Masuk“อรุณสวัสดิ์ครับลุงมิ่ง” น่านฟ้าเดินเข้ามาหาชายวัยกลางคน
“อรุณสวัสดิ์ครับ เดี๋ยววันนี้ลุงให้ไอ้อ่ำคอยสอนงานพวกหนูนะ มีอะไรถามมันได้เลยนะครับ” ลุงมิ่งผายมือไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตน
“อ้าวลุง ไหงโยนขี้มาทางผมล่ะ” อ่ำรีบสวนทันควัน เขาทำหน้าเหลอหลางุนงง เมื่อกี้ยังยืนคุยกันดีอยู่ดี ๆ แต่ไหงตอนนี้กลับโยนงานมาให้เขาแทนกันล่ะ!
“กำขี้ดีกว่ากำตด เอ็งไม่เคยได้ยินเรอะ”
“อย่างฉันขอกำแต่ขวดเบียร์พอ ขี้ไม่ต้อง”
“ไอ้นี่ ไป ๆ พาคุณเขาไปทำตามที่ข้าบอก” ชายวัยกลางคนโบกมือไล่ พลางส่งสายตาเขม่นเป็นนัยน์ว่า ถ้ายังไม่ไปเขาจะโดนมะเหงกลูกใหญ่ลงกลางกระบาล
“คร้าบบ เชิญทางนี้ครับผม” อ่ำเดินไปยืนบังหน้าผู้อาวุโสกว่า ใบหน้าของชายหนุ่มเปื้อนยิ้มฝืน ๆ แต่ก็มีความจริงใจส่งมาหานายน้อยของไร่
ทั้งสามคนเดินเลาะตามทางแถบองุ่นที่ย้อยเรียงรายกันเป็นแถว องุ่นสวยได้รูป ขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป เมื่อเดินเข้าไปถึงปลายทาง ภาพคนงานจำนวนนับสิบกำลังตัดองุ่นอย่างขมักเขม่น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าด้านหลังของพวกเขามีใครกำลังยืนดูอยู่
“คุณฟ้าอยากเก็บแปลงไหนก่อนครับ” อ่ำเอ่ยถาม เขารู้สึกว่าระหว่างเดินมา บรรยากาศค่อนข้างเงียบ จึงเริ่มเปิดบทสนทนาเพื่อไม่ให้ดูอึดอัดเกินไป
“ถ้างั้นแปลงนี้แล้วกันครับ” นิ้วเรียวชี้ที่แปลงด้านหน้าพวกเขา
“ปกติแล้วองุ่นพวกนี้ถ้าโตก็เก็บได้เลยหรอพี่” น่านน้ำถามด้วยความสงสัย
“ไม่ครับ องุ่นทุกแปลงล้วนผ่านกระบวนการดูแลหลังปลูกเสมอ ทั้งยังต้องฉีดยาให้กับองุ่นก่อนที่จะเก็บเกี่ยวด้วยครับ” อ่ำรีบอธิบายตามหลัง จากความรู้ที่ฟังลุงมิ่งพร่ำบอกทุกเช้าเย็น จนตอนนี้ซึมซับเข้าสมองเป็นที่เรียบร้อย
“โห ฟังแล้วดูยากจัง”
“ที่ยากเพราะแกไม่เคยสนใจต่างหาก” เขาไม่ได้ตำหนิน้องชายอย่างจริงจัง
“รู้น่า” น่านน้ำตอบรับเสียงแผ่ว ไม่มีคำที่ใช้สามารถแก้ตัวได้เลยจังหวะนี้ เพราะมันคือเรื่องจริง ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มอีกคน “แล้วใช้เวลานานไหมพี่”
“อย่างต่ำเจ็ดวันถึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ครับ”
“ถ้านานขนาดนี้ซื้อกินที่ตลาดไม่ง่ายกว่าหรอ โอ๊ย!” น่านน้ำยกมือขึ้นลูบหัว แรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่เกือบพรากชีวิตน้อย ๆ ของเขาไปแล้ว
“ยิ่งยากก็ยิ่งต้องรักษาเอาไว้ให้นาน วัน ๆ เอาแต่ไปหมกอยู่กับพวกไอ้เปี๊ยกจะไปรู้เรื่องอะไร” คนตัวเล็กเอ็ดน้องชายที่พูดประโยคก่อนหน้าออกมา จากนั้นก็เริ่มอธิบายให้อีกคนเข้าใจ “ในหนึ่งปีจะเก็บผลผลิตได้มีแค่สามครั้ง การเก็บต่อครั้งต้องรอสามถึงสี่เดือนเพื่อที่จะเก็บได้อีก แต่ช่วงเวลาเก็บไม่แน่นอนเพราะมีปัจจัยหลักสำคัญเป็นตัวประกอบ เช่น สายพันธุ์องุ่น สภาพอากาศ พื้นที่ และอื่น ๆ”
