เมื่อพี่ชายบุญธรรม อยากเปลี่ยนสถานะเป็นสามี ความรักที่ไม่ถูกไม่ควรในสายตาคนอื่น สุดท้ายแล้ว...มันจะจบลงเช่นไร? “พี่ชายเจ้าคะ พี่รักข้าแบบนั้นไม่ได้” “ทำไมจะรักไม่ได้?” “เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกันเจ้าค่ะ” อวิ่นเฟยหยวนจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่งาม “อาถิง เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้ากับข้าไม่ใช่พี่น้องกัน ระหว่างเราสองคนไม่มีสายสัมพันธ์ทางโลหิตเลยแม้แต่น้อย” “แต่ที่ผ่านมาข้ามองพี่แบบพี่ชาย และรู้สึกกับพี่ฉันพี่น้องเจ้าค่ะ” กล่าวจบ อวิ่นซงถิงก็รีบผลักอีกฝ่ายออก จากนั้นนางก็หมุนตัว แล้วรีบเดินตรงไปที่ประตูห้อง ปึ้ง! บานประตูไม้กระแทกปิด จนเรือนร้างสั่นสะท้านไปทั้งหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นผู้ซัดพลังใส่ เพื่อปิดมัน จากนั้นข้อมือของอวิ่นซงถิงก็ถูกกระชาก จนร่างหมุนกลับไปกระแทกกับแผงอกกว้าง รู้ตัวอีกทีร่างกายของนางก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอวิ่นเฟยหยวนแล้ว “อาถิง ที่ผ่านมาเจ้ามองข้า และรู้สึกกับข้าแบบพี่ชายของเจ้าจริง ๆ หรือ?” “ข้า...”
View More“พี่ชาย พี่นัดข้ามาพบที่นี่ตามลำพัง พี่มีเรื่องสำคัญใดอยากกล่าวกับข้าหรือเจ้าคะ?” อวิ่นซงถิงเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเรือนร้างด้านหลังจวน โดยที่นางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าว เพื่อเพิ่มระยะห่าง เนื่องจากเมื่อครู่นางเผลอเดินเข้าไปใกล้พี่ชายบุญธรรมมากเกินไป
“เข้าไปพูดกันด้านใน”
“แต่...” อวิ่นซงถิงรู้สึกลังเล ด้วยเพราะเกือบสองปีที่ผ่านมา พี่ชายบุญธรรมผู้นี้พยายามเว้นระยะห่างกับนาง ทว่าอยู่ ๆ ก็ส่งจดหมายเรียกให้มาพบที่นี่ตามลำพัง ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวัน แต่สายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา...ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น จนไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปหา
“หรือเจ้ารังเกียจพี่ชายคนนี้เสียแล้ว นั่นสินะ ข้ามันก็แค่...”
“ข้าไม่เคยรังเกียจพี่ชายเลยนะเจ้าคะ เพียงแต่...” อวิ่นซงถิงรีบเอ่ยแทรก เมื่อเห็นท่าทีคล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจของบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า
“เช่นนั้นก็ตามข้าเข้ามา”
อวิ่นซงถิงเห็นแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในเรือนร้าง แม้ใจหนึ่งไม่อยากจะเดินตาม แต่เมื่อนึกไปถึงสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่าย นางก็ตัดสินใจเดินตามบุรุษหนุ่มผู้นั้นเข้าไป
พอเข้าไปในเรือนร้าง อวิ่นซงถิงเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นเดินเข้าไปในห้องขนาดเล็กด้านในสุดของเรือน อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมกลางห้อง โดยภายในห้องนั้นมีบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้หนึ่งบาน มีโต๊ะกลมขนาดเล็กหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และเตียงไม้ที่มีฟูกกับชุดเครื่องนอนใหม่...?
นางรู้สึกแปลกใจจึงสอดส่ายสายตามองรอบห้องนั้นแบบเร็ว ๆ อีกหนึ่งครั้ง ทุกอย่างภายในห้องดูเก่ามาก เพราะเรือนหลังนี้ถูกทิ้งร้างมานาน มีเพียงเตียงไม้ ฟูกที่นอน และชุดเครื่องนอนเท่านั้นที่ดูใหม่มาก!
อวิ่นซงถิงคิดจะก้าวเท้าถอยหลัง แต่ทว่ายามนี้บุรุษหนุ่มที่เดินนำนางเข้ามาในห้อง ยกมือขึ้นมาปิดหน้า ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหวเบา ๆ ราวกับเจ้าตัวกำลังร้องไห้ จากที่นางจะก้าวเท้าถอยหลังก็กลับกลายเป็นเดินขึ้นหน้า
“พี่ชาย พี่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ? อ๊ะ...!”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามาในจุดที่ตนสามารถเอื้อมคว้าได้ อวิ่นเฟยหยวนจึงรีบยื่นมือไปดึงตัวอวิ่นซงถิงเข้ามากอดทันที จากนั้นเขาก็แนบใบหน้าเข้าไปที่บริเวณหน้าท้องแบบราบของนาง แล้วเริ่มสูดดมกลิ่นกายหอมหวานที่ตนเฝ้าถวิลหา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตา
“อาถิง ช่วงที่ผ่านมาเป็นพี่ชายเองที่หวาดกลัว และโง่เขลา ข้าขอโทษที่เอาแต่หลบหน้าเจ้า ขอโทษที่ทำตัวเฉยชา สร้างระยะห่างระหว่างเราสองคนขึ้นมา แต่ยามนี้ข้ามั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง และมั่นใจแล้วว่า สามารถทำให้ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเป็นจริง และทำให้มันถูกต้องได้” กล่าวมาถึงตรงนี้ อวิ่นเฟยหยวนก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก้มลงไปมองสตรีในอ้อมแขนที่รีบเบือนหน้าหลบสายตา
เมื่อเห็นเช่นนั้นอวิ่นเฟยหยวนจึงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของอวิ่นซงถิงให้เงยกลับขึ้นมาสบตา จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อาถิง ข้ารักเจ้า รักในแบบบุรุษรักสตรี รักเจ้าแบบคนรัก ข้าไม่ได้รักเจ้าแบบน้องสาว”
อวิ่นซงถิงตกตะลึงตั้งแต่ตัวนางถูกดึงเข้าไปกอด แล้วเมื่อได้สบสายตากับบุรุษหนุ่มในระยะที่ใกล้มาก และได้ยินประโยคบอกรักจากผู้ที่นางนับถือเป็นพี่ชาย ยามนี้ร่างกายของนางจึงยังนิ่งค้าง ส่วนความรู้สึกของนาง มันผสมปนเปกันไปหมดแล้ว!
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปครู่หนึ่ง อวิ่นซงถิงถึงดึงสติของตนเองกลับมาได้ นางพยายามทำใจให้เย็น จากนั้นก็รีบตอบกลับไปว่า
“พี่ชายเจ้าคะ พี่รักข้าแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมจะรักไม่ได้?”
“เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกันเจ้าค่ะ”
อวิ่นเฟยหยวนจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่งาม
“อาถิง เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้ากับข้าไม่ใช่พี่น้องกัน ระหว่างเราสองคนไม่มีสายสัมพันธ์ทางโลหิตเลยแม้แต่น้อย”
“แต่ที่ผ่านมาข้ามองพี่แบบพี่ชาย และรู้สึกกับพี่ฉันพี่น้องเจ้าค่ะ” กล่าวจบ อวิ่นซงถิงก็รีบผลักอีกฝ่ายออก จากนั้นนางก็หมุนตัว แล้วรีบเดินตรงไปที่ประตูห้อง
ปึ้ง!
บานประตูไม้กระแทกปิด จนเรือนร้างสั่นสะท้านไปทั้งหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นผู้ซัดพลังใส่ เพื่อปิดมัน จากนั้นข้อมือของอวิ่นซงถิงก็ถูกกระชาก จนร่างหมุนกลับไปกระแทกกับแผงอกกว้าง รู้ตัวอีกทีร่างกายของนางก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอวิ่นเฟยหยวนแล้ว
“อาถิง ที่ผ่านมาเจ้ามองข้า และรู้สึกกับข้าแบบพี่ชายของเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“ข้า...” อวิ่นซงถิงพูดต่อไม่ออก เมื่อถูกบังคับให้มองสบกับสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดของอวิ่นเฟยหยวน ยามนี้นางรู้สึกราวกับว่า มีค้อนขนาดใหญ่ทุบลงไปยังกำแพงน้ำแข็งที่นางเพียรสร้างขึ้นมา เพื่อปิดกั้นความรู้สึกไม่ถูกไม่ควรที่มันมักจะพยายามแสดงตัวตนออกมา
อวิ่นเฟยหยวนรับรู้ได้ถึงอาการสั่นเบา ๆ จากร่างบาง จากนั้นเขาก็เห็นหยาดน้ำตาค่อย ๆ รินไหลลงมาจากดวงตากลมโตของสตรีในอ้อมแขน เขาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาช่วยซับน้ำตา แล้วเอ่ยถาม
“ถิงเอ๋อร์ ข้าขอจุมพิตเจ้าได้หรือไม่?”
“พี่ชาย!!”
