ชายร่างใหญ่พูดอย่างหยิ่งผยองว่า “เช่นนั้นก็ฟังให้ดี พวกเราคือห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซาน คนนี้คือพี่ใหญ่ของเรา ตงฟางไป๋ ฉายาในยุทธภพคือมังกรข้ามแม่น้ำ! ส่วนข้า คือเศียรเสือดาว ตงฟางโซ่ว!”ฉินซูมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วพึมพำว่า “ห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซานอะไรกัน มิเคยได้ยินมาก่อนเลย!”ตงฟางโซ่วโกรธจนแทบคลั่ง ตะโกนว่า “นั่นเพราะเจ้าโง่เขลา! พูดมากหาปะไร มิอยากมีเรื่องก็รีบไสหัวไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเตือน!”ชายร่างใหญ่ข้าง ๆ เขาตะโกนเสียงดังว่า “พี่รอง จะไปเสียเวลากับพวกมันด้วยเหตุใดเล่า รีบไปล่อเจ้าเดรัจฉานนั่นออกมา พวกเขามิไป ก็ปล่อยให้เป็นอาหารของเจ้าเดรัจฉานนั่นซะ”“ใช่ พวกเรายังสามารถฉวยโอกาสตอนที่เจ้าเดรัจฉานนั่นกำลังกินเจ้านี่อยู่ แอบเข้าไปโจมตีมันจากด้านหลังได้... เอ๊ะ? นั่นอะไรน่ะ?”อีกคนพูดพลางมองไปทางด้านหลังของฉินซูโดยมิตั้งใจ แล้วก็สังเกตเห็นชิ้นเนื้อยาว ๆ ที่นอนอยู่ด้านหลังเขาเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้น ต่างก็หันไปมองตามทิศทางที่เขาชี้“เอ๊ะ?! นั่นดูเหมือน... เนื้องูหรือเปล่า?”“เนื้องูจริง ๆ ด้วย เจ้าดูสิ ตรงนั้นที่ตากไว้นั่นมิใช่หนังงูหรอกรึ!”“หนังงูสีทอง?!
“ข้ามิได้ตาบอด หญิงงามเช่นนี้ข้าจะมองมิเห็นได้อย่างไร!”ตงฟางไป๋บ่นพึมพำ แล้วหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉินซู “เจ้าหนุ่ม ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มิต้องจ่ายเงินชดเชยก็ได้ ข้าจะเอาหญิงงามผู้นี้!”ฉินซูยกนิ้วโป้งให้เขา “เจ้าตัวใหญ่ เจ้ายังถือว่าใจดีอยู่นะ หากเป็นโจรป่าคนอื่น คงจะเลือกเอาทั้งเงินทั้งหญิงงามไปแล้ว”ตงฟางไป๋โบกมืออย่างองอาจ “พวกเราห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซาน มิเหมือนโจรป่าพวกนั้นหรอก เจ้าฆ่างูยักษ์อำพันของเรา เอาหญิงงามผู้นี้มาชดใช้ก็พอดีแล้ว เจ้าไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”“แน่นอน ข้าไม่มีปัญหา แต่นางจะมีปัญหาหรือไม่ ข้ามิรับประกัน”“หึหึ หญิงคนหนึ่ง นางจะกล้ามีปัญหาอะไร!”ตงฟางไป๋ยิ้มกว้าง แล้วเดินอาด ๆ ไปหาฉงชูโม่ฉงชูโม่ยืนกอดอก ยิ้มหวานให้เขาหลังจากเห็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหลของฉงชูโม่ เขาก็ลืมแม้กระทั่งว่าพ่อของเขาชื่ออะไรไปแล้วเขาถูมือด้วยความตื่นเต้น และพูดด้วยสายตาเป็นประกายว่า “แม่นาง ต่อจากนี้ไปเจ้าจะเป็นหญิงของข้า ตงฟางไป๋ ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปใช้ชีวิตอิ่มหนำสำราญ!”ฉงชูโม่ถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่างูยักษ์อำพันตัวนั้นมีค่าแปดร้อยตำลึงใช่หรือไม่?”“ใช่ ๆ ๆ”“เ
เห็นบรรยากาศตึงเครียด ฉินซูจึงโบกมือไปทางพวกเขา“นี่ ข้าว่าพวกเจ้าผู้กล้าทั้งห้ามิควรชักดาบขู่ผู้หญิงเลย มิเช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเรามาต่อสู้กันอย่างลูกผู้ชาย เป็นอย่างไร?”ได้ยินดังนั้น ตงฟางไป๋เลิกคิ้วเย้ยหยัน “พูดเยี่ยงนี้ หมายความว่าเจ้าจะสู้กับพวกเราคนเดียวงั้นรึ?”“หามิได้ ๆ การประลองฝีมือ มิจำเป็นต้องใช้ดาบหรือกระบี่เสมอไป เยี่ยงนั้นจะทำลายมิตรภาพอันดีของเราเสียเปล่า”ฉงชูโม่มิเข้าใจว่าฉินซูต้องการทำอะไร แต่นางก็มิได้ให้ความสำคัญกับห้าผู้กล้าแห่งเขาวู่ซานพวกนี้อยู่แล้ว จึงพูดอย่างดูถูกว่า “มิต้องยุ่งยากปานนั้นหรอก พวกเขาอยากจะลงมือ ข้าก็จะซัดพวกเขาให้น่วมไปเลย”ทันใดนั้น ตงฟางโซ่วก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาจึงกระซิบกับตงฟางไป๋ว่า “พี่ใหญ่ งูยักษ์อำพันแข็งแกร่งมาก ครั้งที่แล้วพวกเราหลายคนร่วมมือกันยังทำอะไรมันมิได้ ตอนนี้มันกลับถูกคนสองคนนี้ฆ่า แสดงว่าทั้งสองคนนี้ต้องมีความสามารถมิธรรมดา แทนที่จะสู้กันซึ่งหน้า สู้ไปฟังว่าเจ้าเด็กนั่นอยากจะประลองแบบไหนดีกว่า!”ตงฟางไป๋พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “แม่นาง มิใช่ว่าพวกเราพี่น้องกลัวเจ้าหรอกนะ แต่พวกเรากลัวว
ตงฟางไป๋และเหล่าสหายดีใจมาก จึงลุกขึ้นจะไปพาฉงชูโม่ไปด้วยแต่ในเวลานี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รู้สึกเลือดในร่างกายพลุ่งพล่าน รูม่านตาและจมูกราวกับจะพ่นไฟออกมา!“พี่… พี่ใหญ่ ข้า… ข้าร้อนเหลือเกิน…”“ข้าก็ร้อน อืม… แม่หม้ายหวัง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ตงฟางโซ่วพูดพลางโอบกอดตงฟางไป๋ตงฟางไป๋พึมพำด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “แม่นาง เจ้าเป็นของข้าแล้ว!”จากนั้น ชายฉกรรจ์สองคนก็กอดกันและจูบกันคนอื่น ๆ ก็โอบกอดกันและทำสิ่งเดียวกัน“อุก…”เมื่อเห็นฉากที่แสบตานี้ ฉงชูโม่รู้สึกอยากจะอาเจียน และอดมิได้ที่จะพึมพำว่า “องค์รัชทายาท ท่านช่างมีแผนการที่แย่เสียจริง”ฉินซูหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ข้าเรียกสิ่งนี้ว่า สุภาพบุรุษใช้ปากมิใช้มือ! เอาเถอะ เก็บของแล้วไปกันต่อเถอะ”มินานนัก พวกเขาก็ออกจากที่นี่ไปหลังจากกลับมาที่ถนนหลวง ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท หม่อมฉันสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เหตุใดท่านถึงต้องทำเรื่องที่มิจำเป็นด้วยเล่า?”ฉินซูอธิบายอย่างมีความหมายว่า “ปล่อยให้มีที่ว่างไว้บ้าง ในภายหน้าจะได้เจอกันได้ นี่คือยุทธภพ!”“ท่านให้พวกเขากอดกันและจูบกัน
อีกครั้งที่ยามพลบค่ำมาเยือนหลังจากเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งวัน ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าหยางซานทั้งสองกำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อหาโรงเตี๊ยมพักทันใดนั้น กลุ่มคนก็วิ่งออกมาจากป่าข้างทาง!ผู้นำเป็นชายวัยสี่สิบกว่าสวมชุดดำเขาถือกระบี่ยาวไว้ในอ้อมแขน เหลือบมองฉินซู แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ว่า “องค์รัชทายาท ในที่สุดท่านก็มาถึง ทำให้พวกเราต้องรอนานจริง ๆ!”ฉินซูมองเขาอย่างพิจารณา แล้วถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าเป็นคนของใคร? อ๋องฉีหรืออ๋องจิ้น?”ชายชุดดำหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท ท่านคิดว่ากระหม่อมจะโง่ขนาดบอกคำตอบให้ท่านงั้นหรือ?”“เจ้าก็โง่มิเบานะ ที่กล้าลงมือกับข้า เจ้ามิรู้หรือว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ ข้านี้คือใคร?”“แม่ทัพใหญ่แห่งแดนใต้ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่สองรองจากเหลยเจิ้น ฉงชูโม่!”ฉินซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าเป็นนาง แล้วพวกเจ้ายังกล้าลงมืออีกงั้นรึ?”ชายชุดดำพูดอย่างมิสะทกสะท้าน “สองหมัดหรือจะสู้สี่มือ ยิ่งพวกเรามีคนมากขนาดนี้ และที่สำคัญพวกเรามีสิ่งนี้ด้วย!”ทันทีที่เขาพูดจบ เหล่าลูกน้องที่อยู่ด้านหลังก็ชักหน้าไ
