กวงจื้อจิ่งเลือกสัตว์อสูรที่นอนหมอบอยู่ใกล้ที่สุดแล้วดึงป้ายออกอย่างง่ายดาย โดยไม่มีทีท่าว่าสัตว์อสูรตัวนั้นจะต่อสู้กลับเลยแม้แต่น้อย คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ก็รีบใช้วิชาตัวเบาเก็บป้ายที่คอของสัตว์อสูรนับสิบตัวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ที่ซุ่มถ่ายภาพอยู่ตกตะลึงจนแทบร่วงลงมาจากต้นไม้ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูจากจอฉายภาพที่ไม่คิดว่ากลุ่มของเจิ้งหลินจะได้รับป้ายคะแนนง่ายเช่นนี้ ต่างกับกลุ่มอื่นที่มีการต่อสู้กับสัตว์อสูรหลายครั้งกว่าจะได้ป้ายแต่ละอันฮ่องเต้ที่นั่งกับเจิ้งกั๋วกงเองก็แปลกใจไม่ต่างกัน พระองค์ได้แต่หันมองเจิ้งกั๋วกงสลับกับจอภาพขนาดใหญ่ไปมา ก่อนจะตรัสถามขึ้นมาอย่างสงสัย“เจิ้งกั๋วกง กลุ่มของหลานสาวเจ้าใช้เล่ห์กลอันใดกันแน่ เจ้าดูกลุ่มอื่นต้องสู้อย่างทุลักทุเลกว่าจะได้ป้ายคะแนน แต่กลุ่มหลานสาวเจ้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเอามาง่าย ๆ เสียอย่างนั้นน่ะ”
“ฝ่าบาทอย่าได้กล่าวหาหลานสาวกระหม่อมนะพะย่ะค่ะ พระองค์ก็ได้ยินแล้วว่าเสี่ยวจู้บอกให้เข้าไปเอาได้ น่าจะเพราะความน่ารักของมันจึงทำให้สัตว์อสูรตัวอื่นยินยอมให้ป้ายเองก็เป็นได้นะพะย่ะค่ะ”
“เพ้ย! ความน่ารักเกี่ยวอันใดกับการทำให้สัตว์อสูรเชื่อฟังกัน เจ้าก็พูดไป”
“กระหม่อมก็พูดตามที่เห็นนี่พะย่ะค่ะ หากเป็นฝ่าบาทจะทำร้ายเสี่ยวจู้น้อยได้ลงคอหรือไม่เล่าพะย่ะค่ะ ท่านดูรูปร่างเล็กจิ๋ว ดวงตากลมโตสดใสนั่น พระองค์จะทำร้ายได้ลงจริง ๆ หรือพะย่ะค่ะ” เจิ้งกั๋วกงที่หลงใหลความน่ารักของเสี่ยวจู้เอ่ยค้าน
ฮ่องเต้หันไปดูภาพของเสี่ยวจู้ที่น่ารักอย่างที่เจิ้งกั๋วกงบอก หากเป็นพระองค์เองก็คงไม่อาจหักใจลงมือกับเจ้าตัวเล็กนั่นได้จริง ๆ“เฮ้อ หากเป็นเช่นนี้ข้าว่ากลุ่มของหลานสาวเจ้าจะต้องผ่านเข้ารอบได้แน่”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วพะย่ะค่ะ หลานสาวกระหม่อมกับเสี่ยวจู้ต้องผ่านได้แน่”
ผู้ชมที่ร่วมชมการแข่งขันถึงแม้จะสงสัยกันไม่น้อยก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากมาย อย่างไรกฎการแข่งขันก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องสู้กับสัตว์อสูรก่อนจึงจะรับป้ายได้เสียหน่อย ในเมื่อเป็นสัตว์อสูรเหล่านั้นยินยอมให้กลุ่มของเจิ้งหลินรับป้ายไปเอง พวกเขาจะพูดสิ่งใดได้กันเล่า ส่วนเฟินหลางกับภรรยาได้แต่กำหมัดแน่นอย่างโกรธแค้นที่เห็นเจิ้งหลินได้รับป้ายคะแนนสบายเกินไปตั้งแต่หลายปีก่อนที่เฟินหลางจำยอมปล่อยตัวเจิ้งหลินออกไป เขาก็ไม่ได้รับการติดต่อจากนางอีกเลย ทั้งที่เขาเป็นพ่อของนางแท้ ๆ ขุนนางหลายคนต่างก็ดูถูกเขาที่ไร้ความสามารถในการดูแลหลังบ้านของตนเอง ทำให้เขาต้องอับอายอยู่หลายปีกว่าจะตั้งหลักได้ หากไม่ใช่ว่าเจิ้งหลินมีเจิ้งกั๋วกงคอยคุ้มครองอยู่ เขาก็อยากจะสั่งสอนนังลูกอกตัญญูนั่นให้หลาบจำสักครั้ง ยิ่งคิดเฟินหลางก็ยิ่งแค้นกลุ่มอื่น ๆ กว่าจะได้รับป้ายคะแนนก็ต้องสู้กับสัตว์อสูรจนสูญเสียพลังปราณไปมาก พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นระยะเพื่อให้สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวต่อไปที่พวกเขาจะแย่งชิงป้ายคะแนน ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บหนักได้จนไม่สามารถผ่านการแข่งขันในรอบแรกนี้ตอนนี้กลุ่มของเจิ้งหลินมุ่งหน้าขึ้นเขาเซียวเจ๋อต่อไปตามการนำทางของเสี่ยวจู้ที่อยากได้ป้ายคะแนนสูง ๆ ซึ่งน่าจะติดอยู่กับสัตว์อสูรระดับกลางด้านบนเขาแห่งนี้ เมื่อพบสัตว์อสูรที่อยู่ตัวเดียว เสี่ยวจู้ปล่อยให้พวกเจิ้งหลินจัดการกันเอง แต่เมื่อใดที่พบกลุ่มสัตว์อสูรหลายตัว เสี่ยวจู้จะปล่อยพลังกดดันพวกมันจนต้องยินยอมมอบป้ายคะแนนให้อย่างไร้ทางสู้“เสี่ยวจู้ นี่ใกล้จะค่ำแล้ว ข้าว่าเราหาที่พักกันก่อนเถอะ” เจิ้งหลินเอ่ยขึ้น
“อืม… เช่นนั้นไปทางนี้กันดีกว่า ข้าได้กลิ่นแม่น้ำ พวกเจ้าจะได้ล้างหน้าล้างตากัน”
“เสี่ยวจู้ช่างเก่งกาจนัก เห็นตัวเล็ก ๆ แค่นี้แต่กลับมีความสามารถมากมาย” อู๋อิงเอ่ย
“นั่นสิ ๆ หากไม่ได้เสี่ยวจู้คอยนำทาง พวกเราคงไม่ได้ป้ายคะแนนมากเช่นนี้”
กลุ่มเล็ก ๆ ของเจิ้งหลินเดินไปคุยไปตามหลังเสี่ยวจู้ตัวน้อย สัตว์อสูรตัวอื่นได้แต่คิดในใจว่าท่านเสี่ยวจู้ของพวกมันเป็นถึงสัตว์เทพ จะไม่ให้ท่านเสี่ยวจู้มีความสามารถมากมายได้เช่นไรกันเล่าที่ลานกลางเมืองหลวงเมื่อใกล้ค่ำ ผู้ชมต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก เจิ้งกั๋วกงกับฮ่องเต้ก็กลับไปก่อนนานแล้วเช่นเดียวกัน พ่อบ้านใหญ่เห็นนายท่านผู้เฒ่ากลับมาถึงก็รีบถามข่าวคราวของคุณหนูสุดที่รักของเขาทันที“นายท่านขอรับ คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“เจ้าอย่าได้กังวล คุณหนูของเจ้าเสื้อผ้าแทบจะไม่เปื้อนฝุ่นดินเสียด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับป้ายคะแนนจำนวนมากมาอย่างง่ายดาย ฮ่า ฮ่า”
“จริงหรือขอรับ หากคุณหนูปลอดภัย บ่าวก็วางใจแล้วขอรับ”
“ไป ๆ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าเองก็จะไปเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเจิ้งหลินต่อ”
“ขอรับนายท่าน”
ค่ำคืนนั้นกลุ่มของเจิ้งหลินกินอาหารที่พ่อบ้านใหญ่เตรียมให้พร้อมกับปลาย่างหลายตัวที่พวกเขาจับขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างเอร็ดอร่อย เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังอยู่จนถึงยามซวีกว่าที่พวกเขาจะนอนพักผ่อนกันบนต้นไม้แถวนั้นเพื่อความปลอดภัยเช้าวันที่สองหลังจากกินอาหารและล้างหน้าล้างตากันเสร็จ เสี่ยวจู้ยังคงนำทางทุกคนขึ้นเขาด้านบนที่มีสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงไปจนถึงฟ้ากระจ่างขั้นสูงที่อยู่ระหว่างทางขึ้นไปบนยอดเขาช่วงกลางยอดเขานี้มีสัตว์อสูรกระจายกันอยู่ กลุ่มของเจิ้งหลินจึงต้องเสียแรงต่อสู้กับสัตว์อสูรพักใหญ่กว่าจะได้ป้ายคะแนนที่สูงกว่าภูเขาด้านล่างที่พวกเขาผ่านมาก่อนหน้านี้ เพราะเสี่ยวจู้อยากฝึกฝนพวกเขาให้แข็งแกร่งจึงไม่ช่วยเหลือเหมือนเช่นเมื่อวานนี้อีก“แฮ่ก ๆ เหตุใดแถวนี้จึงมีแต่สัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงกันนะ แบบนี้เราเหนื่อยแน่”
“เอาน่า อย่างไรก็เป็นการแข่งขัน อย่างน้อยเราก็สู้จนได้รับป้ายคะแนนมา” เจิ้งหลินเอ่ย
“จริงอย่างที่เจิ้งหลินพูดนะ หากพวกเราฝึกฝนกับสัตว์อสูรระดับนี้ ฝีมือของพวกเราคงก้าวไปอีกขั้นหนึ่งได้ไม่ยาก” กวงจื้อจิ่งเอ่ยเสริม
“เช่นนั้นเราก็สู้กันต่อ แต่ข้าขอพักเหนื่อยสักครู่เถอะ” เซียวเหมยกล่าว
เจิ้งหลินกับเพื่อนคนอื่น ๆ พยักหน้ายิ้มรับคำเซียวเหมย พวกเขาเองก็ต้องปรับพลังปราณให้เข้าที่เข้าทางหลังจบการต่อสู้ก่อนหน้านี้ โชคดีที่พวกเขาเน้นแย่งป้ายคะแนนโดยไม่ได้ต่อสู้กันจนตายไปข้างกับสัตว์อสูรผู้เข้าชมการแข่งขันวันนี้ยังคงหนาแน่นไม่ต่างจากเมื่อวาน เจิ้งกั๋วกงที่เห็นการต่อสู้ของหลานสาวกับเพื่อน ๆ ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ตอนนี้เขาวางใจแล้วว่าหลานสาวคนเดียวของเขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้หากเขาไม่อยู่แล้วอาจารย์ที่คอยถ่ายภาพกลุ่มของเจิ้งหลินถึงกับพยักหน้าอย่างพอใจที่เห็นกลุ่มของพวกนางสามัคคีกันจนสามารถเอาชนะสัตว์อสูรระดับนภาที่แข็งแกร่งได้เช่นนี้ ถึงแม้สัตว์อสูรของพวกเขาจะเป็นระดับฟ้ากระจ่างที่สูงกว่า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถึงกับพึ่งพาแต่สัตว์อสูร ยังไม่รวมถึงแผนการแย่งชิงป้ายที่พวกเขามอบหมายหน้าที่ให้เพื่อนร่วมกลุ่มแย่งชิงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหนีไปอีกด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรตัวนั้นติดตามมาการแย่งชิงป้ายที่กลุ่มของเจิ้งหลินทำนั้น ถึงแม้จะดูไม่ค่อยกล้าหาญนัก แต่ก็นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การแข่งขันแบบกลุ่มเช่นนี้ แทนที่จะต่อสู้จนไล่สัตว์อสูรไป พวกเขากลับแย่งชิงป้ายแล้วหนีไปแทน นับว่าพวกเขาประหยัดแรงไปได้มากกว่ากลุ่มอื่นที่ต่อสู้จนสัตว์อสูรหนีไปเองตอนนี้กลุ่มที่คาดว่าจะมีคะแนนนำมากที่สุดคือกลุ่มของเจิ้งหลิน ส่วนกลุ่มที่สองและสามนั้นยังไม่สามารถมองออกว่ากลุ่มใดจะได้ลำดับถัดไป อาจารย์ที่คอยถ่ายภาพยังมีหน้าที่ปกป้องศิษย์ที่อาจจะบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้และคัดกลุ่มที่ไม่สามารถสู้ต่อได้ออกจากการแข่งขัน ทำให้ในแต่ละวันจะมีกลุ่มที่ต้องออกจากการต่อสู้ไม่น้อยวันที่สองและสามของการแข่งขัน กลุ่มของเจิ้งหลินยังคงต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงเช่นเคยจนได้รับป้ายคะแนนที่มากกว่าวันแรกจากความยากของการแย่งชิงมาได้มากมายวันที่สี่ของการแข่งขัน กลุ่มของเจิ้งหลินผ่านเข้าไปยังเขตแดนของสัตว์อสูรระดับฟ้ากระจ่าง กลุ่มของพวกนางคราวนี้ต้องอาศัยสัตว์อสูรช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังกว่าจะได้ป้ายแต่ละอัน โชคดีที่พวกเขามีเกราะป้องกันที่เจิ้งกั๋วกงเตรียมเอาไว้ให้จึงไม่ได้รับบาดเจ็บกันมากนัก ส่วนเสี่ยวจู้ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียว มันเพียงแต่นอนดูการต่อสู้ใต้ต้นไม้พร้อมกินขนมที่เจิ้งหลินเตรียมเอาไว้ให้เท่านั้น ถึงแม้ผู้ชมจะหมั่นไส้เสี่ยวจู้ที่ไม่มีประโยชน์มากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อยากพูดมากเพราะไม่ใช่สัตว์อสูรของตน