เข้าสู่ระบบกว่าสองนายบ่าวจะเดินมาถึงเรือนหลักด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว จะโทษที่นางล่าช้าไม่ได้ คนป่วยน่ะแค่เดินสามก้าวก็เหนื่อยหอบ มือเท้าชื้นเหงื่อเต็มไปหมด ต่อให้บำรุงมาครึ่งเดือนเรี่ยวแรงก็ยังไม่กลับมาดังเดิม น้ำในสระเย็นเฉียบ นางตกลงไปนานขนาดนั้น ไม่ขาดอากาศหายใจตายต้องส่งสุมบุญมากี่สิบชาติกัน
จะว่าไปตกน้ำครั้งนี้คุ้มค่าไม่น้อย ความทรงจำชาติก่อนผนวกเข้ากับความพิเศษบางอย่าง ทำให้นางรู้เช่นเห็นชาติของคนพวกนี้อย่างไรล่ะ! บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของครอบครัว เสียงแว่วแห่งความสุขดังออกจากเรือนหลักเป็นระยะ มือเล็กที่กำลังยกขึ้นจับห่วงประตูชะงักไปเล็กน้อย ลมหนาวพัดผ่านหัวใจซูเหยาไปหอบหนึ่ง สั่นสะท้านไปทั้งกาย นางหลับตาเม้มปากเข้าหากันแน่น สูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง เนิ่นนานค่อยลืมตาขึ้นมา มองประตูด้วยแววตาสงบนิ่ง สดับฟังสรรพสิ่งอย่างไร้ความรู้สึก ซูเหยาเดินเข้าไป สาวใช้และบ่าวรับใช้ภายในเรือนชั้นนอกเข้ามาคารวะนางเหมือนในยามปกติ รอจนซูเหยาพยักหน้าเชิงรับรู้ จากนั้นค่อยทยอยกลับไปทำงานกันต่อ ทุกอย่างยังดำเนินไปตามเดิมเหมือนทุกครั้งที่นางมา ทว่าใจคนบางคนกลับเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อมาถึงเรือนชั้นใน ซูเหยาไม่ได้เร่งร้อนเดินเข้าไปร่วมวงสนทนากับทุกคน นางยืนพิงเสามองสำรวจสีหน้าแห่งความสุขที่แผ่กระจายทั่วหน้าของทุกคน พลางคิด ในที่นี้จะมีสักกี่คนที่รู้สึกมีความสุขจริงๆบ้าง เอาเถิด ให้เวลาพวกเขาอยู่ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่นของครอบครัวไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน หากเห็นหน้าข้าแล้วเกรงว่าจะรักษาสีหน้าแห่งความสุขกันไว้ไม่ได้ “คุณหนูรองมาแล้ว” ไม่รู้ใครสังเกตเห็นซูเหยาที่ยืนอยู่ทางนี้ อุทานออกมาเสียงไม่หนักไม่เบาดังลอดถึงหูซูเหยา รอยยิ้มที่แต่งแต้มตรงมุมปากยิ่งกดลึกขึ้น แต่จนแล้วจนรอดคำพูดนั้นหาได้สั่นคลอน ‘วิมารแห่งความสุข’ นี้ลง บรรดาลูกหลานห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่าราวกับวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบบนใบหน้าชราประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง โฉมสะคราญหน้าตาคล้ายคลึงซูเหยาหลายส่วนคอยพูดเย้าแหย่ ส่งเสียงออดอ้อนให้หญิงชราหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว ท่านโหวนั่งอยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่าฮูหยินผู้เฒ่ามองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน มีฮูหยินของจวนถือถาดของว่างนั่งอยู่ด้านข้างฮูหยินผู้เฒ่า เบื้องหน้าหญิงชรามีชายหนุ่มรูปงามองอาจคุกเข่าจับมือเหี่ยวย่น ซูเหยาไม่อาจเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม แต่ให้นางเดาคงเป็นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม อบอุ่นและอ่อนโยนมากเป็นแน่ นอกจากนี้บรรดาอี๋เหนียง น้องสาวทั้งหลายของนางอยู่กันพร้อมหน้า ซูเหยามองไปรอบๆคำรบหนึ่งก่อนจะวกสายตากลับมา พลางคิดอย่างสะทกสะท้อนใจว่านี่ถึงจะเป็นภาพแห่งความสุขที่แท้จริง บรรยากาศอบอุ่นเสียจนไม่มีใครสนใจการปรากฏตัวของนาง จนกระทั่งอี๋เหนี๋ยงสามกล่าวทักขึ้นมาอีกรอบ อาจเป็นไปได้ว่านางทนฝืนแสดงไม่ไหว อิจฉาริษยา หรือกระทั่งต้องการสร้างความลำบากใจให้ซูเหยา ส่งยิ้มอย่างจนใจให้ซูเหยาครั้งหนึ่ง “คุณหนูรอง อาการป่วยยังไม่หายดี ด้านนอกลมแรงนัก ยืนอยู่ตรงนั้นนานๆไม่ดีนะเจ้าคะ เข้ามานั่งพักผ่อนข้างในก่อนเถิด” ภายในห้องพลันเงียบลง บรรยากาศอันแสนอบอุ่นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด ‘ภาพแห่งความสุข’ มลายหายไปในพริบตา ซูเหยาพยักหน้า ส่งมือผอมบางให้เมิ่งจูประคองเดินไป “รักษามาครึ่งเดือนก็ต้องฟื้นตัวบ้างเป็นธรรมดา ได้ข่าวว่าซื่อจื่อกลับจวน ข้าผู้เป็นน้องสาวจะไม่มาต้อนรับได้อย่างไร หลานคารวะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ พี่หญิง ซื่อจื่อเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กลางห้องลุกขึ้นยืน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พินิจมองใบหน้าซีดเซียวของน้องสาวร่วมอุทร เขาอายุราวๆสิบแปดสิบเก้าปี แต่งกายสุภาพ ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนคล้ายคลึงกับซูเหยาถึงเจ็ดส่วน โดยเฉพาะดวงตารีเรียวคู่นั้น “ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่หรอก หากร่างกายทรุดลงไปอีกจะไม่แย่หรอกหรือ” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นจากชายหนุ่ม รอยยิ้มบนใบหน้างามพลันหุบลง เผยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกมองตอบพี่ชายของตน “ข้าดื่มยาแล้ว วันหน้ามีแต่จะดีขึ้นเจ้าค่ะ ขอบคุณซื่อจื่อที่เป็นห่วง” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง นัยย์ตาของซูเหยียนหรี่มองซูเหยานิ่งคล้ายกำลังมองทะลุเข้าไปถึงข้างในความคิดของนาง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดกับซูเหยา ใบหน้าขาวซีดยังคงเรียบนิ่งดังเดิม “เหยาเหยาแข็งแรงมาตลอด ตั้งแต่ตกน้ำครั้งนั้นก็ร่างกายอ่อนแอเรื่อยมา หลายวันมานี้ข้าเชิญท่านหมอมาตรวจถึงได้ดีขึ้น หากเจ้ามีเรื่องใดที่คิดไม่ตกก็ให้บอกแม่ ไม่ควรทำร้ายตนเองเช่นนี้ ” เสียงของเผยซื่อทำลายความเงียบงันชั่วครู่ลง มาแล้ว เริ่มสาดโคลนใส่ข้าแล้วสินะ เรื่องกลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ ท่านแม่ของนางถนัดนักล่ะ เรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็โทษเผยซื่อไม่ได้ โดยพื้นฐานของมารดาเลี้ยงนั้นจะรักไคร่ลูกเลี้ยงของตนเองได้อย่างไร