บทที่ 4
'จวนหลังใหม่'
.
.
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามเหม่าแล้ว”
เสียงปลุกดังขึ้นข้างหูมันทำให้ซ่งหลิงซูที่กำลังหลับสบายลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ยืดขาเรียวเหยียดยาวเพราะรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่เพื่อพยายามปรับแสงที่สาดส่องเข้ามากระทบในม่านตา
“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ นี่ยามเหม่าแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮา”
เสียงนั้นดังมาจาก ‘สวีกงกง’ ขันทีคนสนิทขององค์หญิงซ่งหลิงซูที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงเป็นขันทีที่อายุรุ่นราวคราวมารดา ก่อนจะย้ายมาดูแลซ่งหลิงซูเขาก็เคยดูแลมารดาของนางที่เป็นสนมมาก่อน เมื่อมารดาเสียไปจึงถูกโยกย้ายให้มาดูแลซ่งหลิงซูต่อ
“ยังเช้าอยู่เลยจะรีบตื่นไปไหนกัน” ซ่งหลิงซูมุดใบหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่มเช่นเดิมด้วยความขี้เกียจแต่ก็ถูกสวีกงกงดึงผ้าห่มออก
“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรกัน” นางพึมพำออกมาเมื่อถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งหนึ่ง “นี่ข้าอุตส่าห์ได้มาเกิดใหม่เป็นองค์หญิงแล้ว แต่ก็ยังต้องตื่นเช้าอีกหรือไง?”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงพึมพำไม่ถนัดนัก
“ไม่มีสิ่งใดหรอก”
ซ่งหลิงซูขยับตัวลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไปชำระกาย แต่ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นกลับรู้สึกเหมือนว่าตนเองไร้ขาจนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นก้นจ้ำเบ้าเต็มแรงจนความเจ็บปวดแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย
“องค์หญิงของกระหม่อมเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” สวีกงกงรีบเข้ามาช่วยประคองซ่งหลิงซูให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดี ๆ
“เจ็บชะมัด” ซ่งหลิงซูบ่นพึมพำออกมามือเท้าจับสะโพกตนเองด้วยสีหน้าเหยเก
สวีกงกงเห็นเช่นนั้นก็แย้มยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “องค์หญิงโปรดระมัดระวังตัวด้วย เมื่อคืนร่วมอภิรมย์มาทั้งคืน วันนี้จะอ่อนแรงก็ไม่แปลกนักพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของสวีกงกงมันทำให้เหตุการณ์เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาไหลย้อนกลับเข้ามาในความคิดของซ่งหลิงซู ทุกภาพทุกเสียงและทุกสัมผัสยังติดตรึงใจไม่ลืมเลือน เมื่อคืนนั้นล้วนกระทำลงไปด้วยความใคร่ในตัณหาราคะ มัวเมาความสุขสมจนหน้ามืดหูดับตาบอดไปหมด
แต่ในยามนี้ที่สติสัมปชัญญะกลับคืนมาแล้ว
พอความเงี่ยนหมดไป ความอับอายก็เข้ามาแทนที่
มือเล็กยกขึ้นปิดบังใบหน้าตนเองด้วยความอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แล้วไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีผู้ได้ยินได้ฟังเสียงร้องครวญครางอันสุขสมราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าฟ้าของนางบ้าง
‘หมดสิ้นกันภาพลักษณ์องค์หญิงผู้สูงส่งของข้า บรรลัยหมดแค่เพราะปล่อยให้ความเงี่ยนครอบงำ’
“องค์หญิงอย่าช้าเลยพ่ะย่ะค่ะ ต้องรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮา”
แม้จะอับอายแต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ซ่งหลิงซูทำได้เพียงคิดแค่ว่า เรื่องเซ็กซ์มันเรื่องธรรมชาติ ใคร ๆ ก็มีเซ็กซ์จะอายทำไมกัน!
..........
.
หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮาเพื่อยกน้ำชาตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว ซ่งหลิงซูก็ต้องออกนอกวังมาพร้อมสามีทั้งสองคนเพื่อดูจวนที่จะย้ายเข้าอยู่ในอีกสามวันข้างหน้า
เนื่องด้วยนางแต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมประเพณีก็ต้องย้ายออกไปอยู่จวนนอกวังเพราะมันคงจะไม่เหมาะสมถ้าองค์หญิงจะพาสามีมาอยู่วังหลังร่วมกับพระสนมหรือองค์หญิงองค์อื่น ๆ
จวนที่ราชสำนักจัดเตรียมไว้ให้เป็นจวนใกล้ตลาด มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผู้คนมากมายเดินผ่าน ไม่เปลี่ยว ไม่อันตราย เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยอย่างยิ่ง
ทั้งสามคนเดินเข้ามาภายในจวนที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมเข้าอยู่อาศัยได้ทันที
เหยียนอี้ลากนิ้วไปตามเสาที่น้ำมันขัดเงาเพิ่งแห้งไปได้ไม่นาน “เดิมทีจวนนี้เคยเป็นของอดีตมหาเสนาบดีในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน”
“อ๋อ ถึงว่าใหญ่นัก” ซ่งหลิงซูพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ฉุกคิดบางอย่างออก
จวนขุนนางใหญ่ย่อมต้องได้รับสืบทอดสู่ลูกหลานไม่ใช่หรือ?
มันก็คงมีเหตุผลไม่มากที่ทำให้จวนถูกยึดคืนสู่ราชสำนักและปล่อยให้ร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัยเช่นนี้ หนึ่งในนั้นคือตายหมด…
นางหันขวับไปจ้องหน้าเหยียนอี้ทันที สีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย “ยะ… อย่าบอกนะว่าพวกเขาต้องโทษประหาร ตายยกบ้าน จนจวนถูกราชสำนักยึดคืนเช่นนี้?”