“ถูกต้องครับคุณฟ้า สุดยอดเลยครับ!” อ่ำยกนิ้วโป้งขึ้นทั้งสองข้างเชยชม ชายหนุ่มผมบลอนด์ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะกล่าวอย่างถ่อมตน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ตอนพ่อยังอยู่ท่านพูดกรอกหูฟ้า เช้า-กลางวัน-เย็น”
“พวกเราเริ่มลงมือกันดีกว่า เดี๋ยวช่วงบ่ายผมต้องออกไปทำธุระต่อ”
“ได้เลยครับ”
ทั้งสามหยิบกรรไกรสำหรับตัดก้านองุ่นขึ้นมา พร้อมกับวางตะกร้าเอาไว้ด้านข้าง อ่ำได้รับหน้าที่ในเรื่องนี้ก็สอนวิธีตัดอย่างละเอียด พร้อมทั้งกำชับคนที่เด็กสุดเป็นพิเศษ เริ่มแรกน่านน้ำยังทำได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็พยายามตัดให้ดีกว่าเดิม ระหว่างนั้นก็พยายามไม่ทำให้องุ่นช้ำคามือเสียก่อน
ช่วงบ่ายของวัน น่านฟ้าปลีกตัวออกมาจากในไร่ เพื่อไปตลาดซื้อของสดมาตุนใส่ตู้เย็นให้แม่ ส่วนน้องชายยังคงสนุกกับการเก็บองุ่นอยู่ด้านใน น่านฟ้าขับมอเตอร์ไซต์คู่ใจไปตลาด จากบ้านไปตลาดห่างไกลพอสมควร ใช้เวลาสักระยะรถยนต์คันเล็กก็เข้ามาจอดด้านหลังตลาด
เสียงโหวกเหวกของคนส่งของดังขึ้นสลับกันไปมา ตามด้วยเสียงเพลงจากลำโพงด้านในตลาด ตลาดที่นี่มีชื่อว่า ‘ตลาดสดบ้านริมคลอง’ เป็นตลาดใหญ่ที่สุดเท่าที่น่านฟ้าเคยมา ร้านขายของมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบร้าน แม่ค้าพ่อค้าตั้งแผงขายเรียงกันเป็นแถบ ที่สำคัญราคาย่อมเยาเข้าถึงง่ายอีกด้วย
“สวัสดีครับป้าพร” เสียงทุ้มใสเอ่ยทักทายด้วยความสนิทสนม
หญิงเจ้าของร้านพยักหน้าตอบรับ แล้วยิ้มส่งไปให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก
“มาซื้อของให้แม่หรอหนู?”
“ใช่ครับ หมูโลละเท่าไหร่หรอครับ”
ดวงตากลมสวยคู่นั้นไล่มองแผงเนื้อหมูสดด้านหน้า เนื้อสีแดงสวยไม่ติดซีด ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือ เนื้อไม่หนาหรือบางไป
“โลละร้อยแปดสิบจ้ะ ช่วงนี้หมูแพง ป้าเลยต้องขึ้นราคา”
เธอตอบกลับเด็กหนุ่มขณะกำลังรดน้ำใส่ผักสดบนแผง
“ฟ้าเข้าใจครับ ถ้าอย่างนั้นเอาหมูสองโลกับน่องไก่หนึ่งโลครับ”
“ได้จ้า ผักก็มีนะลูก วันนี้ผักร้านป้าทั้งสดทั้งสวย” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบเนื้อขึ้นมาชั่งบนกิโล จากนั้นก็ยื่นตะกร้าใบใหญ่ไปให้เด็กหนุ่มใส่ผัก
“ดีเลยครับป้าพร” คนตัวเล็กระบายยิ้มตอบรับ
ระหว่างกำลังเลือกหยิบผักตามรายการบนกระดาษ หูทั้งสองพลันได้ยินเสียงพ่อค้าแม่ขายจับกลุ่มซุบซิบกันอย่างออกรส ตอนแรกน่านฟ้าไม่ได้สนใจนักเพราะไม่ใช่เรื่องของตน แต่กลับต้องพับเก็บความคิดเมื่อครู่ เมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่คุ้นเคยดังขึ้น
“พวกเอ็งรู้เรื่องเฮียเฟยเจ้าของโรงสีใหญ่รึยังวะ”
“เรื่องอะไรหรอเจ๊?”