ยิ่งนางที่ไม่ใช่ลูกติดของบิดา แต่เป็นบุตรีของภรรยาคนก่อนที่เคยอยู่ในใจของท่านพ่อมานับยี่สิบกว่าปี หากจะท้าวความเรื่องราวแต่หนหลัง เผยซื่อก็นับได้ว่าเป็นมือที่สามบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีของท่านทั้งสองนั่นเอง ซูเหยาหวนระลึกถึงค่ำคืนหนึ่งที่ฝนตกกระหน่ำ นางยังจำคำพูดสุดท้ายของท่านแม่ได้ สตรีผอมแห้งราวตะเกียงขาดน้ำมันนอนนิ่งอยู่บนเตียง แววตาฉายแววสิ้นหวัง ใช้แรงทั้งหมดที่มีกอบกุมมือเล็กป้อมวัยห้าขวบของนางไว้หลวมๆ น้ำเสียงแหบแห้งเบาหวิวฟังไม่รู้ความ ทว่ากลับชัดเจนฝังลึกในจิตใจของนาง “เหยาเหยา ชีวิตนี้แม่ทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด ไม่เคยทำผิดต่อใคร ไม่เคยผิดต่อตนเอง มีเพียงเรื่องเดียวคือแม่ผิดต่อเจ้า” “แต่หากย้อนกลับไปได้อีกครั้ง แม่ก็ยังเลือกทางเดินเส้นนี้เหมือนเดิม” “ข้าฟางหรูซิน ไม่เคยเสียใจภายหลัง หากแต่ปล่อยวางเด็กคนนี้ไม่ลง นางยังเล็กนัก...” เสียงของท่านแม่เบาลงเรื่อยๆ จนขาดหายไปในที่สุด คืนนั้นมือน้อยของนางกุมมือเย็นชืดไร้ชีวิตของท่านแม่ไว้ทั้งคืน หยาดน้ำตาไหลลงบาดแก้มของนางแสบร้อนไปหมด นั่นคือการสูญเสียครั้งแรกของนาง ทว่าไม่นานหลังจากนั้นพลันมีสายลมอบอุ่นสายหนึ่งจากท่านแม่อีกคนโอบกอดหัวใจดวงน้อยที่แตกสลายของนางไว้ ท่านแม่ ท่านไม่เสียใจภายหลังจริงหรือ แต่ตอนนี้ข้าเสียใจแล้ว ซูเหยาหลุดจากภวังค์ ส่งยิ้มให้เผยซื่อบางเบาพลางเอ่ย “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงเดินไม่ระวังพลัดตกน้ำไปเท่านั้น หาได้มีเรื่องที่คิดไม่ตกอันใด” “น้องรอง ท่านแม่เพียงเป็นห่วงเจ้า หลายวันมานี้ทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงสุขภาพของเจ้า หากมีเรื่องอันใดในใจก็บอกกล่าวออกมาเถิด พวกเราเป็นห่วงเจ้ามากนะ” ซูม่านม่าน คุณหนูใหญ่ของจวนโหวผู้สุภาพเรียบร้อยอ่อนหวาน หนึ่งในหญิงงามของเมืองหลวง หากพูดถึงโฉมสะคราญอันดับหนึ่ง ชื่อแรกที่ผู้คนนึกถึงนั่นก็คือพี่น้องตระกูลซู ซูคนพี่งดงาม อ่อนหวาน บริสุทธิ์ราวนางฟ้านางสวรรค์ ซูคนน้องร้อนแรง สดใสดั่งดวงตะวัน และบุรุษร้อยทั้งร้อย ชื่นชอบหญิงสาวอ่อนหวาน บริสุทธิ์อยู่เหนือโลกีย์ หากแต่ไม่กล้าชมชอบสตรีร้อนแรง ยั่วเย้า ทำได้เพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น ช่างน่าขัน “เหตุใดพวกท่านกล่าวหาข้าไม่เลิกเช่นนี้” ซูเหยากลอกตาคร้านจะสนใจแม่ดอกบัวขาวนางนี้ ให้ตายเถอะ พูดอีกนิดก็แทบจะบีบคั้นน้ำในตัวออกมาได้แล้ว ไฉนเมื่อก่อนนางถึงดูไม่ออกกันนะ ซูเหยาเอ๋ยซูเหยา เจ้าช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้ “โอ๋ว หรือมีเรื่องใดที่ข้าต้องเป็นกังวลหรือเจ้าคะพี่หญิง” ซูเหยาหรี่ตามองซูม่านม่านราวกับล่วงรู้ความลับที่นางซ่อนเร้นอยู่ ภายในใจซูม่านม่านร้อนรุ่ม