อวิ่นเฟยหยวนหรี่ตาขึ้นมอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวเพิ่มขึ้นของร่างบาง พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตา เขาจึงตัดสินใจจับมือทั้งสองข้างของอวิ่นซงถิงขึ้นมาโอบรอบคอ แล้วอุ้มนางขึ้นนั่งบนโต๊ะ โดยที่ริมฝีปากของเขายังคงไม่ผละออกจากริมฝีปากของนาง
หลังจากนั้นอวิ่นเฟยหยวนก็ขบเม้มริมฝีปากอิ่มทั้งบน และล่าง เรียวลิ้นร้ายปาดเลียไปตามรอยแยก ระหว่างนั้นฝ่ามือหนาก็ยกขึ้นมาแตะเบา ๆ ที่ปลายคาง แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วชี้บีบพวงแก้มนุ่ม จนริมฝีปากอิ่มเผยอออก
เรียวลิ้นร้ายที่ตามไล้เลียอยู่ไม่ห่าง พอสบโอกาสก็รีบสอดแทรกเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน และไล่เกี่ยวรัดลิ้นเล็ก ๆ ของร่างบาง
“อื้อ...” อวิ่นซงถิงครางประท้วง พร้อมกับลดมือทั้งสองข้างลงมาทุบเบา ๆ ที่แผงอกกว้าง นางกำลังจะขาดอากาศหายใจ อวิ่นเฟยหยวนก็ยอมผละริมฝีปากออกให้เล็กน้อย แต่ทว่าเพียงไม่นานก็ทาบทับริมฝีปากบางกลับลงมา
จุมพิตครั้งนี้เร่าร้อนขึ้นกว่าเดิมมาก ริมฝีปากของอวิ่นซงถิงถูกดูดดึงไม่หนักไม่เบา เรียวลิ้นร้ายของอีกฝ่ายกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากอย่างอุกอาจ จากนั้นก็ตามพัวพันหยอกเย้าลิ้นเล็ก ๆ ของนาง
ฉับพลันเสียงคล้ายกับคนปาหินก้อนเล็กใส่ฝาไม้ด้านข้างของเรือนก็ดังขึ้นติดต่อกันถึงสามครั้ง!!
เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณจากอาต้าน อวิ่นเฟยหยวนก็รีบผละริมฝีปากออกด้วยความรู้สึกเสียดาย เขาก้มมองดวงหน้างามที่แดงก่ำ มองริมฝีปากอิ่มที่ฉ่ำวาวตรงหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
พอสงบใจได้ อวิ่นเฟยหยวนก็คลายอ้อมแขน แล้วก้าวเท้าออกไปดูว่า ผู้ใดกันที่เดินเข้ามาใกล้เรือนร้างหลังนี้ เพราะการที่อาต้านไม่ใช้อุบายไล่คนผู้นั้นให้ออกห่าง หรือไล่ต้อนคนผู้นั้นให้เดินไปอีกทาง แต่เลือกส่งสัญญาณบอกเขาเช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้เกินแปดในสิบส่วนเลยว่า คนผู้นั้นจะต้องเป็นเจ้านายสักคนในจวนแห่งนี้
แต่ยังไม่ทันที่อวิ่นเฟยหยวนจะได้ก้าวเดินไปจนถึงประตูห้อง เสียงพูดคุยของผู้มาใหม่ก็ทำให้เขาหยุดชะงัก แล้วรีบหันหลังกระโจนเข้าไปรวบร่างอวิ่นซงถิงเข้ามาในอ้อมแขน จากนั้นก็พุ่งแทรกกายเข้าไปใต้เตียง เพื่อหลบซ่อน
“พี่ชายทำ...” อวิ่นซงถิงถามยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็กดศีรษะของนางแนบเข้ากับแผงอก แล้วก้มลงมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูว่า
“ชู่ว์ อยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ ก่อนนะคนดี”
ลมหายใจอุ่นร้อนของฝ่ายตรงข้ามเป่ารดลงมาที่ข้างแก้มขวา อวิ่นซงถิงรีบซุกใบหน้าลงไปที่แผงอกกว้าง แล้วเมื่อรับรู้ได้ว่า ร่างกายของนางกับร่างกายของอวิ่นเฟยหยวนใกล้ชิดแนบสนิท โดยไม่มีส่วนใดเว้นวาง แม้ยามนี้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้น แต่ทว่าสิ่งใหญ่โตแข็ง ๆ บางอย่าง มันกำลังแนบชิดอยู่ที่หน้าขาของนาง!
อวิ่นซงถิงตัวแข็งทื่อ หัวใจของนางสั่นไหว แล้วในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้อง ตามด้วยเสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสองคู่เดินเข้ามาใกล้บริเวณที่พวกนางกำลังซ่อนตัวอยู่
หลังจากนั้นอวิ่นซงถิงก็ได้ยินเสียงพูดคุยที่คุ้นหูดังขึ้นว่า
“อาเฉียว ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
“บ่าวก็คิดถึงนายท่านเจ้าค่ะ แต่...นี่ยังกลางวันอยู่เลยนะเจ้าคะ นายท่านเจ้าคะ! อย่า...อื้อ!”
“ข้าหาได้สนเรื่องเวลาไม่ ข้าสนเพียงแค่...”
“นายท่านเจ้าคะ บ่าวยังจะต้อง...อึก! นายท่าน...ตรงนั้น... อื้อ!!”
‘เสียงท่านพ่อกับอาเฉียว!’ อวิ่นซงถิงตกตะลึง แม้นางจะรับรู้มาโดยตลอดว่า มารดายินยอมให้ผู้เป็นบิดามีอนุภรรยากับบ่าวอุ่นเตียงได้หลายคน ในวัยเด็กแม่นมก็เคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมีนาง...ผู้เป็นมารดาถึงขั้นเคยคัดเลือกบ่าวสตรีในเรือนขึ้นเตียงให้กับบิดาเดือนละคน แต่นางก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า แม้แต่อาเฉียว ซึ่งเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของนางก็เป็นหนึ่งในบ่าวอุ่นเตียงของบิดาด้วย
เมื่อดึงสติของตนเองกลับมาได้ อวิ่นซงถิงจึงยกคอขึ้นเล็กน้อย แล้วเอี้ยวมองออกไปจากใต้เตียง ยามนี้นางเห็นเท้าของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีค่อย ๆ ถอยใกล้เข้ามาราวกับว่า คนทั้งสองกำลังโอบกอดกันอยู่ จากนั้นเท้าทั้งสองคู่ก็มาหยุดอยู่ข้างหน้าเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงมา
แล้วหลังจากนั้นอวิ่นซงถิงก็เห็นเสื้อผ้าของคนทั้งสองร่วงลงมาที่พื้นทีละชิ้นทีละชิ้น
“นายท่านเจ้าคะ เตียง...เตียงหลังนี้มันจะ...อึก! อย่าเพิ่งเจ้าค่ะ นาย...นายท่านเจ้าคะ ได้โปรด...อื้อ! ได้โปรดหยุดฟังที่บ่าวพูดสักนิดเถิดเจ้าค่ะ คือ เตียงหลังนี้คราก่อนมันใกล้จะ...อ๊ะ! อื้อ!!”
“หึ! เจ้ากลัวเตียงจะหักอยู่หรือ? ดูให้ดีสิ...นี่มันเตียงหลังใหม่ ข้าเพิ่งให้คนนำมาเปลี่ยนเมื่อเช้า อาเฉียว ยกสะโพกของเจ้าขึ้นมา”
“นายท่านเจ้าคะ บ่าว... อ๊ะ! นายท่านตรงนั้นมัน...อึก! ได้โปรดช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ ข้าใกล้จะ...อ๊ะ! อ้า!!”
