย่เทียนหนิงเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกผิดเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ใกล้ เขาจึงอธิบายว่า “ข้าก็บ่นไปอย่างนั้นเอง ใจจริงยังคงเคารพยำเกรงท่านเจ้าสำนักหาใดเปรียบได้”เซี่ยจื่อผิงถามว่า “ว่าแต่ ท่านอาจารย์อาวุโสรองน่าจะเลิกกักตนบำเพ็ญแล้วกระมัง?”เย่เทียนหนิงพยักหน้า “ท่านเลิกกักตนตั้งแต่เช้าตรู่วันนี้แล้ว”“แล้วอาจารย์ท่านมีความเห็นอย่างไรเรื่องแต่งตั้งฉินซูเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่?”“อาจารย์ท่านมิได้กล่าวกระไร แต่ดูจากสีหน้าของท่าน คงมิสบายใจอย่างแน่นอน”“เช่นนั้น พวกเราก็รอดูสถานการณ์ไปก่อนเถิด คำพูดของผู้อาวุโสย่อมมีน้ำหนักกว่าคำพูดของเรานับพันเท่า”เย่เทียนหนิงพยักหน้าช้า ๆ “ตอนนี้ก็ทำได้แต่เพียงเท่านี้”จากนั้น ชายทั้งสามก็เดินตรงไปยังหอดารารักษ์หอดารารักษ์ในยามนี้ซ่างกวนอวิ๋นซีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เบื้องหน้าของนางคือชายชราสวมชุดคลุมสีเทา!ชายชราผู้นี้รูปร่างผอมซูบ ใบหน้าซีดเหลือง ทว่าดวงตาทั้งสองข้างคมกริบราวกับดวงตาของพญาอินทรีคนผู้นั้นคือ หยางคุน ผู้อาวุโสอันดับสองแห่งหอดารารักษ์!เขาประสานมือคารวะซ่างกวนอวิ๋นซี กล่าวอ้
ฉินซูหยุดฝีเท้า มองสำรวจอีกฝ่ายด้วยความสงสัยเล็กน้อยชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาว ปกเสื้อปักสัญลักษณ์เฉพาะของหอดารารักษ์เป็นคนของหอดารารักษ์จริง ๆ ด้วย!ฉินซูเลิกคิ้วถามว่า “มีธุระกระไร?”ชายผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งว่า “ได้ยินมาว่า เจ้าเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์ของเรา?”“แล้วอย่างไรเล่า?”“หึ ข้ามานี่เพื่อเตือนเจ้า รีบไสหัวกลับต้าเหยียนของเจ้าไปเสีย เป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ของเรามิต้อนรับเจ้า!”เห็นเขาว่าไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ฉินซูก็คร้านจะโต้เถียงกับเขา เขาปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วทว่า ชายผู้นั้นกลับมิยอมหยุด ร่างวูบไหวเข้ามาขวางทางฉินซูอีกครั้งฉินซูขมวดคิ้วอย่างเสียมิได้ กล่าวว่า “ตกลงเจ้าต้องการสิ่งใด?”ชายผู้นั้นกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่ข้าพูดไปชัดเจนแล้ว หอดารารักษ์ของเรามิต้อนรับเจ้า เจ้าจงไสหัวไปเสียบัดนี้!”“แล้วหากข้ามิไปเล่า?” ฉินซูมองเขาด้วยความสนใจ“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็อย่าโทษว่าข้าไร้ความปรานี!”ชายผู้นั้นกล่าวจบ ฝ่ามือก็ฟันลงที่หน้าอกฉินซูด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเร็วจนเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศเล็กน้อย!ฉินซูเพียงปัดมือเบา ๆ
ชายชุดดำสองสามคนสบตากันโดยมิรู้ตัว ต่างคนต่างลังเลเมื่อเห็นดังนั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ฟาดมืออีกครั้งอย่างมิปรานีชายชุดดำอีกคนถูกนางตบจนกลายเป็นหมอกเลือด!อีกสองคนที่เหลือตกใจจนตัวสั่นเทา รีบกล่าวว่า “จุดประสงค์อีกอย่างของพวกเราคือการหาวิธีทำลายเขตต้องห้ามของหนองน้ำอัสดง แล้วปล่อยสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ข้างในออกมาขอรับ”“ถูกต้อง ๆ นี่เป็นคำสั่งของหัวหน้าป้อมปราการของเราเอง ส่วนข้างในผนึกสิ่งใดไว้ พวกเราก็มิทราบเช่นกันขอรับ”“แล้วหน่วยสอดแนมของตงอี๋พวกนั้นไปที่หนองน้ำอัสดงด้วยจุดประสงค์ใด?” ซ่างกวนอวิ๋นซีซักถามอีกครั้งชายชุดดำตอบว่า “พวกเขาไปสำรวจตำแหน่งที่ตั้ง พยายามจะให้กองทัพใหญ่ข้ามผ่านหนองน้ำอัสดงไปโดยตรง แล้วเข้าโจมตีเมืองซิ่งหลิงแห่งเป่ยเยี่ยนของพวกท่าน”“พูดเช่นนี้ แสดงว่าตงอี๋ของพวกเจ้าคิดจะเปิดศึกจริง ๆ รึ?”