เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดจนพูดมิออกไปครู่ใหญ่หวังจื่อโหรวเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากับสาวงามเช่นนี้ ฉินซูกลับลงมืออย่างไร้ความปรานี โดนฝ่ามือตบลงไปเมื่อครู่ บั้นท้ายคงจะแดงก่ำเสียแล้วสาวงาม มิใช่มีไว้ให้ทะนุถนอมหรอกหรือ?เหตุใดฉินซูถึงทำได้ลงคอ?ส่วนหวังจื่อโหรวในยามนี้ทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น อยากจะขุดหลุมมุดหนีให้สิ้นเรื่อง ต่อให้เอาวัวสิบตัวมาลากก็จะมิออกมาตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนตีบั้นท้ายของนาง!แถมคนที่ลงมือยังเป็นบุรุษ ที่ร้ายแรงที่สุดคือตีนางต่อหน้าศิษย์ร่วมสำนักมากมายเช่นนี้!ต่อไปจะมีหน้าไปพบคนอื่นได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังจื่อโหรวก็คับแค้นใจจนน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของนาง ฉินซูก็พึมพำด้วยสีหน้าประหลาดใจ "ข้าตบเจ้าไปแค่ทีเดียวเอง ด้วยพลังของเจ้า มิน่าจะร้องไห้เพราะถูกข้าตบทีเดียวกระมัง?""ฉินซู เจ้าคนสารเลว ฮือ ๆ... ข้าจะฆ่าเจ้า แน่จริงก็ปล่อยข้าสิ ข้าฆ่าเจ้าแน่!"หวังจื่อโหรวร้องไห้ฟูมฟายราวกับดอกสาลี่ต้องฝน แต่ยังมิวายขู่ฟ่อ ๆฉินซูพลันโมโหจนเลือดขึ้นหน้า "ให้ตายสิ ข้าไ
“ศิษย์พี่จื่อผิง ให้ข้าจัดการเขาเอง!”เซี่ยจื่อผิงตะลึงไปครู่หนึ่ง พึมพำว่า “อา! ศิษย์น้องหญิงจื่อโหรว เจ้า...”ดวงตาคู่สวยของหวังจื่อโหรวทอประกาย “รัชทายาทผู้รอวันปลดผู้นี้หยามท่านเกินไปแล้ว ข้าทนกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้มิไหว ศิษย์พี่รออยู่ข้าง ๆ สักประเดี๋ยว ข้าจะทำให้เขาคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาให้ได้!”เซี่ยจื่อผิงหัวใจพองโตเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขาหลงรักหวังจื่อโหรวมานานแล้ว เพียงแต่มิเคยมีโอกาสดี ๆ ที่จะเปิดเผยความในใจเขามิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ยามนี้นางจะออกหน้าเพื่อตนวันนี้แม้จะพ่ายแพ้ให้ฉินซู แต่กลับได้ใจหญิงงามมาครอบครอง เช่นนี้ก็มินับว่าขาดทุนแล้ว!เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความชิงชังที่เซี่ยจื่อผิงมีต่อฉินซูก็ลดน้อยลงไปมาก“ดี! ศิษย์น้องหญิง เจ้าจงระวังตัวให้ดี ศิษย์พี่จะคอยหนุนเจ้าเอง!”พูดจบ เขาก็ยืนอยู่ด้านข้าง จ้องมองหวังจื่อโหรวด้วยแววตาเปี่ยมรักผู้ชมรอบแท่นประลองเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง“ศิษย์พี่หวังเป็นยอดฝีมือขั้นปลายระดับปฐพีของแท้เชียวนา คราวนี้ฉินซูคงหนีมิรอดแล้วกระมัง?”“ใช่แล้ว ครึ่งก้าวย่ำสวรรค์! ตอนนี้ฉินซูเป็นเพียงขั้นปลายระดับปฐพี ห่างกันถึงสองระดั
เซี่ยจื่อผิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือสังหารเขา อย่างมากก็แค่ไปรับโทษจากท่านเจ้าสำนักในภายหลังเขามองฉินซูด้วยใบหน้าเย้ยหยัน "ไร้อาวุธลับเช่นเมื่อครู่แล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเอากระไรมาชนะข้า รับนี่ไป!"สิ้นเสียง กระบี่ยาวในมือของเซี่ยจื่อผิงก็หลุดออกจากฝักทันใด!เขางอเข่าทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างพุ่งเข้าใส่ฉินซูราวกับลูกปืนใหญ่ตัวคนยังไปมิถึง เขาก็ใช้สองมือจับกระบี่ฟาดปราณกระบี่ออกไปอย่างแรง!ปราณกระบี่อันว่องไวรุนแรงพุ่งเข้าใส่ฉินซูด้วยความเร็วสายฟ้าฟาดผู้คนรอบแท่นประลองต่างจ้องมองฉากนี้ตามิกะพริบ!หลายคนมองฉินซูด้วยสายตาประหนึ่งมองร่างไร้วิญญาณเพราะพวกเขามองออกว่าเซี่ยจื่อผิงตั้งใจจะสังหารจริง ๆมิฉะนั้นคงเป็นไปมิได้ที่จะลงมือสุดกำลังตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุดัน ฉินซูกลับแสดงท่าทีสงบนิ่งไร้ใดเปรียบในขณะที่ปราณกระบี่อันแหลมคมกำลังจะฟันถึงตัว ฉินซูก็เคลื่อนไหว!เขาก้าวไปทางขวาหนึ่งก้าว ปราณกระบี่นั้นก็ฟาดฟันใส่ความว่างเปล่าทันที!เปรี๊ยะ!เสาไม้ต้นหนึ่งข้างแท่นประลองถูกปราณกระบี่ฟันจนแตกเป็นชิ้น แสดงให้เห็นว่ากระบวนท่านี้ของเซี่ยจื่อผิงนั้นรุนแร
