“ท่านหมอ ท่านหมอ ได้โปรดช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อยด้วย หากท่านช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อย ชาติหน้าข้าน้อยยินดีขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ตอบแทนบุญคุณท่าน”
จางจงกล่าวพลาง ร่ำไห้พลาง จนคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์
“ข้าเป็นหมอย่อมต้องช่วยคนป่วยอย่างเต็มความสามารถ เจ้าก็อย่าเอาแต่ร้องไห้เลย จงเล่าอาการของคุณชายของเจ้ามาให้ละเอียด”
จางจงยกมือปาดน้ำตาลวกๆ “หลังจากถูกโบย คุณชายก็หมดสติไปสามวัน เมื่อสักครู่ใหญ่เพิ่งฟื้นคืนสติมา...แต่...แต่ทว่าคุณชายจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย ทั้งยังจำข้าน้อยและจำตนเองไม่ได้อีกด้วย...เห็นคุณชายบอกว่าเจ็บหัวมาก...”
“อืม” ท่านหมอพยักหน้า แล้วหันไปกล่าวกับชินอ๋องว่า “จ้าวอี๋เหนียงบาดเจ็บที่ศีรษะ ข้าน้อยจะใช้วิธีฝังเข็มร่วมกับการให้ดื่มยา แต่ตัวยาบางตัวนั้นหายากยิ่งและล้ำค่ามาก...”
ท่านหมอหยุดกล่าวต่อ ด้วยความหมายว่า...ตัวยาบางตัวนั้นไม่อาจซื้อหาได้ทั่วไป ถ้าเทียบกับชีวิตของอนุผู้หนึ่ง น้ำหนักในใจของชินอ๋องจะยินยอมสิ้นเปลืองหรือไม่?
“ถ้าในจวนของข้ามี ข้าอนุญาตให้เอามาใช้ได้” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ “แต่ถ้าในจวนของข้าไม่มี ต้องซื้อหาก็จงซื้อหามา ไม่ว่าแพงแค่ไหน ข้าก็ยินดีจ่าย”
“หากมีเพียงแต่ในวังหลวงเท่านั้นล่ะขอรับ?”
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลใจ ขอเพียงเขียนชื่อยามาให้ข้า ข้าจะจัดการนำมาให้เอง ท่านจงรักษาจ้าวอี๋เหนียงให้เต็มที่เถิด อย่างไรก็ต้องช่วยชีวิตของเขาไว้ให้ได้” แม้น้ำเสียงยังคงราบเรียบ ทว่าสีหน้าของชินอ๋องจริงจัง
“ท่านอ๋องรับปากเช่นนี้ เรื่องช่วยชีวิตคน...ข้าก็พอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ทว่า...”
“มีอะไรท่านหมอกล่าวออกมาให้เต็มที่เถอะ”
“ชีวิตคนอาจจะช่วยเอาไว้ได้ แต่ความทรงจำที่สูญหายไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเรียกกลับคืนมาได้”
ชินอ๋องพยักหน้าคราหนึ่ง “ช่วยชีวิตคนก่อนสำคัญกว่า เรื่องอย่างอื่นเอาไว้ทีหลัง”
“ขอรับ”
ท่านหมอจัดการเขียนเทียบยา ชินอ๋องก็สั่งให้บ่าวรับใช้ไปยังห้องยาเจียดยามาต้ม ส่วนจางจงนั้นเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมออกห่างจากคุณชายแม้แต่อึดใจเดียว ในขณะที่ท่านหมอทำการฝังเข็มรักษาอาการ
ครึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วโมง)ผ่านไป...การรักษาขั้นต้นก็เสร็จสิ้น พอดีกับบ่าวรับใช้ถือถาดวางชามใส่ยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา จางจงพยายามจะป้อนยาให้กับคุณชาย แต่คุณชายไม่มีสติเลย ยาที่ป้อนจึงไหลเลอะออกมาข้างปากเพราะริมฝีปากซีดเซียวปิดสนิท
ชินอ๋องมองสถานการณ์นั้น ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “เอายามา”
จางจงมองชินอ๋องอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน จึงยื่นส่งชามใส่ยาให้เขา
ชินอ๋องรับชามใส่ยามาแล้วเดินเข้าใกล้ร่างบนเตียงแทนที่จางจง พลางนั่งลงที่ขอบเตียง ยกชามใส่ยาขึ้นอมยาไว้ในปากแล้วก้มลงประกบปากป้อนยาให้แก่คุณชาย
บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องนั้นต่างรีบก้มหน้าไม่กล้ามอง
ชินอ๋องป้อนยาเสร็จ ก็ใช้นิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำที่มุมปากคุณชาย แล้วส่งชามเปล่าคืนให้บ่าวคนที่นำยาเข้ามา ก่อนจะห่มผ้าห่มให้คุณชายจนถึงคอ
“จางจง...” ชินอ๋องเรียกบ่าวคนสนิทของคุณชาย แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ
“ท่านอ๋องเจ้าคะ พระชายาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งเข้ามายอบกายรายงาน
“เชิญพระชายาไปรอที่ห้องรับรองก่อน” ชินอ๋องตอบ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ยอบกายคารวะ แล้วรีบไปทำตามคำสั่งทันที
พระชายาตู้จินเหลียนเป็นหญิงสาววัยยี่สิบที่มีรูปโฉมสวยสะคราญงดงามยิ่ง สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรางดงามสมฐานะ กิริยามารยาทนุ่มนวลสง่าดั่งกุลสตรีผู้สูงส่ง นางนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หรู พอเห็นชินอ๋องก้าวเข้ามาในห้องรับรองแห่งนั้น นางก็รีบยืนขึ้นแล้วยอบกายคารวะอย่างแช่มช้อย
“คารวะท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องมากพิธี”
ชินอ๋องเดินผ่านนางไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน แล้วยกถ้วยชาที่บ่าวยกมาให้ขึ้นจิบเล็กน้อย
พระชายาจึงเหยียดกายยืนตรงขึ้นช้าๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม
“ข้าน้อยได้ยินบ่าวลือกันว่าท่านอ๋องเรียกจ้าวอี๋เหนียงมาพบ”
“อืม” ชินอ๋องมองนางตรงๆ “เจ้าได้ข่าวรวดเร็วดี”
คำตอบรับตรงไปตรงมาของชินอ๋องทำให้พระชายาแทบจะหมดคำพูด นางเผยอปากน้อยๆ อดหวั่นใจไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเลียบเคียงว่า “เวลานี้เขาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ?”
“ใช่” ชินอ๋องวางถ้วยน้ำชาที่จิบไปนิดเดียวลงบนโต๊ะข้างๆ “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้ามีอี๋เหนียงอยู่คนหนึ่งเลยเรียกให้มาปรนนิบัติรับใช้”
ดวงตาของพระชายาตู้เบิ่งกว้าง
“ไม่ได้หรือ?” ชินอ๋องเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย
“มะ...ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าเขายังมีโทษผิดติดตัวอยู่” พระชายาพยายามข่มเสียงให้นุ่มนวลระรื่นหู “เขาเล่นชู้กับสาวใช้ข้างกาย ข้าน้อยจึงลงโทษขั้นต้นให้โบยยี่สิบไม้ แล้วรอให้ท่านอ๋องกลับมาตัดสินโทษอีกครั้งเจ้าค่ะ”
“อืม” ชินอ๋องมองนางด้วยแววตาตำหนิ “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าเมื่อวาน?”
“ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาถึงจวน ยังมิทันได้พักผ่อนให้สบายกายสบายใจ ข้าน้อยจึงยังมิได้นำเรื่องรกหูรกใจมาบอกให้กวนใจท่านเจ้าค่ะ”
“แล้วชู้ของจ้าวอี๋เหนียงล่ะ?”
“นางทำผิดร้ายแรงนัก ข้าน้อยจึงลงโทษให้โบยนางจนตายแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าชินอ๋องนิ่งเฉย พระชายาตู้ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แล้วศพของนางอยู่ไหน?”
“ศพ! ” สีหน้าพระชายาตู้งุนงงวูบ “ท่านอ๋องต้องการศพของนางไปทำไมเจ้าคะ?”
“คนที่กล้าเล่นชู้กับคนของข้าสมควรสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”