“คือว่า.. | คือว่า..” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน จึงทำให้ชะงักไปทั้งคู่
“คุณ.. | ผม..” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ติดขัด ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่ รอโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดก่อน
“เอ่อ..ฉันจะถามว่า..”
“โอ้โห! นี่มันยิ่งกว่าคฤหาสน์ด้วยซ้ำ อย่างกับพระราชวัง!” เสียงคุ้นหูดังมาจากหน้าประตูด้านนอก พริมโรสได้ยินก็หันไปทางที่มาของเสียง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
อิฟราอิมทำมือให้เธอเดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
“แหม! มาถึงก็ส่งเสียงดังคับที่เลยนะ!”
“ด้วยความเคารพครับคุณผู้หญิง นอกจากจะไม่ขอบคุณที่กระผมช่วยขนย้ายข้าวของแล้ว ยังมาใช้วาจาประชดเสียดสีใส่กันอีก คุณธรรมในใจน่ะมีบ้างหรือเปล่า?”
“งั้นฉันจะขอบคุณด้วยการคืนเงินดีไหมนะ?”
“โอ๊ะ! เจ๊ประณามผมได้เต็มที่เลย จะย่ำยีไปพร้อมกันเลยก็ได้ แต่ขอคืนเต็มจำนวนเลยนะ!” เขายิ้มอย่างประจบ
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน! ดูเหมือนท่านเจ้าของบ้านมีอะไรจะพูดกับพวกคุณแหน่ะ!”
“เจ้าของบ้าน? คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้หรือครับ?” เตวิช เบิกตาโตกว้าง หันไปถามชายหนุ่มร่างสูงเชื้อสายอาหรับ
“ครับ! ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมพันเอกอิฟราอิม อัล อิสมาอิล สังกัดกองทัพบก”
“โว๊ะ!” เตวิชตกใจ แต่จอมทัพมีสติดีกว่ารีบตบเท้า ยกมือขึ้นทำท่าวันทยาหัตถ์โดยอัตโนมัติ อิฟราอิมยกมือแตะปลายหางคิ้วเล็กน้อยแล้วลดมือลง เป็นการตอบรับการทำความเคารพ ของทหารยศน้อยกว่า
“ตามสบายทหาร”
“ขอโทษด้วยครับ..ผมนึกว่าผู้พันเป็นพลเรือน” เตวิชทำความเคารพแล้วรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไร มีแต่คุณพริมโรสที่รู้”
“หา! ยัยนี่! ถ้าฉันเผลอนินทาผู้พันเธอคงจะสะใจสินะ ไร้หัวใจจริงๆ!”
“เป็นฉันที่ผิด?”
“อ่อ! ไม่ๆๆ ตาฉันไม่ดีเอง ไอคิวก็ต่ำ ราศีจับขนาดนี้ดันดูไม่ออก เจ๊ไม่ผิด! ทำอะไรก็ไม่ผิด!”
“เชิญข้างในครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ” ชายหนุ่มพูดแล้วเดินนำไปก่อน จากนั้นก็หายเข้าไปในห้องด้านข้าง
พริมโรสเดินไปเข็นกระเป๋าเดินทางของตัวเอง พอเข้ามาในห้องรับแขกก็เปิดกระเป๋าออก เอาโน้ตบุ๊กคู่ใจออกมาวางบนโต๊ะ พร้อมเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ
อิฟราอิมเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมถาดน้ำชา สองหนุ่มผู้เป็นแขกแข่งกันลุกพรวดขึ้น รีบไปรับถาดมาถือไว้เสียเองอย่างว่องไว
“จากข่าวที่เผยแพร่ออกไป พวกคุณคงทราบแล้วว่าหนึ่งในตัวประกันที่ถูกจับตัวไปเป็นพระชนนีขององค์สุลต่าน” สองหนุ่มพยักหน้า ตั้งใจฟังอย่างดี “เราได้ส่งคนออกติดตามตั้งแต่ทราบข่าว โดยแกะรอยจากเครื่องส่งสัญญาณในเครื่องประดับที่ทรงสวม แต่รายงานล่าสุดกลับพบเครื่องประดับชิ้นนั้นตกอยู่ในป่าที่ห่างไกลชุมชน เราได้ปูพรมค้นหาทุกสถานที่แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ เพิ่มเติม องค์สุลต่านทรงคิดว่านี่คงเป็นแผนร้ายของใครสักคนที่แฝงอยู่ในราชวงศ์ หรือคณะรัฐบาล เพราะคนที่รู้เรื่องเครื่องติดตามจำกัดเฉพาะแค่วงในเท่านั้น พระองค์ได้ออกคำสั่งให้ค้นหาต่อไปเพื่อลวงศัตรู แล้วให้ผมแอบสืบในทางลับ ผมคิดว่าในทีมข่าวกรองอาจมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ก็เป็นได้ จึงต้องหาทีมใหม่!”