หญิงสาวอายุเลขสองกลาง ๆ ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าน่ะได้ยินมาว่าตอนนี้ลูกชายแกกลับมาจากจีนแล้ว ที่สำคัญเฮียแกไม่มาเก็บค่าแผงเองแล้วนะ แต่ให้ลูกชายมาทำแทน!”
“แล้วมันยังไงหรอเจ๊ ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ”
“ฮึ่ม ก็เพราะลูกชายแกโหดกว่าตั้งสิบเท่า! เมื่อวานข้าได้ยินกับหูตัวเองเลยล่ะ โหดเหี้ยม! อำมหิต! เห็นคนเตะคน เห็นหมาเตะหมา น่ากลัวไหมล่ะวะ?!”
“โม้ป่ะเนี่ย ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ข้าพูดจริงนะโว้ย รายล่าสุดที่ไปมีเรื่องกับเสี่ยน้อยนะ…”
“ตายหรอเจ๊!?” หญิงสาวพูดด้วยเสียงตื่นกลัว
“ไม่ตายก็คางเหลือง พวกแกคนไหนที่ชอบเบี้ยวค่าแผงเฮียแกบ่อย ๆ ระวังตัวไว้เถอะ! โดนเสี่ยน้อยตามเก็บเรียงตัวแน่” นอกจากจะพูดให้น่ากลัวแล้ว เธอยังทำท่าทางราวกับเห็นมาด้วยตาตนเอง พาลให้คนที่ได้ยินรู้สึกกลัวตาม ๆ กันไป
น่านฟ้าขมวดคิ้วเข้าหากัน ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่มีตรงไหนไม่ถูกต้องกันนะ แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจนัก แค่ระวังตัวไม่เข้าไปวุ่นวายกับคนเหล่านี้ก็พอ เท่านี้ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว เมื่อเช็คดูว่าของครบหมดแล้ว เขาก็รีบยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้กับคนขาย
“ผมไปก่อนนะครับ”
“จ้า กลับดี ๆ นะลูก รอบหน้ามาอุดหนุนป้าใหม่นะ”
ป้าพรตอบรับเด็กหนุ่มรุ่นลูกด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ
ทางด้านของอีกฝั่ง เสียงเครื่องยนต์ราคาแพงดังขึ้นตามจังหวะเหยียบคันเร่ง ตัวรถด้านนอกเคลือบด้วยสีดำด้านหรูหรา ภายในเองก็ดำไม่ต่าง เรียกว่าออลแบล็คทั้งคันก็ว่าได้ ถ้าพูดถึงเรื่องราคาก็แพงอย่าบอกใครเลยล่ะ แต่ระดับเฟยหลงแล้ว นี่ยังไม่ถึงครึ่งของครึ่งด้วยซ้ำ ยิ่งนึกว่าตนได้เป็นผู้ครอบครอง ‘McLaren 720s’ เพียงคนเดียว เขาก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่
“วู้วว! ต้องแบบนี้สิวะ”
“ถนนโล่งแบบนี้ก็ดี อั๊วจะซิ่งให้ยับเลย” ร่างสูงยกยิ้มอย่างลำพองใจ การกระทำของเฟยหลงทำงานร่วมกับสมองได้เป็นอย่างดี เขาไม่สนเลยว่าฝุ่นจะตลบอบอวลหรือไม่ มีเพียงความคึกคะนองกำลังหลั่งไหลอยู่ในตัว ฝ่าเท้าแกร่งเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น
โดยไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น…
รถซูเปอร์คาร์วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วหลักร้อย เดิมทีถนนเส้นนี้เป็นเส้นรอง น้อยคนมากจะสัญจรไปมา เนื่องด้วยระยะทางค่อนข้างไกล ถ้าเทียบกับเส้นทางหลัก ในจังหวะที่ชายหนุ่มจะหักเลี้ยวโค้งตรงหน้า นัยน์ตาคมเข้มก็ต้องเบิกกว้าง เพราะมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งตีโค้งมาทางนี้เช่นเดียวกัน
“เฮ้ย!”