“น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ รายละเอียดปลีกย่อยพวกข้าน้อยก็มิทราบแน่ชัด”“ท่านเจ้าสำนัก พวกข้าน้อยสารภาพตามความเป็นจริงแล้ว ขอท่านโปรดเมตตาไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดขอรับ”คนทั้งสองกล่าวพลางโขกหัวคำนับกับพื้นต่อซ่างกวนอวิ๋นซีถี่ ๆซ่างกวนอวิ๋นซีโบกมืออย่างมิพอใจ “ไปให้พ้น!”ไ
หิมะขาวบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป สะท้อนแสงสีเงินยวงภายใต้แสงจันทร์มองออกไป เห็นร่างหลายร่างกำลังห้อตะบึงอยู่บนพื้นหิมะ มุ่งตรงมาทางฉินซูซ่างกวนอวิ๋นซีมองดูทางนั้นแล้วแค่นเสียงเย็นชา “หึ ยังกล้ากลับมาอีกรึ ในเมื่ออยากรนหาที่ตายนัก ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์เอง!”ฉินซูเลิกคิ้วถามว่า “หมายความว่า พวกเขาเป็นคนจากป้อมแมงป่องบินหรือ?”ซ่างกวนอวิ๋นซีแค่นหัวเราะ “นอกจากพวกเขาแล้วจะเป็นใครได้อีก!”ฉินซูขมวดคิ้ว พวกคนจากป้อมแมงป่องบินตายด้วยคมกระบี่มารไปแล้วนี่ พวกที่กำลังมาคงมิใช่พวกพ้องของพวกเขาหรอกกระมัง?ขณะที่เขากำลังคาดเดา เงาร่างเหล่านั้นก็ได้มาถึงด้านหน้าแล้วและหยุดอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้นคนเหล่านี้สวมชุดคลุมสีดำ อกเสื้อปักลายแมงป่องบิน เป็นสมาชิกของป้อมแมงป่องบินอย่างแท้จริง“เฮ้ย! พวกเจ้าเป็นใคร มาทำกระไรที่นี่?” ชายร่างใหญ่สามคนถามขึ้น“จะเสียเวลาพูดกับพวกมันหาปะไร จับมาเค้นคอถามก็สิ้นเรื่อง ลงมือ!”ชายชุดดำอีกคนกล่าวจบก็ตั้งท่าเตรียมจะลงมือทันใดนั้นเอง ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ยิ้มแล้วหันกลับมาเมื่อเห็นหน้าตาของนางอย่างชัดเจน ชายชุดดำหลายคนถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งคนหนึ่งถ
“ข้าจะเก็บกุญแจไว้ก่อน รอให้การประชุมระหว่างแคว้นสิ้นสุดลงแล้วจะมอบให้เจ้า” ซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวพลางแย่งกุญแจทองคำมาซ่อนไว้ในอกเสื้อฉินซูก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใดทั้งสองคนค้นหาในห้องหินอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่นแล้วจึงหันหลังออกไปออกมาถึงนอกถ้ำหิน ซ่างกวนอวิ๋นซีก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน นางขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆฉินซูถามด้วยความสงสัยว่า “มีกระไรรึ?”ซ่างกวนอวิ๋นซีส่ายหน้าในที่สุด “ไม่มีกระไร พวกเราไปกันเถิด”นางจับแขนของฉินซู ร่างก็พุ่งทะยานไปยังยอดผาสูงร้อยจั้ง!ในขณะเดียวกันในห้องหินเมื่อครู่นั้น ร่างที่เกือบจะโปร่งใสโดยสมบูรณ์ร่างหนึ่งก็ลอยออกมาจากที่ใดก็มิทราบได้“รอคอยมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้พบคนประเภทเดียวกัน วันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนเปิดออก จะเป็นวันที่ข้าได้ชีวิตใหม่ ฮ่า ๆ ๆ!!”เสียงหัวเราะแหลมคมก้องกังวานไปทั่วห้องหินครู่ต่อมา ร่างเงาจาง ๆ นี้ก็หายลับไปในความมืดมิด......“นี่ ข้าว่าพวกเราหลงทางแล้วกระมัง?”ฉินซูลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยปากถามออกมาบัดนี้พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ทั้งสองคนก็ยังมิหลุดออกจากดินแดนรกร้างแห่งนี้เลยซ่างกวนอว