“อาถิงอยู่นิ่ง ๆ”
อวิ่นซงถิงเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเตือนจากบุรุษข้างกาย นางก็รีบหดคอกลับลงมา วันนี้มีเรื่องทำให้นางรู้สึกตกใจมากมาย จนตอนนี้นางแทบจะแยกแยะความรู้สึกของตนเองไม่ได้ แต่เอาเถิด! เรื่องอาเฉียวกับผู้เป็นบิดาหาใช่เรื่องที่นางจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
แต่ทว่า...
“อาเฉียว ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวข้า”
“นายท่านเจ้าคะ อย่าเพิ่งใส่เข้ามา...อ๊ะ! มัน...อึก! อย่าเพิ่งขยับเจ้าค่ะ! บ่าว...อื้อ!!”
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
อวิ่นเฟยหยวนหอบหายใจ เขาโอบกอดสตรีใต้ร่างเอาไว้แน่น นางเหมือนจะเหนื่อยมาก จนเผลอหลับไปแล้ว เขาจึงพลิกเอาตัวเองลงไปนอนราบ แล้วยกร่างอวิ่นซงถิงขึ้นมานอนบนตัวเขา ดวงหน้างามยามนี้ยังคงมีสีแดงระเรื่อพาดผ่าน ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่เขาคงจุมพิตนางแรงเกินไป เขาจึงยกมือข้างขวาขึ้นนวดคลึงริมฝีปากอิ่มทั้งบน และล่างอย่างทะนุถนอม จากนั้นอวิ่นเฟยหยวนก็ก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่ขมับของสตรีในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกรักใคร่ และหวงแหน หากแผนการที่อวิ่นเฟยหยวนวางไว้สำเร็จ อีกไม่นานเขาก็จะได้สตรีในอ้อมแขนมาครอบครองแบบสมบูรณ์ และถูกต้องในสายตาของผู้อื่น แต่หากไม่สำเร็จเขาก็ยินดีแลกด้วยทุกอย่างที่มี ต่อให้ต้องตาย เขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากนาง ไม่ยอมให้นางไปเป็นภรรยาของบุรุษอื่น และจะไม่ยอมกลับไปเป็นเพียงแค่พี่น้องกับอวิ่นซงถิงเด็ดขาด! อวิ่นเฟยหยวนเหลือบตาขึ้นมองแผ่นไม้ร
เมื่อได้รับอนุญาต อวิ่นเฟยหยวนก็บดจุมพิตลงบนริมฝีปากอิ่มทันที เมื่อครู่เขาทันได้เห็นสายตาที่คล้ายกับจะเริ่มหวาดหวั่นของสตรีใต้ร่าง เขากลัวอวิ่นซงถิงจะเปลี่ยนใจ จึงรีบเลื่อนมือทั้งสองข้างจับลงบนสะโพกของนาง จากนั้นก็เริ่มขยับส่วนนั้นไปตามสัญชาตญาณ แม้เขาจะไม่เคยทำ แต่ก็เคยอ่านตำราวสันต์มาหลายเล่ม อวิ่นเฟยหยวนถูไถส่วนนั้นขึ้นลงอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วง ยามนี้เขากับอวิ่นซงถิงต่างสัมผัสได้ถึงร่างกายของกันและกันผ่านเนื้อผ้า “อึก! อ๊า...” ความเสียวซ่านทำให้อวิ่นเฟยหยวนเผลอหลุดเสียงครางกระเส่าเบา ๆ ออกมา เขาขังสตรีที่ตนรักเอาไว้ใต้ร่าง ออกแรงกระชับมือที่จับนาง เขาบดขยี้ ออกแรงกด พร้อมกับดึงสะโพกของร่างบางให้เข้าหา อวิ่นเฟยหยวนเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามส่วนเว้าบนแผ่นหลังของร่างบาง อวิ่นซงถิงแอ่นตัวขึ้นดุจดั่งคันธนู จึงทำให้หน้าอกนุ่ม ๆ ของนางแนบชิดเข้ากับแผงอกของเขามากขึ้น ซึ่งในทุกครั้งที่เคลื่อนไหว อวิ่นเฟยหยวนก็ยังต้องพยายามควบคุมไม่ให้เสียงขยับร่างกาย และเสียงครางของเขากับอวิ่นซงถิงหลุดไปเข้าหูสองคนบนเตียง หูทั้งสองข้างของเขาจึงต้องคอยฟังความเคลื่อนไหวของหนึ่งบุร