“อ๊ากกกก” เจ้าของรถคันเล็กร้องตะโกนตกใจ ก่อนจะรีบหักล้อหลบไปอีกทาง ทำให้รถพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนตะแกรงด้านหน้าบุบตามแรงชน
โคร่ม!
เอี๊ยดดดด…
เสียงจากล้อยางเสียดสีกับท้องถนนดังสนั่น รถหรูตีโค้งเป็นวงกลมก่อนจะหยุดนิ่ง อีกแค่นิดเดียวถ้าบังคับไม่อยู่ ทั้งคนทั้งรถคงได้ตกลงไปข้างทางอย่างน่าหวาดเสียว
เฉียดตายโคตร!
“แม่ง บ้าเอ๊ย!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เฟยหลงไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารีบก้มปลดเบลล์ออกและเปิดประตูตามแรงอารมณ์ ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขีดสุด
“ลื้อขับรถภาษาอะไรวะ!”
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวจากทิศตะวันออก กระทั่งย้ายไปอยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะ ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆบดบัง แสงเหลืองอมส้มทอประกายลงมาบนพื้นผิวด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ส่งผลให้ชายผิวแทนถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก แต่กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ เพราะดูเหมือนตอนนี้ผู้เป็นนายอารมณ์เสียผิดปกติ เฉียบลอบมองชายหนุ่มผิวขาวราวหยวกเป็นระยะ ทว่าเวลาโดนสายตาคมคู่นั้นมองกลับก็รีบเบือนหน้าหนี“เฮ้ย ลื้อเป็นอะไร?” เฟยหลงทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม เขาเห็นอีกคนเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เห็นแล้วเวียนหัวหัวแทน “คนนะเว้ยไม่ใช่ปลาทอง มองอยู่ได้”“แหมเสี่ย ถึงจะมองเสี่ยก็ไม่ท้องหรอกน่า”“เดี๋ยวปั๊ด ฮึ่ย” เฟยหลงยกแขนขึ้นทำท่าจะเหนี่ยวใส่อีกคน ก่อนจะเก็บแขนกลับเข้าที่เดิม เขาทำท่างฮึดฮัดเหมือนไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักอย่าง“โธ่...วันนี้เสี่ยเป็นอะไร ทำไมใส่อารมณ์แปลก ๆ แล้วไหนจะพาผมมายืนตากแดดตากลมอยู่หลังร้านด้วย เป็นอะไร๊ เป็นอะไร” ถ้าพามายืนหลบแดดเขาจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เล่นยืนอาบแดด เหงื่อไม่ไหลไคลไม่ย้อยก็ให้มันรู้กันไป“อั๊วไม่ได้ใส่อารมณ์”“งั้นแปลว่าเสี่ยมีอารมณ์”“ใช่ เฮ้ย ไม่ใช่!” เฟยหลงหันไปถลึงตาใส่คนด้านข้าง หัวเขา
“เอาน่า รอบหน้าถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะลูก แม่ไม่อยากให้ฟ้ามีปัญหา ดูท่าแล้วคงเป็นลูกคนมีสตางค์แน่นอน” รตีทำหน้าเป็นกังวลอยู่กลาย ๆ เธอเพียงเป็นห่วงลูกชายว่าจะโดนทำร้าย ทุกวันนี้เงินมันมีค่ามากกว่าความเป็นคนเสียอีก“ครับแม่ ฟ้าเองก็ไม่อยากมีปัญหาหรอกครับ” ยิ่งคนมีสตางค์แต่ไม่มีสติแบบหมอนั่น ไม่รู้ว่ารอดมาถึงทุกวันนี้แบบครบ32ประการได้ยังไงข้าวจ้าวมองเพื่อนสนิทแล้วก็พูดขึ้นมาแทบจะทันควัน นาน ๆ ทีจะได้พูดแซวกลับบ้าง