“ได้หรือไม่คนดี?” อวิ่นเฟยหยวนแม้จะยังไม่แน่ใจเต็มสิบส่วนว่า อวิ่นซงถิงรู้สึกแบบเดียวกันกับเขาหรือไม่ แต่เพราะความใกล้ชิดที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ แล้วไหนจะสายตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความหวั่นไหว เขาจึงเอ่ยร้องขอจุมพิตจากนาง เพื่อลองใจ
เมื่อได้รับอนุญาต อวิ่นเฟยหยวนก็บดจุมพิตลงบนริมฝีปากอิ่มทันที เมื่อครู่เขาทันได้เห็นสายตาที่คล้ายกับจะเริ่มหวาดหวั่นของสตรีใต้ร่าง เขากลัวอวิ่นซงถิงจะเปลี่ยนใจ จึงรีบเลื่อนมือทั้งสองข้างจับลงบนสะโพกของนาง จากนั้นก็เริ่มขยับส่วนนั้นไปตามสัญชาตญาณ แม้เขาจะไม่เคยทำ แต่ก็เคยอ่านตำราวสันต์มาหลายเล่ม อวิ่นเฟยหยวนถูไถส่วนนั้นขึ้นลงอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วง ยามนี้เขากับอวิ่นซงถิงต่างสัมผัสได้ถึงร่างกายของกันและกันผ่านเนื้อผ้า “อึก! อ๊า...” ความเสียวซ่านทำให้อวิ่นเฟยหยวนเผลอหลุดเสียงครางกระเส่าเบา ๆ ออกมา เขาขังสตรีที่ตนรักเอาไว้ใต้ร่าง ออกแรงกระชับมือที่จับนาง เขาบดขยี้ ออกแรงกด พร้อมกับดึงสะโพกของร่างบางให้เข้าหา อวิ่นเฟยหยวนเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามส่วนเว้าบนแผ่นหลังของร่างบาง อวิ่นซงถิงแอ่นตัวขึ้นดุจดั่งคันธนู จึงทำให้หน้าอกนุ่ม ๆ ของนางแนบชิดเข้ากับแผงอกของเขามากขึ้น ซึ่งในทุกครั้งที่เคลื่อนไหว อวิ่นเฟยหยวนก็ยังต้องพยายามควบคุมไม่ให้เสียงขยับร่างกาย และเสียงครางของเขากับอวิ่นซงถิงหลุดไปเข้าหูสองคนบนเตียง หูทั้งสองข้างของเขาจึงต้องคอยฟังความเคลื่อนไหวของหนึ่งบุร
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของผู้เป็นบิดา เสียงสวบสาบของเนื้อผ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายกับจะร้องห้าม เสียงร้องครวญครางราวกับเจ็บปวดมาก แล้วไหนจะเสียงเนื้อกระทบกัน ซึ่งมันดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องอยู่เหนือศีรษะของพวกนาง ยามนี้อวิ่นซงถิงเผลอเอาเสียงที่ได้ยินมาจินตนาการเป็นภาพ นางรู้สึกร้อนรุ่มจนสั่นสะท้าน รู้สึกแปลก ๆ ที่ช่องท้อง และส่วนล่าง อวิ่นซงถิงอยากจะร้องไห้ นางอยากมีเวทมนตร์จะได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นใบไม้ หรือเป็นเศษฝุ่นเล็ก ๆ ก็ได้ นางจะได้ปลิวออกไปจากที่นี่! ตอนนี้เลย!! “นายท่านมันลึก...อึก! ท่านี้มันเข้ามาลึกมาก...อื้อ! นายท่านเจ้าคะ ข้า...ข้าไม่ไหว มันเข้ามาลึกเกินไปเจ้าค่ะ!” “อาเฉียว เจ้าชอบให้ข้าเข้าไปลึก ๆ และก็ชอบแบบแรง ๆ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?” อวิ่นซงถิงหลับตาปี๋ นางไม่อยากได้ยิน นางอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหู แต่ติดตรงที่ตัวนางถูกโอบกอด ยามนี้มือทั้งสองข้างอยู่ด้างล่าง นางจึงทำได้เพียงซุกใบหน้าเข้าไปที่แผงอกกว้าง เพื่อหลบหนีเสียงต่าง ๆ ที่มันยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วในขณะนั้น... คราแรกอวิ่นเฟยหยวนตั้งใจจะตัดประสาทสัมผัส เ
อวิ่นเฟยหยวนหรี่ตาขึ้นมอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวเพิ่มขึ้นของร่างบาง พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตา เขาจึงตัดสินใจจับมือทั้งสองข้างของอวิ่นซงถิงขึ้นมาโอบรอบคอ แล้วอุ้มนางขึ้นนั่งบนโต๊ะ โดยที่ริมฝีปากของเขายังคงไม่ผละออกจากริมฝีปากของนาง หลังจากนั้นอวิ่นเฟยหยวนก็ขบเม้มริมฝีปากอิ่มทั้งบน และล่าง เรียวลิ้นร้ายปาดเลียไปตามรอยแยก ระหว่างนั้นฝ่ามือหนาก็ยกขึ้นมาแตะเบา ๆ ที่ปลายคาง แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วชี้บีบพวงแก้มนุ่ม จนริมฝีปากอิ่มเผยอออก เรียวลิ้นร้ายที่ตามไล้เลียอยู่ไม่ห่าง พอสบโอกาสก็รีบสอดแทรกเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน และไล่เกี่ยวรัดลิ้นเล็ก ๆ ของร่างบาง “อื้อ...” อวิ่นซงถิงครางประท้วง พร้อมกับลดมือทั้งสองข้างลงมาทุบเบา ๆ ที่แผงอกกว้าง นางกำลังจะขาดอากาศหายใจ อวิ่นเฟยหยวนก็ยอมผละริมฝีปากออกให้เล็กน้อย แต่ทว่าเพียงไม่นานก็ทาบทับริมฝีปากบางกลับลงมา จุมพิตครั้งนี้เร่าร้อนขึ้นกว่าเดิมมาก ริมฝีปากของอวิ่นซงถิงถูกดูดดึงไม่หนักไม่เบา เรียวลิ้นร้ายของอีกฝ่ายกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากอย่างอุกอาจ จากนั้นก็ตามพัวพันหยอกเย้าลิ้นเล็ก ๆ ของนาง ฉับพลันเสียงคล้ายกั
“แต่จุมพิตแรก...” “เพราะข้ารู้ว่า จุมพิตแรกมีไว้สำหรับคนที่ตนรัก ในเมื่อข้ารักเจ้า ข้าจึงยินดีมอบมันให้กับเจ้า แล้วอาถิงล่ะ ยินดีมอบจุมพิตแรกให้กับข้าหรือไม่?” อวิ่นเฟยหยวนกล่าว พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับอีกฝ่าย หากอวิ่นเฟยหยวนจำไม่ผิด ยามนั้นอวิ่นซงถิงน่าจะอายุประมาณสิบสองหนาวได้กระมัง เด็กหญิงตัวน้อยมักจะชอบไปนั่งฟังเรื่องเล่าจากนักเล่านิทานตามโรงเตี๊ยม และมักจะหาซื้อตำราเกี่ยวกับเรื่องราวความรักระหว่างบุรุษกับสตรีกลับมาอ่าน จากนั้นนางก็จะนำเรื่องที่ได้รับฟัง เรื่องที่ได้อ่านกลับมาเล่าให้เขาฟัง ระหว่างที่เล่า...เด็กหญิงตัวน้อยก็มักจะวาดฝันถึงบุรุษหนุ่มรูปงาม หรือไม่ก็เทพบุตรแสนดีในเรื่องเล่า แล้วยังวาดฝันถึงจุมพิตแรกที่แสนหวาน คู่ครอง และชีวิตแต่งงานในภายภาคหน้าของนาง ในยามนั้นอวิ่นเฟยหยวนคิดเอาไว้ว่า วันข้างหน้าเขาจะพยายามเสาะหาบุรุษในแบบที่อวิ่นซงถิงวาดฝันมาแต่งให้กับนาง ซึ่งตอนที่คิดเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ยินยอมแปลก ๆ และรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้าย แต่เพราะตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเอง เขาจึงไม่ได้เก็บเอาความรู้สึกแปลก ๆ เหล่านั้นมาขบคิดให้มากคว
“พี่ชาย พี่นัดข้ามาพบที่นี่ตามลำพัง พี่มีเรื่องสำคัญใดอยากกล่าวกับข้าหรือเจ้าคะ?” อวิ่นซงถิงเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเรือนร้างด้านหลังจวน โดยที่นางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าว เพื่อเพิ่มระยะห่าง เนื่องจากเมื่อครู่นางเผลอเดินเข้าไปใกล้พี่ชายบุญธรรมมากเกินไป “เข้าไปพูดกันด้านใน” “แต่...” อวิ่นซงถิงรู้สึกลังเล ด้วยเพราะเกือบสองปีที่ผ่านมา พี่ชายบุญธรรมผู้นี้พยายามเว้นระยะห่างกับนาง ทว่าอยู่ ๆ ก็ส่งจดหมายเรียกให้มาพบที่นี่ตามลำพัง ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวัน แต่สายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา...ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น จนไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปหา “หรือเจ้ารังเกียจพี่ชายคนนี้เสียแล้ว นั่นสินะ ข้ามันก็แค่...” “ข้าไม่เคยรังเกียจพี่ชายเลยนะเจ้าคะ เพียงแต่...” อวิ่นซงถิงรีบเอ่ยแทรก เมื่อเห็นท่าทีคล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจของบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็ตามข้าเข้ามา” อวิ่นซงถิงเห็นแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในเรือนร้าง แม้ใจหนึ่งไม่อยากจะเดินตาม แต่เมื่อนึกไปถึงสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่าย นางก็ตัดสินใจเดินตาม
Comments