เหยียนอี้หัวเราะเบา ๆ กับท่าทางตื่นกลัวของซ่งหลิงซู “พวกเขาต้องโทษจริง แต่ไม่ได้โดนประหารยกบ้านหรอก แต่ถูกเนรเทศไปอยู่บ้านนอกต่างหาก จวนนี้จึงถูกราชสำนักยึดคืนเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้คำตอบอันหนักแน่นมันก็ทำให้ซ่งหลิงซูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางกวาดสายตามองจวนหลังใหญ่ที่มีเรือนมากมายตั้งเรียงรายอย่างงดงามก็พลันยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
‘โชคดีแล้วโจวหลิงที่ได้ข้ามภพมาเป็นองค์หญิง ไม่ต้องลำบากสู้ชีวิตเหมือนในซีรีส์ เพราะชีวิตตอนนี้โคตรจะดี!’
นางรีบเดินสำรวจไปทั่วจวนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาคู่สวยทอประกายระยิบระยับยามเปิดห้องนู้นออกห้องนี้ ทุกห้องล้วนถูกประดับประดาอย่างงดงามวิจิตรไม่มีห้องไหนเลยที่ปล่อยโล่งไร้สิ่งของ
มือเล็กหยิบรูปสลักหยกขึ้นมาดูใกล้ ๆ พลางคิดในใจ ‘นี่สิ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว มีแต่ความสบายจนมองไม่เห็นความลำบากเลย ชาตินี้ข้าจะลำบากกับเขาบ้างไหมเนี่ย เกิดเป็นองค์หญิงมันดีแบบนี้นี่เอง’
ซ่งหลิงซูมัวแต่สนใจข้าวของมีค่าภายในห้องโดยไม่ทันสังเกตว่าในยามนี้สองบุรุษกำลังจับจ้องนางอยู่ไม่วางสายตา ไม่ว่านางจะขยับไปทางไหนพวกเขาล้วนมองตามทั้งสิ้น แววตาในตอนนี้ทอประกายระยิบระยับเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ถูกปลุกจากความร่าเริงสดใสของนางที่ทำให้พวกเขามันเขี้ยวจนอยากย่ำยีให้สาแก่ใจ
เซียวหยางชุนเลื่อนมือลงมาปลดเข็มขัดคาดเอวออกก่อนจะเป็นฝ่ายลุกเดินมาหาซ่งหลิงซูก่อน เขาคว้าเอวคอดบางดั่งต้นหลิวของนางเอาไว้ทำให้นางตกใจหันกลับมามอง
“มะ… มี อื้อ!~” เสียงของซ่งหลิงซูกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกเซียงหยางชุนประกบจูบลงมาอย่างแนบแน่น
ปลายลิ้นของทั้งสองตวัดไล่เลียกันอย่างเร่าร้อนจนเกิดเสียงจูบอันชื้นแฉะดังระงมออกมา เซียวหยางชุนดันตัวของซ่งหลิงซูไปยังเสาต้นหนึ่งจากนั้นจึงจับแขนของนางมัดไว้กับเสาด้วยเข็มขัดหนังของเขา
“เจ้าจะทำอะไร?” ซ่งหลิงซูหน้าตาเหลอหลาเมื่อถูกจับมัด
แต่แทนที่เซียวหยางชุนจะตอบ เขากลับงัดท่อนเนื้อลำอวบใหญ่ออกมาก่อนจะจ่อส่วนหัวไปยังปากของซ่งหลิงซู ในตอนแรกนางยังสับสนกับการกระทำของเขาจึงไม่ยอมอ้าปากทำให้องค์ชายหนุ่มดันส่วนหัวกระแทกปากของนางซ้ำ ๆ จนสุดท้ายซ่งหลิงซูต้องยอมอ้าปากออกเพื่อกลืนกินท่อนเอ็นอุ่นเข้ามาในปาก
“ปากของเจ้าอุ่นยิ่งนัก”
“อื้อ!” ซ่งหลิงซูเบิกตากว้างเมื่อถูกเซียวหยางชุนจิกหัวจนผมแทบขาด แต่ก็ร้องโวยวายสิ่งใดไม่ได้เนื่องด้วยแก่นกายลำอวบใหญ่ยังกระแทกอยู่ภายในปากของนางจนแทบจะอาเจียนยามมันไหลลึกลงคอ
“พระองค์ทรงเบามือหน่อย” เหยียนอี้เดินเข้ามาห้ามปรามเซียวหยางชุน
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า” เซียวหยางชุนหันไปจ้องเหยียนอี้ตาเขม็งก่อนจะมองต่ำลงไปยังเป้าของอีกฝ่าย “อย่าทำตัวเป็นคนดีนักเลย เจ้าเองก็แข็งแล้ว”
เหยียนอี้ไม่ได้ตอบสิ่งใดเขาเลือกจะทิ้งตัวลงนั่งระหว่างขาของซ่งหลิงซูเพราะยอมรับว่าอารมณ์ปรารถนาของตนก็กำลังพลุ่งพล่านแผดเผาร่างกายเช่นเดียวกัน
ซ่งหลิงซูเหลือบตามองเหยียนอี้ที่กำลังจะเสียบแก่นกายเข้ามาในรูสวาทของนางก็ตกใจรีบคายแก่นกายของเซียวหยางชุนออกจากปาก
“พวกเจ้าจะทำกับข้าที่นี่หรือ?!”
“แปลกตรงไหนกัน อย่างไรเสียที่นี่ก็ต้องเป็นจวนของพวกเราอยู่ดี” เซียวหยางชุนกล่าว
“ตะ… แต่ข้ายังเจ็บอยู่เลย” ซ่งหลิงซูจ้องตากับสามีทั้งสองอย่างอ้อนวอนเพราะกิจกรรมรักเมื่อคืนยังตราตรึงไม่หายจะซ้ำรอยเดิมอีกเกรงว่ามันจะอักเสบ
“อ๊า!”
แต่เหมือนสายตาอ้อนวอนของนางจะไม่เป็นผลเพราะสุดท้ายแล้วเหยียนอี้ก็กระแทกแก่นกายเข้ามาในตัวของนางอยู่ดี ร่างบอบบางจิกเกร็งด้วยความเจ็บระคนจุกในเวลาเดียวกันเมื่อแก่นกายลำอวบใหญ่ไม่เว้นช่วงให้นางพักหายใจหายคอเลย ทันทีที่เข้าจนลึกสุดลำยาว เหยียนอี้ก็เริ่มซอยเอวในจังหวะหนักหน่วงจนซ่งหลิงซูหัวสั่นหัวคลอน
“บอกให้ข้าเบา แต่เจ้ากระแทกไม่ยั้งเชียว” เซียวหยางชุนยกยิ้มมุมปากยามเหยียนอี้ซอยเอวถี่ยิบจนเสียงเนื้อกระทบกันดังระงมออกมาไม่ขาดช่วง
เขาหันกลับมาหาซ่งหลิงซูก่อนจะจิกผมของนางจนหน้าหงายแล้วยัดแก่นกายลำอวบใหญ่เข้าไปในปากเล็กอีกครั้ง “ทำให้ข้าเสร็จในปากเจ้าหน่อย”
ซ่งหลิงซูน้ำตาไหลอาบแก้มยามถูกย่ำยีทั้งข้างบนข้างล่างอย่างหนักหน่วง นางไร้หนทางขัดขืนเพราะแขนถูกมัดไว้กับเสาเหมือนทาสกามของสองบุรุษไม่มีผิด ไม่คาดคิดด้วยว่าพวกเขาจะกล้าทำกับนางแบบไม่เลือกสถานที่ จากนี้ไปคงต้องระวังตัวให้มากเผลอไผลไม่ได้เชียวมีหวังโดนจับแทงทุกที่ทุกเวลาเป็นแน่
แก่นกายลำอวบใหญ่ยังคงขยับเข้าออกภายในปากของซ่งหลิงซูจนน้ำหูน้ำตาไหล แทบจะอาเจียนออกมายามมันแทงลึกลงคอ ร่างบอบบางยังคงขยับโยกจากแรงกระแทกกระทั้นเบื้องล่าง
“ข้าจะแตกใส่ปากใส่หน้าเจ้า!” เซียวหยางชุนจิกรั้งผมนุ่มขึ้น
ไม่นานเขาก็ปลดปล่อยความต้องการออกมา น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งใส่ปากไหลลงลำคอของซ่งหลิงซูไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนนั้นองค์ชายหนุ่มถอนกายออกมาแล้วปล่อยให้น้ำคาวรักฉีดใส่หน้าของนางจนไหลเยิ้ม
“อร่อยหรือไม่?” เซียวหยางชุนปาดคราบน้ำรักบนใบหน้าใส่ปากของนางด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยมาก น้ำของเจ้าหวานยิ่งนัก” ซ่งหลิงซูแลบลิ้นเลียนิ้วของเซียวหยางชุนอย่างยั่วยวน
“เดี๋ยวข้ามาต่อ ไปหาน้ำชามาแก้กระหายก่อน”
เซียวหยางชุนสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนจะหันตัวเดินออกไปจากห้อง และไม่ลืมจะปิดประตูให้เรียบร้อยทิ้งให้ซ่งหลิงซูอยู่กับเหยียนอี้ภายใน
บทที่ 5‘สองบุรุษร่วมแรง’..“จะ… เจ้าปล่อยข้าได้หรือไม่?” ซ่งหลิงซูหันมาร้องขอเหยียนอี้ให้ปลดพันธนาการออกเพราะถ้าขืนนางยังถูกมัดเช่นนี้คงถูกพวกเขาย่ำยีจนฟ้ามืดเป็นแน่“ขออภัย แต่ข้าชอบเวลาเจ้าถูกมัดมากกว่าเสี่ยวซู”ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าพร้อมแรงกระแทกกระทั้นที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม แก่นกายลำอวบใหญ่ผลุบเข้าผลุบออกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะปลายลิ้นไล้เลียไปตามขาอ่อนขาว“อ๊า! จะ… เจ็บ!” นางร้องออกมายามถูกขบกัดลงบนเนื้อที่ขาจนขึ้นรอยฟันแดงแต่ยิ่งเหยียนอี้เห็นน้ำตาของซ่งหลิงซูเขาก็ยิ่งมีอารมณ์มากกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยไฟราคะที่ยากจะดับมอดลงได้ การขบกัดจึงตามมาไม่หยุดหย่อนทั่วทั้งขาของซ่งหลิงซูทั้งสองข้างล้วนมีแต่รอยขบกัดจนแดงเถือก“เจ้าเป็นสุนัขหรือไง!”“ถ้าข้าเป็นสุนัขก็หมายความว่าเจ้ากำลังถูกสุนัขสมสู่อยู่”“งั้นก็ปล่อยข้าสิ ข้าจะคลานสี่ขาให้เจ้าสมสู่เยี่ยงสุนัข”“เจ้ากล่อมข้าไม่สำเร็จหรอก ข้ารู้ว่าปล่อยเจ้าตอนนี้เจ้าก็จะหนีไป”เมื่อโดนรู้ทันซ่งหลิงซูก็ได้แต่ชักสีหน้ามุ่ยใส่เหยียนอี้ มันก็จริงถ้าเขาปล่อยนางตอนนี้นางจะรีบวิ่งหนีไปเลย ไม่เช่นนั้นคงได
บทที่ 6‘ยาบำรุงกาย’..“องค์หญิงอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะล้ม”เสียงของเหยียนอี้ตะโกนตามหลังซ่งหลิงซูที่กำลังวิ่งกลับตำหนักด้วยท่าทางรีบร้อน แต่นางกลับหันใบหน้ากลับมาพร้อมสายตาดุดันที่กวาดมองสองบุรุษ “คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย ข้าจะปิดตำหนัก”“แล้วพวกข้าจะไปนอนที่ไหน?” เซียวหยางชุนถาม มือของเขายังคงโบกสะบัดพัดไปมาด้วยท่าทางสบายอุรา“จะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของพวกเจ้า แต่ไม่ต้องมานอนกับข้า!”ว่าจบซ่งหลิงซูก็รีบหันหน้าวิ่งกลับตำหนักจนชายอาภรณ์ปลิดปลิว แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บช่วงล่างมากก็ตามแต่ก็ฝืนทน เมื่อเข้ามาถึงด้านในตำหนักยามหันไปเห็นสวีกงกงจึงเอ่ยคำสั่งทันที“ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ห้ามผู้ใดเข้าตำหนักข้า!”“ราชบุตรเขยทั้งสองด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงมีสีหน้าประหลาดใจ“ใช่ โดยเฉพาะพวกเขา ยิ่งต้องห้าม!” นางมองไปที่ประตูหน้าต่าง “ปิดสิ ปิดให้หมดเลย อย่าให้เหลือสักบาน!”สวีกงกงหันไปพยักหน้าให้กับเหล่านางกำนัล ทุกคนจึงช่วยกันปิดประตูหน้าต่างทันที ภายในตำหนักตกอยู่ในความมืดไม่นานก็สว่างไสวขึ้นจากเปลวเทียนที่ถูกจุดทั่วห้อง สวีกงกงเดินเข้ามาหาซ่งหลิงซูก่อนจะรินน้ำชาให้“ดื่มน้ำชาให้หาย