อีกทั้งกลุ่มของเจิ้งหลินก็ไม่มีใครต่อว่าเสี่ยวจู้เลยแม้แต่น้อย พวกเขากลับเล่นกับเสี่ยวจู้เพื่อให้หายเหนื่อยจากการต่อสู้แทน นับว่าเสี่ยวจู้เป็นกำลังใจน้อย ๆ ของกลุ่มนี้จริง ๆวันนี้มีกลุ่มที่ถูกคัดออกไปมากกว่า 30 กลุ่ม เนื่องจากระดับของสัตว์อสูรที่พวกเขาพบเจอนั้นมีระดับสูงกว่าสัตว์อสูรและพลังปราณของพวกเขา ทำให้ตอนนี้เหลือกลุ่มที่สามารถต่อสู้ได้ในวันสุดท้ายอยู่เพียง 20 กลุ่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นยังเป็นกลุ่มขององค์ชายน้อยและเฟินเสี่ยวหยางด้วยวันสุดท้ายของการแข่งขัน กลุ่มของเจิ้งหลินยังคงต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับฟ้ากระจ่างต่อไปอย่างแข็งขัน จนกว่าจะถึงเวลาสิ้นสุดการต่อสู้ในยามเว่ย พวกเขาตั้งใจที่จะเก็บป้ายคะแนนให้ได้มากที่สุดเช่นเคย ถึงแม้การต่อสู้วันนี้จะยากลำบากกว่าทุกวันที่ผ่านมา แต่พวกเขากลับยังมีรอยยิ้มอยู่เหมือนทุกวัน ยิ่งเจิ้งหลินที่มอบยาเพิ่มปราณให้เพื่อนในกลุ่มก่อนนอนทุกคืนมาตลอดด้วยแล้ว พลังปราณของกลุ่มพวกเขานั้นเพิ่มขึ้นทีละนิดในทุก ๆ วันกลุ่มอื่นที่เหลืออยู่ตอนนี้ยังมีอีก 12 กลุ่ม ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพียงสองชั่วยามในตอนเช้า พวกเขายังคงต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างแข็งขันเช่นเดียวกับกลุ่มของเจิ้งหลิน ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้ผ่านเข้ารอบไปสู้ต่อบนเวที พวกเขาจึงเร่งมือจัดการสัตว์อสูรและรับป้ายคะแนนให้เร็วที่สุดก่อนจะหมดเวลาเมื่อถึงยามเว่ย เสียงสัญญาณให้หยุดการต่อสู้ดังไปทั่วภูเขาเซียวเจ๋อ อาจารย์ทั้งหลายต่างมาหยุดยั้งการต่อสู้ของกลุ่มที่เหลืออยู่ทั้งหมดและสั่งให้ทุกกลุ่มกลับไปยังลานกลางเมืองเพื่อรวบรวมคะแนนทันที ศิษย์หลายกลุ่มจึงต้องหยุดมือตามคำสั่งและเดินทางกลับไปที่ลานกลางเมืองให้เร็วที่สุด พวกเขารู้ดีว่ากลุ่มที่ถูกคัดออกก่อนหน้านี้ อย่างไรก็คงไม่สามารถมีคะแนนมากเท่าพวกเขาที่อยู่ถึงวันสุดท้ายได้กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี
พรึ่บ!!! พระสนมทั้งหมดรีบลงไปคุกเข่าเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษทันที พวกนางรู้ดีว่าเวลาที่ฮ่องเต้กริ้วนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกนางจะถือดี เพราะตระกูลพวกนางยังไม่มีความสามารถพอเทียบเท่าตระกูลขอ
ครึ่งเซียนคนหนึ่งที่ถูกพลังของเสี่ยวจู้ทั้งตัวทับอยู่จนไม่สามารถต่อสู้ได้ ได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวดเพราะตอนนี้กระดูกทั่วทั้งตัวของเขานั้นลั่นกรอบแกรบไปหมด ทั้งที่เขาเป็นถึงครึ่งเซียนแต่กลับพลาดท่าให้สัตว์อสูรระดับสวรรค์ตัวหนึ่ง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเสี่ยวจู้ถึงแม้จะมีระดับต่ำแต่เมื่อรวมกับพลังสัตว์เทพแล้วก็สามารถต่อสู้กับครึ่งเซียนได้ไม่ลำบาก ยิ่งเมื่อเสี่ยวจู้ขยายร่างเต็มที่ ความสามารถในการปกป้องตนเองและพลังต่อสู้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจนไม่อาจคาดเดา“โอ้