“คนทั้งคนคงไม่สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปได้หรอก” คุณชายเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ข้าหิวแล้ว”
“โปรดรอสักครู่...บ่าวจะรีบไปยกสำรับอาหารมาเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วจางจงก็รีบเก็บเศษถ้วยเคลือบที่ตกแตกอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
ไม่นานเขาก็ยกสำรับกลับมาวางบนโต๊ะที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของห้อง แล้วมาช่วยประคองคุณชายไปนั่งที่เก้าอี้
อาหารสำรับนั้นมีเพียงข้าวต้มหนึ่งชาม กับผัดผักที่หน้าตาเหมือนผักลวกมากกว่าจานหนึ่ง...แต่เพราะความหิว จ้าวชิงเฟิงจึงกินอย่างไม่เกี่ยงงอน
ทว่าเพิ่งกินไปได้เพียงแค่คำเดียว บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งจากตำหนักใหญ่ก็มาถ่ายทอดคำสั่ง
“ท่านอ๋องมีคำสั่งให้จ้าวอี๋เหนียง(อี๋เหนียง=คำเรียกอนุภรรยา,อนุชายา จ้าว=แซ่ )ไปที่ตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้”
“รอสักครู่...ขอเวลาให้ข้าแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” จ้าวชิงเฟิงเอ่ย
“รอ เรอ อะไรกัน ท่านอ๋องสั่งให้ไปเดี๋ยวนี้ ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้” เสียงบ่าวขุ่นเขียวไม่มีความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อยนิด แถมชักสีหน้าบึ้งตึง “รีบตามข้ามา”
จางจงรีบคว้าเสื้อตัวนอกมาคลุมให้แก่จ้าวชิงเฟิง แล้วประคองคุณชายติดตามบ่าวคนนั้นไป
ตำหนักใหญ่โอ่อ่าโอฬารงดงามสมฐานะชินอ๋อง เรือนท้ายจวนที่จ้าวชิงเฟิงอาศัยอยู่เทียบไม่ติดแม้แต่ขี้ฝุ่น เขาไม่ได้เปรียบเทียบกับที่อยู่ที่เขาเคยอยู่ที่แคว้นเป่ย เนื่องเพราะเขาจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็คิดว่าคงจะไม่งดงามเท่านี้ ก็เขาเป็นโอรสที่เกิดจากนางสนมชั้นปลายแถว ซ้ำพระบิดายังไม่ใส่ใจอีก นอกจากใช้เป็นของบรรณาการครั้งเดียวทิ้งเท่านั้น
จางจงประคองเขาเดินตามบ่าวคนนั้นเข้าไปยังห้องโถงรับรองที่พื้นปูด้วยหยกขาวสะอาดหรูหรา ส่วนการตกแต่งอื่นๆ เขาไม่ได้เงยหน้าดู เพราะรู้ดีว่าตนมีฐานะไม่ได้ดีไปกว่าบ่าวทาสคนหนึ่ง จึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ อีกอย่างเขาก็รู้สึกมึนหัวปวดหัวจนไม่อยากจะสนใจอะไรมากนัก
พอบ่าวที่นำหน้ามาหยุดเดิน จางจงก็หยุดเดิน คุณชายจึงพลอยหยุดเดินตามไปด้วยอีกคน
“คารวะท่านอ๋อง” บ่าวคนนั้นหมอบลงโขกศีรษะ
จางจงกำลังจะประคองคุณชายให้หมอบลงคารวะตามอย่างบ่าวคนนั้น จ้าวชิงเฟิงก็หน้ามืดทรุดฮวบลงกองกับพื้นเสียก่อน โดยมีจางจงโอบประคองศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้น และเผลอร้องลั่นด้วยความตกใจ
“คุณชาย คุณชาย...”
“เขาเป็นอะไรไป?”
เสียงทุ้มมีอำนาจดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาคนนั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหราสีกรมท่าที่ปักลวดลายด้วยด้ายทองคำ คิ้วเข้มตาคมกริบ เครื่องหน้าสมส่วนงามสง่า รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำยำ ดูเปี่ยมอำนาจบารมี ทีท่าสงบเยือกเย็น
“เรียนท่านอ๋อง...คุณชายไม่สบายขอรับ” จางจงตอบเสียงเครือ
“ป่วยเป็นอะไร?”
“บาดเจ็บขอรับ”
“ตกลง...ป่วยหรือบาดเจ็บ?” ดวงตาคมกริบเจือแววดุ
“คะ...คือ...”
จางจงอึกอักพูดไม่ออก เพราะเกรงว่าถ้าพูดอะไรออกไปอาจจะทำให้คุณชายเดือดร้อนยิ่งกว่าเก่า
“มีอะไร พูดออกมาให้หมด และพูดแต่ความจริง!”
เสียงเข้มงวดของชินอ๋องทำให้จางจงจำใจต้องเล่าเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนออกมา พร้อมกันนั้นก็คอยสังเกตสีหน้าของชินอ๋องอย่างระมัดระวัง
แต่ชินอ๋องไม่แสดงสีหน้าอะไร เพียงรับฟังเฉยๆ เท่านั้น ก่อนจะถามว่า
“เจ้าไม่ได้ตามหมอมาดูอาการของเขาหรอกหรือ?”
“บ่าว...เอ่อ...ไม่กล้าขอรับ”
จางจงเอ่ยอย่างลำบากใจ ด้วยฐานะของคุณชายบวกกับข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนั้น แม้ในจวนจะมีท่านหมออยู่ประจำ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปเชิญมาตรวจดูอาการของคุณชาย บ่าวผู้ซื่อสัตย์ได้แต่ภาวนาในใจให้ท่านอ๋องเมตตาออกคำสั่งให้ตนไปเชิญท่านหมอมาดูคุณชาย เพราะเวลานี้ตัวคุณชายร้อนรุ่มด้วยพิษไข้ แต่ท่านอ๋องก็ยังคงนิ่งเฉย จางจงลอบถอนหายใจ เอามือลูบเส้นผมที่ระดวงหน้าในอ้อมแขนมาทัดไว้ที่ใบหู เผยดวงหน้าซีดเซียวของคุณชายให้ท่านอ่องเห็นเผื่อว่าจะได้รับความสงสารบ้าง
ทันทีที่เห็นดวงหน้าของจ้าวชิงเฟิงชัดตา ปากที่ได้รูปของชินอ๋องก็กระตุกเบาๆ เขาเพ่งมองไฝแดงเม็ดเล็กๆ ที่ใต้หางตาซ้ายของคุณชาย และเพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นก็ถึงกับลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้
ใช่คนผู้นี้!
ใช่ดวงหน้านี้!!
ชินอ๋องหลี่เฉิงยังจำได้ดี...เมื่อห้าปีก่อนเขาลอบเข้าไปสืบความลับในพระราชวังของแคว้นเป่ย แล้วพลาดท่าได้รับบาดเจ็บหลบหนีไปยังท้ายวัง เขาพบกับเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองคนหนึ่ง แต่งกายเรียบร้อย หน้าตาสะสวย ยิ่งมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ อยู่ใต้หางตาซ้าย ยิ่งส่งเสริมให้ดวงตาหงส์คู่งามดูมีเสน่ห์น่ารักมากยิ่งขึ้น...เป็นดวงตาที่น่าหลงใหลยิ่งนัก!
เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงชี้นิ้วขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เขาก็รีบทะยานกายขึ้นซ่อนตัวบนนั้น
ทหารกลุ่มหนึ่งติดตามมาถึงในเวลาอึดใจเดียว พากันคารวะเด็กหนุ่มและถาม
“องค์ชาย ท่านเห็นคนร้ายหนีมาทางนี้หรือไม่ขอรับ?”
เด็กหนุ่มเพียงแค่ส่ายหน้า
กลุ่มทหารกลุ่มนั้นก็พากันแยกย้ายไปค้นหาที่อื่นต่อ
เด็กหนุ่มเหลียวหน้ามามองที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่ทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อครึ่งปีก่อนที่เขานำทัพแคว้นหนานโจมตีจนแคว้นเป่ยแตกพ่าย เขาพยายามค้นหาเจ้าของไฝแดงเม็ดเล็กที่ใต้หางตาซ้ายในหมู่ราชวงศ์อายุราวสิบหกสิบเจ็ด
แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
ไม่คิดว่าคนที่ตามหาจะอยู่ในจวนของเขานี่เอง
“เจ้าอุ้มเขามาที่ห้องข้างก่อน” ชินอ๋องสั่งจางจง ก่อนจะเดินนำไปยังห้องข้าง ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้สำหรับสาวใช้ส่วนตัว(นางบำเรอ) แต่ถึงแม้ชินอ๋องจะไม่มีสาวใช้ส่วนตัว ทว่าห้องหับก็ยังคงเก็บกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยอยู่เสมอ จางจงรีบทำตามอุ้มร่างบอบบางของคุณชายตามชินอ๋องไป และวางลงบนเตียงนอนของห้องข้างอย่างเบามือ
“เจ้าไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้” ท่านอ๋องสั่งบ่าวรับใช้คนหนึ่ง
“ขอรับ” บ่าวรับใช้รีบปฏิบัติตามคำสั่ง
ไม่นาน...ท่านหมอวัยกลางคนก็มาถึง และทำการตรวจร่างกายของคุณชายทันที
พอท่านหมอตรวจเสร็จ ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะห่างจากเตียงนอนไม่มากนักก็ถามขึ้นทันทีว่า
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ร่างกายขาดอาหาร บาดแผลระบมจนเป็นไข้ บาดแผลที่หลังแม้ระบมมาก แต่รักษาไม่ยาก ทว่าที่ท้ายทอยนั้นอันตรายยิ่งนัก”
“อันตรายแค่ไหน?” ชินอ๋องถาม
“อาจถึงชีวิต!”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”