บทที่ 7'ความสงสัย'..ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาในตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮาด้วยท่าทางสง่างาม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางรู้ดีว่าฮองเฮาผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดีต่อองค์หญิงสาม ยิ่งความทรงจำเดิมบอกเล่าถึงความบาดหมางระหว่างมารดากับลี่จิ่นฮองเฮา ความสงสัยที่ว่ายาบำรุงร่างกายที่ฮองเฮาประทานให้อาจมีพิษปะปนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” ซ่งหลิงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลี่จิ่นฮองเฮายิ้มบาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตายามทอดมองหลานสาว “ซูเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”ซ่งหลิงซูยิ้มตอบ “หม่อมฉันเพียงอยากมาขอบพระทัยสำหรับยาบำรุงที่พระองค์ประทานให้ ดื่มแล้วรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากเพคะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮายิ้มกว้างขึ้น “ดีแล้ว ยานั้นเป็นตำรับพิเศษที่ข้าสั่งให้คนจัดหามาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น”ซ่งหลิงซูพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ตำรับพิเศษเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าคงหายากมากใช่ไหมเพคะ พระองค์ทรงจัดหามาเองหรือ?”“แน่นอน ข้าสั่งให้คนจัดหามาเองทุกขั้นตอน เพื่อให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”คำตอบนั้นทำให้ซ่งหลิงซูเริ่มมั่นใจในความ
บทที่ 8'ค่ามัดจำ'..ในยามนี้ซ่งหลิงซูและสามีทั้งสองย้ายออกมาจากวังหลวงเพื่อมาอยู่อาศัยที่จวนนอกวังแล้ว เหยียนอี้ยังคงออกไปทำงานเช่นเคยในทุก ๆ วัน ต่างกับเซียวหยางชุนที่เขาไม่ต้องทำงานสิ่งใด เนื่องจากเป็นองค์ชายต่างแคว้นแล้วยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติติดตัวจนใช้กินอยู่ได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำการทำงานให้ลำบากกายในเรือนส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม เซียวหยางชุนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเชียบลำพัง ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาด้วยท่าทีมุ่งมั่น เงาของนางพาดผ่านไปตามแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในเรือน“หยางชุนข้ามีเรื่องอยากขอร้อง” ซ่งหลิงซูกล่าวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าเขาเซียวหยางชุนละสายตาจากหนังสือแล้วเงยมองหน้านางด้วยความสนใจ “เรื่องอะไรหรือคนงามของข้า?”ซ่งหลิงซูเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไว้ใจหมอหลวงในแคว้นหลงกลัวว่าพวกเขาจะถูกฮองเฮาควบคุม ขอให้เจ้าช่วยส่งยาที่ข้ากินไปให้หมอหลวงในแคว้นเฟิงตรวจสอบหน่อย”นางวางถุงยาที่ยังไม่ได้ถูกต้มลงตรงหน้าของเซียวหยางชุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าสงสัยในยาเหล่านี้หรือ?”“ใช่ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งได้ยินเรื่องของเสด็จแม่ ข้ายิ่งกลัวว
บทที่ 9'ค่ายฝึกทหาร'..แสงแดดสาดส่องลงมายังค่ายฝึกทหารที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของเหล่าทหารที่กำลังเตรียมตัวออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ฤดูแล้งที่ยาวนานทำให้แม่น้ำหลายสายแห้งขอด พืชผลทางการเกษตรเสียหายและชาวบ้านประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนักเหยียนอี้ในชุดแม่ทัพเต็มยศกำลังยืนอยู่กลางลานฝึกท่ามกลางเสียงรายงานจากเหล่าทหาร เขากำลังจัดการงานอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าที่ปกติสงบนิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า“ท่านพี่อี้!” เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เขาหันไปมองซ่งหลิงซูในชุดเรียบง่ายแต่สง่างามเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตในมือ ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส“องค์หญิงสาม” เหยียนอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เหตุใดพระองค์ถึงมาที่นี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับสตรี”“ข้าได้ยินว่าท่านยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือชาวบ้าน จึงนำอาหารมาให้ท่าน”เหยียนอี้มองปิ่นโตในมือของนาง “ขอบพระทัยพระองค์มาก แต่ตอนนี้ข้ายังมีงานต้องจัดการอีกมากนัก คงยังกินข้าวไม่ได้”ซ่งหลิงซูมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะป้อนให้ท่านเอง ท่านจะได้ทำงานไปพร้อมกัน”เขามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหล
บทที่ 10‘ขี่ม้าชมทุ่งหญ้า’..แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมายังโรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรับอาหารและน้ำที่แจกจ่าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำขอบคุณจากชาวบ้านบางส่วนทำให้ซ่งหลิงซูรู้สึกอิ่มใจนางยืนอยู่ข้างเหยียนอี้ที่มาดูแลความเรียบร้อยของโรงทาน ทั้งสองมองดูชาวบ้านที่ต่อแถวรับอาหารด้วยรอยยิ้ม“ท่านดูสิ ทุกคนมีความสุขขึ้นมาก”เหยียนอี้พยักหน้า “พระองค์ทรงทำสิ่งที่ดีแล้ว ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนได้รับประโยชน์จากโรงทานของพระองค์”แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มชาวบ้านบางคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ“องค์หญิงสามเองนั่นแหละที่นำภัยแล้งมาสู่แคว้นหลง”“ใช่แล้ว นางมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองให้ล่มจม พวกเจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือ”“นางสร้างภาพ พยายามทำให้ตัวเองดูดีแต่แท้จริงแล้วก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก”คำพูดเหล่านั้นทำให้เหยียนอี้ขมวดคิ้วทันที เขาหันไปมองกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาดุดันก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าเป็นอะไรไป มารับอาหารขององค์หญิงสามแต่ยังกล้านินทาว่าพระองค์อีก พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างหรือ?!”ชาวบ้านกลุ่มนั้นหันมามองเหยียนอี้
บทที่ 11‘แผนการของทั้งสาม’..ยามค่ำคืนที่สงบเงียบภายในจวนล้วนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟส่องสว่างไสว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น เซียวหยางชุน เหยียนอี้ และซ่งหลิงซูกำลังนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน แสงเทียนบนโต๊ะสาดสะท้อนใบหน้าของทั้งสามที่ดูผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแต่ทันใดนั้นเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นที่หน้าต่าง นกเหยี่ยวขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง เซียวหยางชุนลุกเดินไปหาเหยี่ยวขาวตนนั้นด้วยท่าทางปกติ เหยี่ยวเองก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวหรือระแวงเขาแต่อย่างใด มือใหญ่หยิบจดหมายที่ผูกติดอยู่กับขาของนกเหยี่ยวขึ้นมา เขาคลี่จดหมายออกเพื่ออ่านเนื้อความในจดหมายทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหลิงซูถามด้วยความเป็นกังวลเซียวหยางชุนวางจดหมายลงบนโต๊ะ “ม้าเร็วที่ส่งไปแคว้นเฟิงเพื่อน้ำยาไปให้หมอหลวงตรวจสอบ เขาไปไม่ถึงแคว้นเฟิง มีคนพบศพของเขาในป่าดูเหมือนว่าเขาจะถูกสังหารตายหลายวันแล้ว”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปทันที เหยียนอี้ขมวดคิ้วแน่น “คงมีคนไม่อยากให้เราตรวจสอบตัวยา”ซ่งหลิงซูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยานี้มาจากฮองเฮา คนที่ไม่อยากใ
บทที่ 11.1‘แผนการของทั้งสาม’..โรงทานที่ควรจะสงบสุขกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งป่วยหนักจากการกินโจ๊กที่โรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านที่โกรธแค้นรวมตัวกันและเดินไปยังศาลเมืองเพื่อฟ้องร้องเรื่องนี้ พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงขึ้น“องค์หญิงสามมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองไม่พอ ตอนนี้นางยังทำให้คนป่วยหนักอีก!”“โจ๊กของนางทำให้พวกเราท้องร่วง นี่หรือคือการช่วยเหลือประชาชนของนาง เอาของไม่มีคุณภาพมาแจกจ่ายให้พวกเรา!”“ภัยแล้งก็ทุกข์ระทมพอแล้ว นี่องค์หญิงกาลกิณียังมาสร้างเภทภัยให้ชาวบ้านเพิ่มอีก นางเป็นตัวซวยทำให้บ้านเมืองล่มจมจริง ๆ!”เมื่อซ่งหลิงซูได้ยินข่าวว่ามีชาวบ้านท้องร่วงจากโจ๊กโรงทาน นางก็รีบเดินทางมาดูทันทีพร้อมกับเหยียนอี้ที่ติดตามมาด้วยเพื่อดูแลความปลอดภัย เมื่อมาถึงนางพบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ชาวบ้านบางคนกำลังนอนป่วยอยู่บนพื้น ขณะที่อีกหลายคนรวมตัวกันตะโกนด่าทอด้วยความโกรธแค้น“ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น” ซ่งหลิงซูกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ ขณะที่เดินเข้าไปดูอาการของคนป่วยเหล่านั้น “ข้าจะจัดหาหมอมารักษาพวกเจ้าโด