ฉินซูจ้องนาง แล้วหันหลังลงไปชั้นล่างครู่ต่อมาซ่างกวนอวิ๋นซีโบกมือข้างหนึ่ง เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏภาพลานฝึกขึ้นนางก็เอนกายพิงเก้าอี้พลางมองภาพเหตุการณ์นั้นด้วยความสนใจภายในลานฝึกจางซิงเยาะเย้ยฉินซู “ฉินซู ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เสียแต่โดยดีเถิด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเรามือเท้าไม่มีตา!”“ใช่แล้ว บัดนี้เจ้ามีวรยุทธ์เพียงขั้นต้นระดับปฐพีเท่านั้น พวกเราเกือบทุกคนที่นี่ก็อัดเจ้าจนฟันหลุดเต็มพื้นได้กันทั้งนั้น!”“อย่าเลย หากเขายอมแพ้ พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้ระบายความโกรธแค้นในใจแล้วสิ”มีผู้หนึ่งยุยงฉินซูด้วยเจตนาร้าย “ฉินซู เจ้าอย่าเพิ่งยอมแพ้หนา ข้าเอาใจช่วยเจ้าอยู่!”ฉินซูเหลือบมองพวกเขาก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวทีประลองในลานฝึกท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกผู้ทุกคนเมื่อเห็นดังนั้น เย่เทียนหนิงก็กระโจนขึ้นไปบนเวทีอย่างมั่นคงมิไหวติงมีผู้หนึ่งกล่าวชมทันทีว่า “ศิษย์พี่เทียนหนิง ท่วงท่าช่างงดงามยิ่งนัก!”เย่เทียนหนิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็กวักนิ้วเรียวยั่วยุฉินซู“รัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้าลงมือก่อนได้เลย ข้าต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า!”“โอ้ เจ้าพูดเองแล้วนะ!”ฉินซูแสยะยิ้ม ควักระเบิดสายฟ้า
ได้ยินคำกล่าวของฉินซูดังนั้น เย่เทียนหนิงและคนอื่น ๆ ต่างก็โกรธขึ้ง!“โอหัง ช่างโอหังนัก!”“รัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้ามิเห็นหัวผู้ใดเลย หรือคิดว่าพวกเรากลัวเจ้า?”“เจ้าคนเดียวคิดจะท้าทายหอดารารักษ์ของเราทั้งหมดรึ? ฉินซู เจ้ามิคิดว่าประเมินตัวเองสูงไปหน่อยหรือไร?”“ข้าว่าเขาคงเคยชินกับการอวดเบ่งในต้าเหยียนกระมัง ถึงได้คิดว่าหอดารารักษ์ของเราจะยอมทนเขาไปทุกเรื่อง!”“ฉินซู เจ้าจะต้องชดใช้ให้แก่ความโอหังของเจ้า!”“...”ทุกคนพูดจาต่อว่าฉินซู คนละคำสองคำฉินซูแบมือกล่าวว่า “ข้าว่า พวกเรามาลงมือกันเลยดีกว่า อย่ามัวแต่พล่ามอยู่เลย ข้าเองก็ยุ่งมากเช่นกัน หากพวกเจ้ามิกล้า ก็หุบปากเสีย”เย่เทียนหนิงและคนอื่น ๆ ถึงกับพูดมิออกพวกเขามิกล้าลงมือจริง ๆ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาทุกคนก็ต่างทราบกันดีว่า หนานกงจื่อชินและผู้อาวุโสซือคงต่างก็สิ้นชีพด้วยน้ำมือของฉินซูผู้อาวุโสซือคงเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์ตัวจริง หากมิใช่ผู้อาวุโสท่านอื่นยอมรับจากปาก พวกเขาคงมิเชื่อว่า ยอดฝีมือเช่นนั้นจะตายด้วยมือองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดอย่างฉินซูท้ายที่สุดแล้ว อายุของฉินซูก็มิได้ต่างกับพวกเขามากนัก ในหมู่พวกเขายังมีผู
เมื่อคณะของพวกเขาลุกขึ้นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดสิ่งใดเพียงเพราะร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีแผ่แรงกดดันที่มองมิเห็นออกมา ทำให้พวกเขาหายใจลำบาก“ได้ยินมาว่า พวกเจ้าคัดค้านนักหนาต่อเรื่องที่ข้าจะตั้งฉินซูเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่หรือ?” ซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆเย่เทียนหนิงรวบรวมความกล้า เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ ท่านเจ้าสำนัก ฉินซูผู้นั้นเป็นศัตรูของหอดารารักษ์ของเรา อีกทั้งยังเป็นคนต่างแดน คนเช่นนี้จะมาเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ของเราได้อย่างไรขอรับ!”“ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนัก ถึงจะตั้งบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ ก็ควรเลือกจากในหมู่ศิษย์รุ่นหลังของเราเอง”“มิผิดขอรับ แม้วรยุทธ์ของพวกเราจะมิได้เก่งกาจ ก็ควรจะเสาะหาจากคนในเป่ยเยียนของเรา มิใช่ให้รัชทายาทต่างถิ่นอย่างฉินซูมาเป็น!”“ฉินซูผู้นั้นเป็นเพียงรัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียน เขามิคู่ควรที่จะเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์หอดารารักษ์ของเรา!”เมื่อมีผู้หนึ่งเริ่มต้นแล้ว ทุกคนก็พากันแสดงความคิดเห็นกันอย่างคับคั่งซ่างกวนอวิ๋นซีโบกมือ คนทั้งหลายก็พลันปิดปากเงียบ!เห็นนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไป เรี