แต่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มดังเดิม “ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน เห็นเจ้าอาการไม่ดีขึ้นมาครึ่งเดือนแล้ว ย่อมคาดเดาว่าคงมีเรื่องกลุ้มใจอันใดเป็นแน่ เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าปวดใจนัก” “จะว่าไปก็แปลกนะเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าอากาศวันนั้นก็ไม่ร้อน ร่างกายของข้าก็ออกจะแข็งแรงปานนั้น อยู่ๆก็หน้ามืดหมดสติตกลงไปในน้ำ แถมสาวใช้ที่ติดตามไปด้วยก็ไม่อยู่ข้างกาย ที่อันตรายเช่นนั้นปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร หรือว่า...” ซูเหยาทำหน้าฉงนไม่เข้าใจเรื่องราว ครุ่นคิดสักพักใบหน้าก็เริ่มซีดลงเรื่อยๆ ร่ายกายสั่นสะท้าน รีบหันไปสั่งกำชับสาวใช้ข้างกาย “เมิ่งจู เจ้าไปเรียกมู่ตานมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้” ยังไม่ทันที่เมิ่งจูจะก้าวออกจากเรือน เสียงของเผยซื่อก็ดังขึ้นมาก่อน “ข้าสั่งโบยนางแล้วให้คนโยนศพทิ้งที่หลังเขานอกเมืองตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตกน้ำ สาวใช้บกพร่องในหน้าที่จนเกือบทำให้เจ้าเอาชีวิตไม่รอดเช่นนี้จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้” “แต่ว่ายังไม่ทันได้สืบเรื่องราวอันใดเลยนะเจ้าคะ เหตุใดจึงลงโทษนางเสียแล้ว” คิ้วสวยของซูเหยาเลิกขึ้น “เอาล่ะๆ เรื่องก็จบไปนานแล้ว เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เจ้าไข้ขึ้นอยู่หลายวันจะไปรู้เรื่องอันใด หากมีแรงแล้วก็ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ดี อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในห้อง เรื่องนี้ไม่ต้องพูดขึ้นมาอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือตัดบท วันนี้เป็นวันที่หลานชายคนโปรดของนางกลับมา เด็กพวกนี้ยังจะหาเรื่องมาชำระความแต่หนหลังไปไย ถึงนางจะไม่ค่อยชอบใจหลานสาวคนนี้ แต่อย่างไรก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน อีกทั้งเด็กคนนี้ยังมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ นางยังไม่โง่พอที่จะหาเรื่องใส่ตัว “หลานเข้าใจแล้ว” ซูเหยากวาดสายตามองสีหน้าของแต่ละคน ก่อนจะหลุบตาลงช้าๆ อืม...สะใจ ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น แม้กระทั่งเฉยชายังมี ทว่านางกลับหาไม่เจอสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงนางเลยสักคน อย่างว่าแหละ บนหัวมีแต่ตัวเลขติดลบกันทั้งนั้น “ข้าเหนื่อยแล้ว เหยียนเอ๋อร์ เจ้าพยุงย่ากลับเรือน” หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปแล้ว ซูเหยาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ที่นี่ต่อ สองนายบ่าวเดินกลับยังเร็วกว่าตอนขามามากนัก ตั้งแต่ต้นจนจบ บิดาและพี่ชายของนางไม่เอ่ยปากสักคำ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการสนใจว่านางจะอยู่หรือตาย