“แต่ห้องวอร์รูมที่คุณสร้าง เพื่อภารกิจลับไม่น่าจะเสร็จเร็วขนาดนี้นี่!” อิฟราอิมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ
“ไม่ใช่ครับ สร้างมาสองปีแล้ว เพิ่งจะเสร็จไม่นานนี้เอง ทันได้ใช้งานพอดี!”
ติ๊งต่อง ๆ ๆ
ทั้งหมดมองไปที่ทิศทางของเสียงพร้อมกัน อิฟราอิมลุกขึ้นเดินไปดูเองในฐานะเจ้าของบ้าน
เสียงรถเข็น เสียงฝีเท้าคนเดินเป็นจำนวนมาก ดังอยู่ที่ทางเดินด้านนอก อิฟราอิมเดินกลับเข้ามาพร้อมด้วยหญิงสูงวัยลักษณะภูมิฐานคนหนึ่ง
“อาหารมาแล้ว! ช่วงที่พวกคุณอยู่ที่นี่ จะมีคนดูแลอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ นี่คือฮาน่าเป็นผู้ดูแลของผม ขาดเหลืออะไรสามารถบอกเขาได้โดยตรง ฮาน่านี่คุณพริมโรส คู่หมั้นของฉัน”
พรืด!!
เตวิชที่กำลังยกน้ำชาขึ้นดื่ม ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพ่นพรืดออกมา จอมทัพยกมือลูบหน้าด้านข้างที่กำลังเปียกชุ่ม ในขณะที่ตัวเองก็กำลังปากอ้าตาค้างกับสิ่งที่ได้ยินไปด้วยเหมือนกัน
อิฟราอิมเดินมายืนข้างหญิงสาว โอบเอวในลักษณะสนิทสนม แต่ในขณะที่คนอื่นไม่ทันได้มอง มือของเขาก็บีบเน้นที่เอวเบาๆ คล้ายกับกำลังส่งสัญญาณ
ไม่ต้องพูดถึงสองหนุ่ม ที่กำลังนั่งปากอ้าตาค้างไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อัสลามุอะลัยกุม คุณพริมโรส”
“วะอะลัยกุมมุสลาม” พริมโรสทักทายตอบ
“อาหารพร้อมแล้ว เชิญที่ห้องอาหารได้เลยค่ะ” ฮาน่ายิ้มให้ทุกคนอย่างอ่อนโยน ผายมือเชิญให้เจ้านายเดินนำไปก่อน
เตวิชดีดตัวเด้งขึ้นราวกับกุ้งโดนน้ำร้อนลวก คว้าแขนหญิงสาวไว้ทันที
“เดี๋ยว! เมื่อเช้ายังบู๊ล้างผลาญกันอยู่เลย พอตกเย็นทำไมกลายเป็นคู่หมั้นกันไปแล้ว? นี่สมองฉันเปื่อย หรือหูฉันกำลังป่วย!”