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของผู้เป็นบิดา เสียงสวบสาบของเนื้อผ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายกับจะร้องห้าม เสียงร้องครวญครางราวกับเจ็บปวดมาก แล้วไหนจะเสียงเนื้อกระทบกัน ซึ่งมันดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องอยู่เหนือศีรษะของพวกนาง ยามนี้อวิ่นซงถิงเผลอเอาเสียงที่ได้ยินมาจินตนาการเป็นภาพ นางรู้สึกร้อนรุ่มจนสั่นสะท้าน รู้สึกแปลก ๆ ที่ช่องท้อง และส่วนล่าง อวิ่นซงถิงอยากจะร้องไห้ นางอยากมีเวทมนตร์จะได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นใบไม้ หรือเป็นเศษฝุ่นเล็ก ๆ ก็ได้ นางจะได้ปลิวออกไปจากที่นี่! ตอนนี้เลย!! “นายท่านมันลึก...อึก! ท่านี้มันเข้ามาลึกมาก...อื้อ! นายท่านเจ้าคะ ข้า...ข้าไม่ไหว มันเข้ามาลึกเกินไปเจ้าค่ะ!” “อาเฉียว เจ้าชอบให้ข้าเข้าไปลึก ๆ และก็ชอบแบบแรง ๆ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?” อวิ่นซงถิงหลับตาปี๋ นางไม่อยากได้ยิน นางอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหู แต่ติดตรงที่ตัวนางถูกโอบกอด ยามนี้มือทั้งสองข้างอยู่ด้างล่าง นางจึงทำได้เพียงซุกใบหน้าเข้าไปที่แผงอกกว้าง เพื่อหลบหนีเสียงต่าง ๆ ที่มันยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วในขณะนั้น... คราแรกอวิ่นเฟยหยวนตั้งใจจะตัดประสาทสัมผัส เ
อวิ่นเฟยหยวนหรี่ตาขึ้นมอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวเพิ่มขึ้นของร่างบาง พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตา เขาจึงตัดสินใจจับมือทั้งสองข้างของอวิ่นซงถิงขึ้นมาโอบรอบคอ แล้วอุ้มนางขึ้นนั่งบนโต๊ะ โดยที่ริมฝีปากของเขายังคงไม่ผละออกจากริมฝีปากของนาง หลังจากนั้นอวิ่นเฟยหยวนก็ขบเม้มริมฝีปากอิ่มทั้งบน และล่าง เรียวลิ้นร้ายปาดเลียไปตามรอยแยก ระหว่างนั้นฝ่ามือหนาก็ยกขึ้นมาแตะเบา ๆ ที่ปลายคาง แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วชี้บีบพวงแก้มนุ่ม จนริมฝีปากอิ่มเผยอออก เรียวลิ้นร้ายที่ตามไล้เลียอยู่ไม่ห่าง พอสบโอกาสก็รีบสอดแทรกเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน และไล่เกี่ยวรัดลิ้นเล็ก ๆ ของร่างบาง “อื้อ...” อวิ่นซงถิงครางประท้วง พร้อมกับลดมือทั้งสองข้างลงมาทุบเบา ๆ ที่แผงอกกว้าง นางกำลังจะขาดอากาศหายใจ อวิ่นเฟยหยวนก็ยอมผละริมฝีปากออกให้เล็กน้อย แต่ทว่าเพียงไม่นานก็ทาบทับริมฝีปากบางกลับลงมา จุมพิตครั้งนี้เร่าร้อนขึ้นกว่าเดิมมาก ริมฝีปากของอวิ่นซงถิงถูกดูดดึงไม่หนักไม่เบา เรียวลิ้นร้ายของอีกฝ่ายกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากอย่างอุกอาจ จากนั้นก็ตามพัวพันหยอกเย้าลิ้นเล็ก ๆ ของนาง ฉับพลันเสียงคล้ายกั