ผู้คนต่างบอกว่า คนที่ไร้หัวใจที่สุดนั้นคือฮ่องเต้ วันนี้นางขอค้าน คนในจวนหย่งอันโหวแห่งนี้ต่างหากที่ไม่มีหัวใจ นางได้สูญเสียคนในครอบครัวไปหมดแล้ว หรืออาจจะบอกได้ว่า นอกจากมารดาแท้ๆ ก็ไม่มีใครที่เห็นนางเป็นคนในครอบครอบมากกว่า โชคชะตาช่างเล่นตลกดีแท้ซูเหยาโงนเงนก้าวเข้าสู่ห้องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์สีเงินสาดส่องเข้ามาเพียงน้อยนิด ความร้อนรุ่มที่แล่นพล่านอยู่ในกระแสเลือดเผาผลาญสติของนางหมดลงทีละน้อย ดวงตาพร่าเลือนของนางพยายามปรับโฟกัสกับเงาร่างสูงใหญ่ที่นอนบนเตียงในวินาทีที่ร่างนั้นหันมา ความมืดไม่อาจซ่อนรูปโฉมของเขาได้หมด ซูเหยาเบิกตากว้างทันทีที่เห็นสวรรค์ ข้าเบลอคนเห็นภาพหลอนหรือ!ไม่ว่าความทรงจำจะเลือนรางแค่ไหน นางก็ไม่มีวันลืมโครงหน้าอันสมบูรณ์แบบนี้ได้ ความหล่อเหลาที่ราวกับถูกสลักเสลาจากหยกเย็นชั้นดี สูงส่ง เย็นชา และเป็นคนที่นางเคยลอบมองอยู่หลายครั้งเป็นผู้ที่นางหลงใหลอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแค่ก ๆซูเหยาแทบอยากกรีดร้องออกมา โอกาสเดียวที่ฟ้าประทานให้มาถึงแล้ว!แรงปรารถนาที่แล่นพล่านในกายของซูเหยา ทำให้สติสัมปชัญญะของนางพร่าเลือน นางเซถลาเข้าหาร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มที่แม้จะถูกพิษอันร้อนแรงครอบงำ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็ยังคงฉับไว มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมารองรับแผ่นหลังของนางไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ศีรษะข
ลวี่เจานำทางซูเหยาเดินเข้ามาด้านในของจวนหนิงอ๋องที่ห่างไกลจากความครึกครื้นของลานจัดเลี้ยง สายลมยามค่ำพัดผ่านหมู่ไม้ เสียงเสียดสีกันนั้นคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบกายซูเหยาตระหนักในทันทีว่าเส้นทางที่กำลังมุ่งไปนี้ไม่ใช่เส้นทางไปยังห้องเปลี่ยนชุดตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เป็นทางวกวนลัดเลาะสู่เรือนเล็กด้านหลังแทนซูเหยากระตุกมุมปาก พวกนางกระทำการโจ่งแจ้งยิ่งนักนางยังคงแสดงสีหน้าอ่อนเพลีย แต่ละก้าวเดินสะเปะสะปะ แต่แอบกวาดมองสำรวจทิศทางอย่างรวดเร็ว หนิงหวางเฟยผู้นั้นช่างรอบคอบนัก เดิมทีก็ไม่คิดจะให้นางเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว หากแต่ต้องการล่อให้นางเข้ามาในสถานที่ที่สามารถลงมือได้อย่างลับตาคนแห่งนี้ต่างหาก!จนเมื่อมาถึงเรือนเล็กแห่งหนึ่ง ลวี่เจาเปิดประตูออก “คุณหนูซู เชิญด้านในเจ้าค่ะ ชุดสำรองเตรียมไว้ให้ท่านอยู่บนเตียงแล้ว”ลวี่เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม แต่ในแววตานั้นซ่อนความเยาะเย้ยจาง ๆ ไว้กลิ่นกำยานชนิดหนึ่งคลุ้งอยู่ในอากาศ ทำให้ซูเหยาต้องสูดหายใจลึกด้วยความฉุน นางส่งเสียงตอบรับในลำคอ เดินตามลวี่เจาเข้าไป ภายในมีเพียงเตียงแกะสลักและฉากกั้นไม้ที่ทาสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่“หากคุณหนู