“นายฟังไม่ผิดหรอก! ช่วยตามน้ำไปก่อน ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง!” หญิงสาวพูดจบก็รีบเดินหนี กลัวจะโดนซักมากไปกว่านี้
“นี่! พูดมาเลยนะ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?” เตวิชกับจอมทัพไม่ยอมให้พริมโรสปฏิเสธ รีบเดินมาขวางหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เครื่องหมายคำถามอันใหญ่ปักเด่อยู่บนหัว หญิงสาวถอนหายใจแรง
“ก็นายให้ขอความช่วยเหลือจากเขาไม่ใช่เหรอไง ในข้อตกลงมันก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน!”
“เชี่ย! นี่เธอทุ่มเทเพื่อประเทศชาติ จนถึงกับเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอ? ภารกิจนี้ ทั้งเหรียญ ทั้งโล่ห์ต้องมาแล้ว!”
“บ้า! ฉันเสียแค่นิ้วที่โดนยึดครองเท่านั้นย่ะ ยังไม่ได้ถูกรุกล้ำอธิปไตย!”
“ข้าศึกบุกทะลุทะลวงแบบนี้ เธอรักษาเอกราชไว้ได้ไม่นานหรอก ไม่ต้องพึ่งหมอดู ฉันก็เดาได้เลยว่าเธอต้องเสียดินแดนในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน!”
“นี่! นายเต..!”
“คุยอะไรกันครับ? คุณ! ไปทานข้าว!” ยังไม่ทันที่พริมโรสจะตอบโต้ ก็ถูกเจ้าของบ้านขัดจังหวะเสียก่อน หญิงสาวเบะปากเชิดใส่เพื่อนร่วมทีมอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเดินหลีกไปห้องอาหารทันที
…………………….
“ห้องนี้เป็นห้องคุณพริมโรสค่ะ” ฮาน่าเปิดประตู แล้วเดินนำเข้าไปด้านใน เปิดไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศเตรียมไว้ให้ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ได้ยินเสียงเปิดน้ำลงอ่าง เธอจึงเดินตามไปดู
“ปกติฮาน่าไม่ได้อยู่ที่นี่หรือคะ ฉันเพิ่งจะเห็นว่ามีอีกหลายคนเลยที่เพิ่งจะมาพร้อมกันวันนี้?”
“ดิฉันจะอยู่ที่พระ..เอ้อบ้านอีกหลังหนึ่งค่ะ ส่วนที่นี่เจ้านายเพิ่งจะปรับปรุงเสร็จไม่นานนี้เอง”
“อ๋อ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ มองหญิงสูงวัยหยิบบับเบิ้ลบาธกลิ่นกุหลาบโรยในอ่างน้ำ
“คุณพริมโรสต้องการอะไร กดปุ่มตรงโต๊ะหัวเตียงเรียกได้เลยนะคะ” เธอเดินตามฮาน่าออกไปดูว่าอยู่ตรงไหน
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสูงวัยยิ้มให้ แล้วจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอีก “เอ่อ..เดี๋ยวฉันปิดก็อกเองค่ะ จะอาบตอนนี้เลย” ฮาน่ายิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกดล็อกประตูให้อีกด้วย
หญิงสาวเข้าไปในห้องน้ำ แล้วถอดเสื้อผ้าอย่างว่องไว ขมวดผมเป็นมวยไว้บนศีรษะ ทันทีที่ลงแช่ในน้ำอุ่น ก็ครางออกมาอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นที่สุด
…
“ฮื้อ!” พริมโรสรู้สึกรำคาญแมลงที่กำลังตอมจมูก ปัดหลายทีแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมไป จึงลืมตาขึ้นมองหวังจะเผด็จศึกตัดความรำคาญ แต่กลับกลายเป็นจับใบไม้ก้านหนึ่งไว้ในกำมือ
แล้วก็ยิ่งตาโตด้วยความตกใจ เมื่อเห็นท่านเจ้าของบ้าน นั่งอยู่ที่ขอบอ่าง เชิ้ตที่ใส่อยู่เปิดออกตลอดตัว เผยให้เห็นมัดกล้ามอกจนถึงกล้ามท้องเปลือยเปล่ากำยำ สีผิวคร้ามแดดเล็กน้อย เขาก้มหน้าลง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองที่เธอเป็นประกายหม่นลุ่มลึก
นัยน์ตาคมกริบตรึงสายตาเธอไว้ยากที่จะถอนออก หญิงสาวเพิ่งจะมีโอกาสพิจารณาเขามากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เห็นว่าภายใต้หนวดเครารุงรังนั้น คือใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายฉายแววเฉียบขาดไม่น้อย สายตาเยือกเย็นออกลักษณะดิบเถื่อนอันตราย รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วย
แต่แล้วเธอก็รู้สึกตัว รีบลุกขึ้นนั่งกดตัวลงไปใต้น้ำเพื่อซ่อนความเปลือยเปล่าช่วงบน
“คุณ! เข้ามาได้ยังไงน่ะ?” น้ำเสียงที่ถามขึ้นมาทำลายความเงียบ ดูคล้ายยังตกใจอยู่เล็กน้อย ทำให้คิ้วดกหนาเลิกขึ้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววขัน
“ผมเคาะประตูหลายรอบแล้ว พอไปถามฮาน่า เขาบอกว่าคุณกำลังอาบน้ำ ผมเลยเดาว่าคุณคงหลับคาอ่างแน่ๆ รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย!”