บทที่ 19‘อยู่ด้วยกันสามคนสุขสันต์’..“อ๊ะ… อ๊า อู้ยยย~”“กระแทกแรง ๆ ข้าชอบ พวกเจ้าไม่ต้องถนอมข้า!”เสียงครางกระเส่าดังระงมไปพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะ บนเตียงใหญ่ในยามนี้มีเงาร่างของคนสามคนกำลังบรรเลงบทรักกันอย่างมัวเมาในตัณหาราคะโดยเฉพาะซ่งหลิงซูที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมีแต่ความปรารถนาเข้ามาแทนที่นางหันใบหน้าเข้าหาเหยียนอี้จึงถูกเขาจูบแลกลิ้นอย่างดูดดื่มในขณะที่รูหน้าถูกแก่นกายของเหยียนอี้กระแทกจนสุดลำยาว ส่วนรูด้านหลังถูกครอบครองโดยเซียวหยางชุนที่กระแทกท่อนเอ็นลำอวบใหญ่เข้ามาจนคับแน่นจังหวะกระแทกของเซียวหยางชุนทำให้ร่างกายของซ่งหลิงซูขยับโยกไปด้วยเลยส่งผลให้แก่นกายอวบใหญ่ของเหยียนอี้ที่เสียบคาไว้ที่รูหน้าได้ความเสียวซ่านไปด้วยแต่เขาก็เลือกจะซอยเอวสวนขึ้นมากระแทกเข้าลึกจนมดลูกสะเทือน“ดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะชอบโดนพวกข้าเสียบพร้อมกันสองรูแล้วสินะ” เซียวหยางชุนกล่าวพลางยกฝ่ามือขึ้นตีก้นของนางซ่งหลิงซูหันไปสบตากับเขาแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ข้ามีสามีสองคนก็ต้องทำหน้าที่ภรรยาให้สามีทั้งสองคนสิ ส่วนพวกเจ้าเป็นสามีข้าย่อมต้องทำหน้าที่สามี จะเข้ามาคนเดียวได้อย่างไรก็ข้า
บทที่ 18‘ไหน้ำส้มแตก’..ซ่งหลิงซูนั่งสางผมหน้าคันฉ่องทองเหลืองแผ่วเบา ใบหน้าของนางแจ่มใสยามความสุขมันล้นปรี่ขึ้นมาในอก ชีวิตอันสุดแสนมหัศจรรย์ของผู้หญิงธรรมดาที่ดันข้ามภพมาอยู่ในร่างขององค์หญิง มันไม่ได้ย่ำแย่เลยถึงจะลำบากไปบ้างแต่ก็สนุกดี โดยเฉพาะการมีสามีสองคนที่ขยันเอาอกเอาใจและเอานางยิ่งนัก“องค์หญิงยามาแล้วเพคะ” นางกำนัลยกถ้วยยาต้มมาให้ซ่งหลิงซูนางรับถ้วยยามาดื่มจนหมด แม้รสชาติของมันจะขมมากแต่ก็ต้องจำใจกิน จังหวะที่หันไปส่งถ้วยยาคืนให้นางกำนัลเหยียนอี้ก็เข้ามาพอดี เขามองถ้วยยาคิ้วกดต่ำลงอย่างสงสัย“เจ้ากินยาอะไรอีก?”“ยาระงับบุตร” นางตอบไปตามความจริงอย่างไม่คิดปิดบังเหยียนอี้ที่ได้ฟังกลับยิ่งสงสัย “เจ้าไม่อยากมีบุตรหรือ?”“ถ้าเกิดมีขึ้นมา ใครจะเป็นพ่อเด็กเล่า?” เสียงของเซียวหยางชุนดังขึ้น เขาก้าวเข้ามาภายในเรือนก่อนจะตรงเข้ามาหาซ่งหลิงซูแล้วประทับจูบลงบนผมของนางอย่างนุ่มนวล“เจ้าหมายความเช่นไร?” เหยียนอี้ยังคงไม่เข้าใจ“เจ้านี่มันแก่แล้วสินะถึงเข้าใจอะไรยากนัก” เซียวหยางชุนส่ายหัวเล็กน้อย แต่มือของเขาไม่อยู่สุขสักนิดเมื่อเลื่อนลงมาบีบนมของซ่งหลิงซูไปด้วยจนนางต้องขยับตัวหนีมื
บทที่ 18‘ไหน้ำส้มแตก’..ในยามสายที่ตลาดเต็มไปด้วยความคึกคัก ซ่งหลิงซูเดินเล่นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายพร้อมกับเซียวหยางชุนและเหยียนอี้ ทั้งสามคนต่างเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของอาหารซ่งหลิงซูหยุดที่ร้านขายเครื่องประดับ นางเลือกดูปิ่นปักผมและสร้อยคอที่ประดับด้วยอัญมณีอย่างตั้งใจขณะที่สองสามีของนางเดินไปยังร้านเหล้าต่างแดนที่อยู่ใกล้ ๆ กันตามประสาบุรุษ“พระองค์สนใจปิ่นอันนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าของร้านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเพราะรู้ว่านางคือองค์หญิงสามผู้มีชื่อเสียงทั้งด้านดีและไม่ดีในคราวเดียวกัน“ใช่ ข้าคิดว่ามันสวยดี” ซ่งหลิงซูกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานในขณะที่นางกำลังเลือกเครื่องประดับ มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา เขาถือดอกไม้สดในมือ และยื่นให้นางด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสามข้าขอมอบดอกไม้นี้ให้พระองค์ พระองค์ช่างงดงามเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”ซ่งหลิงซูรับดอกไม้ไว้ด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมาก ดอกไม้งามยิ่งนัก”สองบุรุษที่กำลังเลือกซื้อเหล้าอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินคำพูดของชายคนนั้น เซียวหยางชุนหันมามองทันที ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาเล็กน้อยก่อนจะทิ้งทุกอย่างแล้วรีบเดินเข้ามาหา“ขอบคุ
บทที่ 17‘ป่าเขาลำเนาไพร’..หลายวันผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนักและการเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับลี่จิ่นฮองเฮา ชื่อเสียงขององค์หญิงซ่งหลิงซูเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านที่เคยเข้าใจผิดและวิพากษ์วิจารณ์นาง ตอนนี้กลับจับกลุ่มพูดคุยกันถึงความดีของนางแทน“องค์หญิงสามเป็นคนดีจริง ๆ นางไม่ได้เลวร้ายแบบที่เราคิด”“นางช่วยเหลือประชาชนในช่วงภัยแล้ง และยังกล้าต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองจากความอยุติธรรมอีกด้วย”เสียงพูดคุยเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านและเมืองหลวง ทำให้ชื่อเสียงของซ่งหลิงซูค่อย ๆ ฟื้นฟู และชาวบ้านเริ่มมองนางในแง่ดีมากขึ้นในยามสายที่แสงแดดอ่อนส่องลงมายังทุ่งกว้าง ซ่งหลิงซูขี่ม้าคู่ใจออกเดินทางพร้อมเหยียนอี้และเซียวหยางชุน ทั้งสามคนกำลังมุ่งหน้าไปยังเขาใหญ่ใกล้เมืองเพื่อหวังจะขึ้นไปสักการะศาลเจ้าบนยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้ามาถึงป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และเสียงนกร้อง ทั้งสามคนเลยเลือกหยุดพักบนลานหญ้าที่ปกคลุมด้วยแสงแดดอ่อน ม้าที่พวกเขาขี่อยู่ถูกปล่อยให้กินน้ำจากลำธารเล็กที่ไหลผ่านซ่งหลิงซูนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ นางมองดูธรรมชาติรอบตัวด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความสงบ เหยีย
บทที่ 16‘อ่างน้ำหรรษา’..ซ่งหลิงซูกลับมายังจวนของตัวเองพร้อมกับสามีทั้งสองคน หลังจากผ่านพ้นวันที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ในท้องพระโรง แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างราบรื่นจากการร่วมแรงร่วมใจของพวกเขาทั้งสามคนภายในห้องอาบน้ำมีไอน้ำลอยสูงจนปกคลุมไปทั่วห้อง ซ่งหลิงซูทิ้งตัวลงนั่งในอ่างไม้ใบใหญ่อย่างหมดสภาพ ดวงตาของนางหลับลงเล็กน้อยขณะที่ถอนหายใจยาวราวกับต้องการปลดปล่อยความหนักอึ้งในใจ“เหนื่อยชะมัด” นางพึมพำเบา ๆเหยียนอี้ก้าวเท้าลงในอ่างนั่งลงข้างซ่งหลิงซู และเริ่มบีบนวดไหล่เล็กด้วยมือที่แข็งแรงแต่แฝงความอ่อนโยน “พักผ่อนเถิด ข้าจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้เอง”ในขณะเดียวกันเซียวหยางชุนเองก็ตามลงมาในอ่าง เขานั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง มองดูเหยียนอี้ที่กำลังบีบนวดตัวให้ซ่งหลิงซูซ่งหลิงซูเปิดตาขึ้นเล็กน้อยมองดูสามีทั้งสองคนก่อนจะเลือกหันไปหาเหยียนอี้ที่อยู่ใกล้สุดแล้วดึงใบหน้าของเขาลงมาจูบอย่างดูดดื่ม แม้เขาจะตกใจในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ปล่อยกายปล่อยใจไปกับจูบอันหอมหวานนี้นางผละใบหน้าออกมาก่อนจะกางแขนออกอย่างเชื้อเชิญ “ข้าอยากโดนพวกเจ้ากอดแรง ๆ มากอดข้าเถิดนะ”เหยียนอี
บทที่ 15'เปิดโปงแผนการชั่ว'..ท้องพระโรงอันโอ่อ่าของวังหลวงในยามนี้แน่นขนัดไปด้วยขุนนางและข้าราชบริพารที่มาร่วมรับฟังการไต่สวนลี่จิ่นฮองเฮา พระนางถูกนำตัวมานั่งคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแต่พระนางยังคงรักษาท่าทีสง่างาม สายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง ดวงตาของพระองค์จ้องมองลี่จิ่นฮองเฮาด้วยความเย็นชา “ฮองเฮาเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางยาพิษอิงหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงสาม เจ้าจะปฏิเสธหรือไม่?”ลี่จิ่นฮองเฮาเงยหน้าขึ้นสบตาฮ่องเต้หย่งซวีด้วยสายตาแน่วแน่ “หม่อมฉันไม่ได้ทำ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย หากหม่อมฉันผิดจริง ขอให้ฝ่าบาทนำหลักฐานมาแสดงต่อหน้าทุกคน!”คำพูดของพระนางทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ขุนนางบางคนเริ่มลังเล“สวีกงกงสารภาพว่าเจ้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง” ฮ่องเต้ทรงกล่าวต่อลี่จิ่นฮองเฮาหัวเราะออกมา “สวีกงกงเป็นเพียงขันทีผู้ต่ำต้อย คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักพอที่จะเอาผิดหม่อมฉันได้ หากฝ่าบาทต้องการเอาผิดหม่อมฉันจริง ๆ ก็หาหลักฐานมา”“ข้าเกรงว่าเจ้าจะมั่นใจเกินไปฮองเฮา”เซียวหยางชุนก้าวเข้ามาภายในท้องพระโรงพร้อ