ซูเหยามองการจัดเตรียมอาหารทะเลที่หนิงหวางเฟยอุตส่าห์จัดมาให้ เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการใช้นางเป็นสนามอารมณ์ เพื่อให้เหล่าสตรีทั้งหลายริษยา แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าปูนึ่งสามรสที่ถูกนำมาตั้งไว้ตรงหน้านั้นช่างยั่วยวนนักท่าทางดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้ขัดตาหลายคนที่มอง นางเช็ดริมฝีปากด้วยผ้าไหมเนื้อดีอย่างสำรวม หลังจากลิ้มรสปูนึ่งสามรสไปจนหมดตัวหนึ่ง พลางเหลือบมองไปทางหนิงหวางเฟย“ปูนึ่งสามรสจานนี้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ถูกปากยิ่งนัก เป็นอาหารเลิศรสที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยทานมาในหัวเฉินเลยเพคะ” ซูเหยากล่าวชมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ“หากชอบก็กินมากหน่อย อย่าได้เกรงใจกันเกินไปเล่า” หนิงหวางเฟยจิบสุราขึ้นดื่ม รอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า“หามิได้เพคะ พระองค์ทรงเมตตาจัดเตรียมให้หม่อมฉันโดยเฉพาะ เหยาเอ๋อร์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง” ซูเหยาลุกขึ้นยอบกายกล่าวอย่างสุภาพ“แต่ร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอมาตั้งแต่จับไข้ที่เมืองหลวง ไม่กล้าทานอาหาร ‘ร้อนแรง’ เช่นนี้มากนัก เพียงตัวเดียวหม่อมฉัน
ฝั่งบุรุษเสียงสนทนาในศาลาฝั่งชายครึกครื้นไม่แพ้กัน มู่หรงไป๋อี้นั่งเงียบอยู่ในมุมข้าง หน้าต่างด้านข้างของศาลาเปิดออกพอดี ม่านแพสีทองปลิวบางเบาเขาสวมชุดคลุมสีเข้มปักลายคลื่นเงินเรียบง่าย ใบหน้าคมสงบนิ่ง ผิวขาวจนตัดกับผมดำขลับนิ้วเรียวหมุนจอกสุรา ดวงตาเรียวยาวทอดผ่านม่านออกไปยังลานฝั่งหญิงโดยไม่รู้ตัวถังเว่ยซึ่งนั่งตรงข้ามกันหัวเราะเบา ๆ “ไป๋อี้ เจ้าจ้องลานนั่นตั้งแต่คุณหนูสองคนนั้นเข้ามา ข้าไม่เคยเห็นเจ้าสนใจสตรีที่ไหนมาก่อนนะ”หวังอวี่มองตามบ้าง “เจ้ามองอะไรอยู่ไป๋อี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่เคยสนใจงานเลี้ยงแบบนี้”“พูดมาก” เขาตอบเรียบ “ข้าเพียงมองดูบรรยากาศ”หรงอี้ที่ติดตามมาแอบกลอกตามองบน จะเป็นใครได้ หากไม่ใช่ท่านผู้นั้นหวังอวี่ที่นั่งข้างกันหัวเราะบ้าง “นั่นน่ะหรือคุณหนูซูเหยา เหลนสายนอกของไทเฮาสตรีผู้เป็นที่กล่าวถึงของทั้งเมืองหลวง เลื่องลือมาถึงฝั่งใต้เรา ถึงเจ้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ แต่ต้องเคยได้ยินมาบ้างกระมัง นางถือตนเองว่าได้รับความโปรดปรานของไทเฮา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หยิ่งยโสโอหัง ทำเรื่องวุ่นวายไม่รู้กี่ครั้ง แม้แต่ในวังหลวงยังกล้าทำมาแล้วครั้งหนึ่ง”เจิ้นหยางเสริมเสียง
เช้าวันงานเลี้ยงแสงแดดลอดผ่านม่านลูกไม้บาง ๆ เข้าสู่เรือนด้านใน กลิ่นฝนเมื่อคืนยังไม่จาง ซูเหยานั่งเอนอยู่หน้ากระจกสำริดในชุดคลุมบางสีงาช้าง ผมยาวปล่อยสยายทั่วบ่า“คุณหนูจะใส่ชุดไหนดีเจ้าคะ” หลี่หลัวถือหีบผ้าเปิดให้ดูทีละชุด ตั้งแต่ผ้าแพรลายมังกรสีฟ้าหยกจนถึงชุดปักทองซูเหยามองเรียงทีละชิ้น “ตัดชุดครามทิ้งไปเลย สีเหมือนน้ำค้างแข็ง ใส่แล้วดูเหมือนคนตายลุกจากโลง”“เจ้าค่ะ” หลี่หลัวอมยิ้มกุ้ยซินยื่นชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนทาบบนตัวนาง “งั้นชุดนี้เจ้าคะ ท่านใส่แล้วดูเหมือนสตรีขี้โรคผู้งดงาม”ซูเหยาปรือตาเหลือบมอง นางชมข้าว่างามหรือไม่งามกันแน่หลี่หลัวหยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมา “ปิ่นหยกที่ไทเฮาพระราชทานอันนี้เข้ากับชุดพอดีเจ้าค่ะ”ซูเหยาเลิกคิ้ว ปล่อยให้สองสาวใช้แต่งตัวให้ตามอำเภอใจ “งั้นใช้เถิด เวลาโดนใครด่า ข้าจะได้มีโล่กำบังอีกชั้น”ขณะพูด ซูเหยาก็หันไปมองเงาสะท้อนในกระจก ผิวซีดจนแทบกลืนกับผ้า แววตาเจอความเหนื่อยล้า เมื่อปัดแป้งบาง ๆ ลงใบหน้า ความอ่อนแอนั้นกลับกลายเป็นเสน่ห์ละมุนอย่างประหลาด เหมือนกลีบดอกที่พร้อมจะร่วง ทว่าคงความสดใหม่“คุณหนู เย็นวันนี้คุณหนูฟางเซียงจะมารับนะเจ้าคะ” สาว
ในห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมลอดกรอบหน้าต่างและกลิ่นธูปจาง ๆ ลอยคลุ้ง ซูเหยาเอนตัวพิงหมอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนระโหยตามแบบหญิงป่วยที่ยังไม่ฟื้นดี นางยื่นมือให้หลี่หลัวนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ เตรียมผ้าชุบน้ำเย็นไว้เช็ดหน้าให้ แต่ก็อดไม่ได้จะเอ่ยเรื่องข่าวเมืองหลวงที่เพิ่งได้ยินมา ซูเหยาเอนตัวพิงหมอน ดวงตาปรือปรอยจากความเมื่อยล้า ทว่ามุมปากกลับคลี่ยิ้มบาง“เจ้าเล่าข่าวคราวในเมืองหลวงให้ข้าฟังบ้างสิ ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแล้ว”หลี่หลัวถามอย่างยินดี “คุณหนูหมายถึงข่าวบ้านเมืองหรือเจ้าคะ”ซูเหยาเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “ข่าวบ้านเมือง? หรือว่าฝ่าบาทเปลี่ยนใจสละราชบัลลังก์เสียแล้ว”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” หลี่หลัวรีบมองซ้ายขวากลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน คุณหนูนับวันยิ่งใจกล้า แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าวิจารณ์“ข้าชอบข่าวคนมากกว่า” ซูเหยาว่าพร้อมหัวเราะกับท่าทีตื่นตระหนกของนาง “ข่าวบ้านเมืองฟังแล้วปวดหัว สตรีในห้องหอจะอยากรู้เรื่องของราชสำนักไปทำไมกัน”หลี่หลัวสบตาซูเหยา ก่อนยิ้มอย่างรู้ทัน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากพ่อค้าข่าวในตลาดนะเจ้าคะ”“อืม ว่ามาสิ” ซูเหยาคงรอยยิ้มสวยงาม หากแต่นางไม่เชื่อว่าข่าวที