“กำลังสบายตัวเลยเผลอไป คุณมาเคาะประตูทำไมคะ?”
“จะมาดูว่าคุณนอนหรือยัง ผมได้แบบแปลนมาแล้ว ถ้ายังไม่นอนจะได้คุยเรื่องวางแผน คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าน้ำเริ่มจะเย็นแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
“คุณก็ออกไปก่อนสิคะ ฉันจะได้ลุก” เขาลุกขึ้นแต่ไม่ได้ออกไป เพียงแค่เดินไปหยิบผ้าขนหนูมากางออกใกล้ๆ เท่านั้น
“ลุกมาเลย นอนหลับท่าเดียวนานๆ แบบนั้น ตะคริวกินขาแล้วมั้งนั่น ลองขยับตัวซิ!” หญิงสาวได้คิด อาจเป็นจริงตามคำเขาบอกจึงลองดึงขาขึ้นมาปรากฏว่าชาไปข้างหนึ่งจริงๆ
“ซู้ดดดด! โอ๊ยเจ็บ!” หญิงสาวเบี่ยงตัวจับขอบอ่างไว้ ทำเสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวด เหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มตำแล้วแล่นปรูดปราดไปทั่วทั้งขา จนร่างอ่อนยวบลงคล้ายกับคนกำลังสิ้นเรี่ยวแรง เพราะขยับตัวไม่ได้มากไปกว่านี้ คงต้องรอให้หายชาเสียก่อน
“เห็นไหม!” ชายหนุ่มโน้มตัวก้มลงช้อนใต้เข่าเตรียมจะอุ้มขึ้น พอมือเขากระทบถูกขาข้างที่กำลังชา หญิงสาวก็ผวาตกใจ
“ไม่นะ!! อย่าเพิ่งจับ!!” มือเรียวเหนี่ยวแขนเขาไว้ตามสัญชาตญาณ จึงทำให้เขาเสียหลักเอียงลงมาในอ่าง
ตู้ม!!
“ว้าย!!” โชคดีว่าอ่างนี้เป็นทรงกลม ซึ่งกว้างพอสมควรสำหรับสองคน จึงไม่ได้ล้มลงมาทับตัวเธอ
อิฟราอิมโผล่ศีรษะขึ้นมา ยกมือขึ้นเสยผม แล้วลูบน้ำออกจากใบหน้า ทำให้พริมโรสต้องตกใจรอบที่สอง
“เอ่อ!..ผู้พันคะ!” หญิงสาวตาโต เมื่อเห็นหนวดที่อยู่เหนือขอบปากของเขาขยับเอียงห้อยต่องแต่งจนผิดองศา
“เป็นอะไร?”
“คือ..หนวดคุณน่ะ มันหลุด!” พอพูดจบ เครายาวรกรุงรังที่ติดอยู่แนวกราม พอโดนน้ำก็เปียกชุ่มทำให้หนักอึ้งไปทั้งแผง จึงร่วงหลุดลงมาทั้งยวงทันที
ซวบ!!