หากยังปล่อยให้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้แต่ฉงชูโม่ก็ยังยากที่จะหลบหนีไปได้โดยปลอดภัยฉินซูตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “เจ้าป้องกันไว้ก่อน ข้าจะมอบของขวัญให้พวกเขา”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้ว แต่มิได้ถามอะไรเพิ่มเติม หลังจากปล่อยฉินซูไป ปราณบริสุทธิ์ภายในของนางก็เพิ่มขึ้น นางปล่อยฝ่ามือสองครั้งไปยังอากาศว่างเปล่าข้างหน้านาง!กระแสพลังฝ่ามือที่พัดแรงนั้นทำให้ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาตกลงสู่พื้นทันทีเมื่อชายชุดดำเห็นดังนั้น เขาจึงดึงคันธนูขึ้นมาเตรียมที่จะลงมือเองในขณะนั้นเอง ฉินซูยิ้มกว้าง “นี่ ข้าจะให้ของขวัญแก่พวกเจ้า!”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็โยนของในมือออกไปพลธนูคนหนึ่งรับของไว้โดยมิรู้ตัว พลันสีหน้าตกตะลึงสิ่งที่เขาเห็นคือ ลูกเหล็กขนาดเล็กทรงรีลูกหนึ่งที่มีสายชนวนกำลังปล่อยควันออกมาเขามิเข้าใจจริง ๆ ว่าลูกเหล็กในมือของเขาคืออะไรชายชุดดำที่ไหวพริบดีได้กลิ่นอันตราย เขาตะโกนออกมาว่า "นั่นคืออาวุธลับ โยนมันทิ้งไปเร็ว!"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพลธนูเปลี่ยนไป เขายกมือขึ้นและเตรียมที่จะโยนลูกเหล็กทิ้งไปแต่มันสายเกินไปแล้ว!“ตู้ม!!”เสียงระเบิดดังขึ้น ควันลอยฟุ้งทั่วบริเว
“ผู้แพ้อย่างเจ้า กล้าดีอย่างไรถึงมาข่มขู่ข้า?”ใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่เปลี่ยนเป็นเย็นชา นางยกเท้าและเหยียบลงที่ขาของชายชุดดำอย่างแรง“กร๊อบ!”ขาของชายชุดดำถูกเหยียบจนเนื้อหนังเละกระจาย กระดูกแตกกระจายออกมา ดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดมิหยุดหลังจากที่เขาสงบลงแล้ว เขาก็หายใจหอบก่อนพูดว่า “ข้าเป็นคนของสำนักอาทิตย์อัสดง เจ้าสำนักของพวกข้ากำลังมาแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง พวกเจ้าตายแน่!”“สำนักอาทิตย์อัสดง?”ใบหน้าของฉงชูโม่เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ฉินซูจึงถามอย่างสงสัย "สำนักอาทิตย์อัสดงที่ว่านี้ ทรงพลังมากหรือ?"ฉงชูโม่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเริ่มอธิบายปรากฏว่า สำนักอาทิตย์อัสดงเป็นสำนักบู๊ลิ้มที่ใหญ่ที่สุดในอวี้โจวเจ้าสำนักโอวหยางขุยมีพลังมาก เมื่อสิบปีก่อนก็เป็นนักรบระดับปฐพีเข้าไปแล้วเวลาผ่านไปสิบปีแล้ว และแม้ว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้จะมิได้อยู่ที่ขั้นปลายระดับปฐพี แต่ก็คงทะลวงไปสู่ขั้นกลางระดับปฐพีแล้วอย่างแน่นอนหรืออาจเป็นไปได้ว่า เขาได้เข้าสู่ระดับสวรรค์แล้วมิเพียงเท่านั้น ในสำนักอาทิตย์อัสดงยังมีผู้อาวุโสอีกห
โอวหยางขุยยืนนิ่งมิขยับ ขณะที่ชายชราผู้สวมชุดเทาด้านข้างยกหอกขึ้น กระแทกเข้าที่ดาบใหญ่อย่างแม่นยำ"แกร๊ง!"มีเสียงดังคมชัด ประกายไฟพุ่งออกมา!ชายชราในชุดสีเทาตกใจมาก แขนชา ปลายหอกแตกออก!เขาดูหวาดกลัว พูดด้วยน้ำเสียงเครือต่ำ “ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ฉงชูโม่ผู้นี้เป็นยอดฝีมือในระดับปฐพีจริง ๆ!”“พวกเจ้าตรวจค้นรอบ ๆ ส่วนนาง ปล่อยให้นางเป็นหน้าที่ข้า!”หลังจากที่โอวหยางขุยพูดเสียงเย็น เขาก็ใช้เท้าเคาะท้องม้า และควบตรงไปทางฉงชูโม่ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉงชูโม่ตามแผนเดิมของนาง นางจะต้องล่อโอวหยางขุยและคนอื่น ๆ ไปทางอื่น เพื่อให้ฉินซูหนีเอาชีวิตรอดทว่ายามนี้ โอวหยางขุยกลับมาฆ่านางเพียงลำพัง นั่นพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นปลายของระดับปฐพีและที่สำคัญที่สุด แผนการของนางถูกทำลายลงจนสิ้นต้องรีบจบศึกนี้!ฉงชูโม่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เหยียบอานม้า พุ่งตัวออกไปหาโอวหยางขุยราวกับศรที่พุ่งออกจากคันธนู“มาเลย!”ดวงตาของโอวหยางขุยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นนานแล้วที่เขามิได้พบกับคู่ต่อสู้ในระดับเดียว
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