“แต่จุมพิตแรก...” “เพราะข้ารู้ว่า จุมพิตแรกมีไว้สำหรับคนที่ตนรัก ในเมื่อข้ารักเจ้า ข้าจึงยินดีมอบมันให้กับเจ้า แล้วอาถิงล่ะ ยินดีมอบจุมพิตแรกให้กับข้าหรือไม่?” อวิ่นเฟยหยวนกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับอีกฝ่าย หากอวิ่นเฟยหยวนจำไม่ผิด ยามนั้นอวิ่นซงถิงน่าจะอายุประมาณสิบสองหนาวได้กระมัง เด็กหญิงตัวน้อยมักจะชอบไปนั่งฟังเรื่องเล่าจากนักเล่านิทานตามโรงเตี๊ยม และมักจะหาซื้อตำราเกี่ยวกับเรื่องราวความรักระหว่างบุรุษกับสตรีกลับมาอ่าน จากนั้นนางก็จะนำเรื่องที่ได้รับฟัง เรื่องที่ได้อ่านกลับมาเล่าให้เขาฟัง ระหว่างที่เล่า...เด็กหญิงตัวน้อยก็มักจะวาดฝันถึงบุรุษหนุ่มรูปงาม หรือไม่ก็เทพบุตรแสนดีในเรื่องเล่า แล้วยังวาดฝันถึงจุมพิตแรกที่แสนหวาน คู่ครอง และชีวิตแต่งงานในภายภาคหน้าของนาง ในยามนั้นอวิ่นเฟยหยวนคิดเอาไว้ว่า วันข้างหน้าเขาจะพยายามเสาะหาบุรุษในแบบที่อวิ่นซงถิงวาดฝันมาแต่งให้กับนาง ซึ่งตอนที่คิดเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ยินยอมแปลก ๆ และรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้าย แต่เพราะตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเอง เขาจึงไม่ได้เก็บเอาความรู้สึกแปลก ๆ เหล่านั้นมาขบคิดให้มากคว
“พี่ชาย พี่นัดข้ามาพบที่นี่ตามลำพัง พี่มีเรื่องสำคัญใดอยากกล่าวกับข้าหรือเจ้าคะ?” อวิ่นซงถิงเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเรือนร้างด้านหลังจวน โดยที่นางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าว เพื่อเพิ่มระยะห่าง เนื่องจากเมื่อครู่นางเผลอเดินเข้าไปใกล้พี่ชายบุญธรรมมากเกินไป “เข้าไปพูดกันด้านใน” “แต่...” อวิ่นซงถิงรู้สึกลังเล ด้วยเพราะเกือบสองปีที่ผ่านมา พี่ชายบุญธรรมผู้นี้พยายามเว้นระยะห่างกับนาง ทว่าอยู่ ๆ ก็ส่งจดหมายเรียกให้มาพบที่นี่ตามลำพัง ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวัน แต่สายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา...ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น จนไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปหา “หรือเจ้ารังเกียจพี่ชายคนนี้เสียแล้ว นั่นสินะ ข้ามันก็แค่...” “ข้าไม่เคยรังเกียจพี่ชายเลยนะเจ้าคะ เพียงแต่...” อวิ่นซงถิงรีบเอ่ยแทรก เมื่อเห็นท่าทีคล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจของบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็ตามข้าเข้ามา” อวิ่นซงถิงเห็นแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในเรือนร้าง แม้ใจหนึ่งไม่อยากจะเดินตาม แต่เมื่อนึกไปถึงสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่าย นางก็ตัดสินใจเดินตาม