หญิงสาวอึ้งอยู่เสี้ยววินาที สายตาเหลือบไปเห็นความระอาในสีหน้าและแววตาของเขา ก็เลยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หยิบเคราใต้น้ำขึ้นมา พร้อมกับดึงหนวดที่ห้อยต่องแต่งอยู่นั้นออก เหวี่ยงไปนอกอ่างอย่างไม่ใยดี แล้วหันมาจ้องคนข้างๆ ที่กำลังหัวเราะไม่หยุด
เขารวบเอวดึงร่างบอบบางเข้าชิดตัว ใบหน้าห่างกันแค่คืบ ทำให้เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้านี้หุบสนิททันทีราวกับปิดสวิทช์ แรงดึงรั้งทำให้ตัวหญิงสาวไถลขึ้นมานั่งคร่อมลงบนกลางลำตัวของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ กดทับตรงส่วนสำคัญด้านล่างของเขาอย่างถนัดถนี่ สิ่งที่กั้นขวางไว้มีเพียงกางเกงแสลคที่เขาสวมอยู่เท่านั้น
หน้าอกกลมกลึงราวกับดอกบัวเต่งตูมโผล่พ้นผิวน้ำ เธอยกสองมือขึ้นบังไว้อัตโนมัติ หน้าท้องของเขาแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย และไม่รู้เพราะเหตุใด ร่างกายของเธอถึงได้อุ่นซ่านขึ้นมา ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังหลอมละลาย
“ถ้าขำนัก หยุดทำไม?” เขาถามชิดริมฝีปาก ลมหายใจหอมอุ่นๆ ปะทะริมฝีปากนุ่ม ดวงตาคมกริบสีดำสนิทหรี่ลง
พริมโรสรู้สึกถึงความแข็งขึง ที่ใต้ร่างกำลังขยายตัว ขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามบังคับตัวเองที่กำลังสั่นไหว และพยายามควบคุมสติไม่ให้ขวัญกระเจิงไปมากกว่านี้ เธอกำลังตกอยู่ในสภาพที่ล่อแหลม ทั้งอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด มีแต่จะเสียเปรียบเขาทุกทาง
ในขณะที่กำลังคิดหาทางรอดให้ตัวเองอยู่นั้น เขาก็ขยับเอียงศีรษะนิดหนึ่ง แล้วกดประทับริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบาดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ แม้สัมผัสเพียงบางเบาแต่กลับเหมือนกระแสไฟแตกเปรี๊ยะแล้วช็อตไปทั้งร่างจนสั่นสะท้าน จากนั้นก็ไหลไปวนเวียนอยู่บริเวณช่วงท้อง
อ๊ะ…!!
จิตใต้สำนึกเตือนให้เธอขัดขืน แต่ทว่าความหวั่นไหวแปลกๆ ในอก ฉุดรั้งไม่ให้เคลื่อนไหว ทำให้เธอลังเลอยู่ในเสี้ยววินาที เท่ากับเปิดโอกาสให้เขา กดริมฝีปากลงมาอีกอย่างหนักหน่วงมากขึ้น พร้อมๆ กับไล้ปลายลิ้นเลียไปด้วยอย่างยั่วเย้า
ชายหนุ่มดึงมือเรียวบางที่ปิดบังหน้าอกออก แล้วยกขึ้นให้โอบไว้ที่คอของเขา ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่แผ่นหลังนวลเนียน มืออีกข้างไถลลงไปที่เอวคอดกิ่ว รวบร่างบอบบางเข้ามาเบียดชิดกับร่างแข็งแรงอย่างนุ่มนวล
พริมโรสรู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมานอกอก กระแสไฟวิ่งแล่นปรูดปราดไปตามเนื้อตัวจนอุ่นซ่าน ร่างกายอ่อนยวบลงเล็กน้อยราวกับกำลังถูกสลายพลัง จนต้องวางมือไว้บนไหล่เขาเพื่อพยุงตัว
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา