หนึ่งเดือนต่อมา
เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี<
หลังแม่ทัพเจี่ยจากไป ชินอ๋องกับเจิ้งหลินก็คุยกันถึงเรื่องที่จะต้องทำศึกต่อ ความจริงเจิ้งหลินไม่อยากทำร้ายราษฎร เพียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจของพระสวามีของนาง เจิ้งหลินจึงขอร้องให้ชินอ๋องไว้ชีวิตราษฎรในเมืองชายแดนแคว้นหยาง“ตกลง พี่จะไม่ให้ทหารทำร้ายพวกเขา เราเพียงแค่ไล่เจ้าเมืองและทหารแคว้นหยางออกจากเมืองก็พอ”“ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้เกิดการต่อสู้กันไปมาโดยใช่เหตุ”“พี่เข้าใจ เพียงแต่หากเราไม่จัดการแคว้นหยางคืนบ้าง พวกเขาก็จะเหิมเกริมและมาทำร้ายคนของแคว้นเรา น้องอย่าลืมว่าพวกเราสูญเสียผู้คนไปมากแค่ไหนจากศึกในครั้งนี้ หากเสด็จพ่อจะให้บุกยึดแคว้นหยาง พี่ก็คงต้องทำตามรับสั่ง”
กลางดึกคืนนั้น แผนการของชินอ๋องและเจิ้งหลินเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้กองทัพแคว้นหยางไม่มีตัวประกันมาต่อรองกับกองทัพแคว้นชิงอีกแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการทำศึกเต็มรูปแบบที่ชินอ๋องกับแม่ทัพเจี่ยจะร่วมมือกันสู้ศึก หลังมื้อเที่ยงวันต่อมา แม่ทัพเจี่ยขอเข้าเฝ้าชินอ๋องกับพระชายาเพื่อวางแผนการรบและรายงานสถานการณ์ของเชลยทั้งหมดที่ช่วยมาเมื่อคืน“กราบทูลท่านอ๋อง พระชายา เชลยทั้งหมดมีบางส่วนที่บาดเจ็บจากการถูกศัตรูทรมานและบางส่วนก็เจ็บป่วยจากอาการตรอมใจตอนถูกจับตัวพะย่ะค่ะ”“ให้หมอไปตรวจรักษาเสีย และให้พวกเขาพักผ่อนให้ดี รอจนก
ชินอ๋องเห็นท่าทางสงสัยของเจิ้งหลิน พระองค์จึงถามนางดู พอรู้ว่านางหากิเลนไฟอยู่ พระองค์จึงเล่าให้นางฟังว่ากิเลนไฟไปหาเสบียงอาหารในป่าให้กองทัพได้สองสามวันแล้ว เพราะในค่ายตอนนี้เหลือเพียงข้าวฟ่างเป็นเสบียงพอได้กินวันละมื้อเท่านั้น ทหารบางกลุ่มก็ออกไปล่าสัตว์มาเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลจากค่ายนักด้วยกลัวว่าจะมีศัตรูซุ่มโจมตี“ลำบากเสด็จพี่แล้วนะเพคะ เสบียงที่หม่อมฉันนำมาครั้งนี้มีทั้งข้าว ข้าวฟ่าง แป้ง ผักและเนื้อสัตว์ที่กว้านซื้อมาจากชาวบ้าน รับรองว่าของที่เก็บไว้ในกำไลเก็บของจะไม่เสียหายแม้แต่น้อยเพคะ” เจิ้งหลินยิ้มตอบชินอ๋อง“ขอบคุณน้องหญิงมาก เจ้าอยากพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
เจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