บทที่ 14‘ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง'..ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวการเสียชีวิตขององค์หญิงซ่งหลิงซูก็แพร่กระจายไปทั่ววังหลวง ทหารนำศพของอดีตสนมที่ถูกจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นศพขององค์หญิงสามออกมาและประกาศว่าพระนางถูกทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ในตำหนักเย็นอีกมุมหนึ่งของวังหลวงเหยียนอี้และฮ่องเต้หย่งซวีกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮา ทั้งสองตั้งใจฟังบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นภายในตำหนัก หลังจากที่ส่งสวีกงกงเข้าไปตามแผนสวีกงกงเดินเข้ามาในตำหนักฮองเฮาด้วยท่าทีเร่งรีบ ดวงหน้าของเขายิ้มกว้างราวกับกำลังยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมาถึงเบื้องหน้าลี่จิ่นฮองเฮาจึงคุกเข่าลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“กระหม่อมขอแสดงความยินดีที่พระองค์สามารถกำจัดศัตรูได้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮาหัวเราะออกมาอย่างสะใจ พระนางลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปยังหน้าต่าง ดวงตาฉายแววความสุขอย่างเปี่ยมล้น“ในที่สุด ข้าก็ทำสำเร็จ!” ลี่จิ่นฮองเฮาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดังลั่น“อิงหวงกุ้ยเฟยผู้ที่คิดจะเอาชนะข้าและลูกสาวผู้โง่เขลาของนาง พวกมันตายไปหมดแล้ว”สวีกงกงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พระนางทรงชาญฉลาดยิ่งนัก กระหม่อมไม
บทที่ 14‘ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง'..ในยามดึกสงัดที่ไม่ควรมีผู้ใดย่างก้าวไปมาในวังหลวงได้ แต่เหยียนอี้กำลังเดินเข้ามาในตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นขณะที่มือลากคอสวีกงกงมาด้วยฮ่องเต้หย่งซวีนั่งรออยู่ก่อนแล้วเพราะขันทีคนสนิทเข้ามารายงานแต่แรกแล้วว่าเหยียนอี้ขอเข้าเฝ้า “แม่ทัพเหยียนเจ้าเข้ามาพบข้าในยามดึกเช่นนี้ มีเรื่องอะไรสำคัญ?”เหยียนอี้ผลักสวีกงกงลงไปตรงพื้นเบื้องหน้าก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมพบว่าขันทีผู้นี้เป็นคนของฮองเฮาจึงนำตัวเขามาให้ฝ่าบาทสอบสวนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองสวีกงกงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคือคนของฮองเฮาจริงหรือ?”สวีกงกงตัวสั่นเทิ้ม ดวงหน้าซีดเซียวด้วยความหวาดกลัว เขาก้มหน้าลงต่ำ สารภาพด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ กะ… กระหม่อมเป็นคนของฮองเฮา กระหม่อมได้รับคำสั่งให้คอยรายงานเรื่องของอิงหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงซ่งหลิงซูให้พระนางทราบ”คำสารภาพนั้นทำให้ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น “แล้วฮองเฮาได้ทำร้ายอิงหวงกุ้ยเฟยหรือไม่?”สวีกงกงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อเห็นสายตาดุดันของฮ่องเต้ เขาก็จำต้องสารภาพ “พ่ะย่ะค่ะ ฮองเ
บทที่ 13‘ต่างคนต่างทำหน้าที่’..ค่ำคืนแรกในตำหนักเย็นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดผ่าน ซ่งหลิงซูนั่งอยู่บนเตียงไม้เก่าในห้องที่เย็นยะเยือก แม้จะเป็นสถานที่ที่หลายคนหวาดกลัวแต่ดวงตาของนางกลับฉายแววมั่นคง“ถ้าคิดจะใช้ที่นี่เพื่อทำลายข้า คงต้องพยายามมากกว่านี้หน่อย”เสียงฝีเท้าเบาดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก ซ่งหลิงซูที่กำลังหลับตาอยู่รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ นางไม่ได้ขยับตัว แต่เงี่ยหูฟังเสียงอย่างระมัดระวังประตูห้องถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในความมืดพร้อมกับมีดเล่มหนึ่งในมือ ซ่งหลิงซูลืมตาขึ้นทันทีและพลิกตัวหลบมีดที่แทงลงมาอย่างเฉียดฉิว“เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ?” นางพูดขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคนร้ายไม่ตอบแต่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง มีดในมือสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ซ่งหลิงซูคว้าหมอนบนเตียงขึ้นมาป้องกันการโจมตีก่อนจะใช้จังหวะนั้นเตะเข้าที่ข้อมือของคนร้ายจนมีดหลุดจากมือคนร้ายไม่ยอมแพ้พยายามต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ซ่งหลิงซูใช้ความคล่องตัวของนางหลบการโจมตีทุกครั้ง และสวนกลับด้วยการเตะเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มลงกับพื้นนางคว้ามีดที่ตกอยู่ขึ้นมาและในจังหวะที่คนร้ายพยาย