เพราะส่วนมากเป็นเขาที่โดนแซวเสียมากกว่า จังหวะดี ๆ แบบนี้ข้าวจ้าวจะพลาดได้อย่างไรเล่า “โบราณว่าเกลียดอะไรระวังได้แบบนั้นนะเว้ย”“อ๋อหรออออ เหมือนแกกับวินใช่ไหมล่ะ”“เหมือนนรกกับสวรรค์อะบอกเลย” ยิ่งคิดภาพว่าจากที่ตีกันมาจู๋จี๋กันมันไม่ได้! ไม่ได้แบบขีดเส้นผ่าชัด ๆ “กูยอมเป็นโสดจนตายดีกว่าได้กับมัน”“จ้า จำคำนี้ไว้แล้วกัน อย่าให้เห็นว่าลับหลังแอบไปนอนกอดกันบนเถียงนาน้อย” น่านฟ้าพูดแซวอีกคนกลับ ขณะเดียวกันก็กอดซบแม่ของตนด้วยท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดู“เรานี่นะ แกล้งน้องไม่พอยังจะแกล้งเพื่อนอีก ดูหน้าหนูจ้าวซินั่น”ใบหน้ายับยู่ยี่ของชายหนุ่มผมแดงเบื้องหน้า สร้างรอยยิ้มให้กับสองแม่ลูกไ
“น้ารตี! ผมเอาแตงโมมาฝากครับ” ข้าวจ้าวชูถุงแตงโมขนาดใหญ่ในมือ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน“อ้าวหนูข้าวจ้าว มากับใครจ๊ะ”รตีวางของในมือลง แล้วรับแตงโมมาจากเด็กหนุ่มรุ่นลูก“มาคนเดียวครับ ผมมาทำธุระแถวนี้พอดี”“น้ากำลังเตรียมทำมื้อเที่ยงพอดีเลย รอเอากลับไปกินที่บ้านด้วยสิจ๊ะ”“จะดีหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มผมแดงกล่าวพลางยิ้มส่งไป“ทำไมจะไม่ดีล่ะลูก ถ้างั้นเดี๋ยวน้าเอาแตงโมไปปั่นมากินเลยดีกว่า” เธอก้มมองแตงโมในมือแล้วระบายยิ้มเล็กน้อย ตามด้วยร่างสันทัดของหญิงวัยกลางคนลุกเดินเข้าไปในบ้าน จึงทำให้บนแคร่เหลือเพียงน่านน้ำแทน“ครับ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ” ข้าวจ้าวทรุดตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนอายุน้อยกว่า มือเรียวได้รูปหยิบตะกร้าสีขาวด้านหน้ามาสานต่ออีกแรง ขณะเดียวกันก็ชวนเด็กหนุ่มคุยไปด้วย “ไงเรา พี่อยู่บ้านรึเปล่า”“ไม่อยู่ครับ พี่ฟ้าไปทำงานในตลาดนู้น”“อ้าว แล้วไปนานรึยัง” พักหลังมาเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนบ่อยเท่าไหร่พอได้ยินข่าวคราวก็ย่อมเกิดความอยากรู้เป็นธรรมดา“พึ่งไปได้สี่วันเอง แล้วพี่มาทำอะไรแถวนี้หรอ?”“พอดีเอาของมาให้คนรู้จัก
ภาพของไร่องุ่นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เฟยหลงและหงส์หยกเดินตามหลังหญิงวัยกลางคนเข้าไปด้านในไร่ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นองุ่นเรียงรายกันเป็นแถว ผลองุ่นสีเขียวอ่อนตัดกับสีม่วงเข้ม ประกอบกับบนท้องฟ้าประดับด้วยเมฆก้อนเล็ก ๆ สีขาวนวล สภาพอากาศปลอดโปร่งทำให้มองเห็นวิวภูเขาชัดเจน เจ้าของเรือนร่างอรชรกวาดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบ ใบหน้านวลฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาของเธอดูสดใสมีชีวิตชีวาเฟยหลงลอบสูดอากาศบริสุทธิ์ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหันมองซ้ายขวาด้วยความสนใจ เจ้าของไร่มองทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาด ไม่ได้ดีแค่ทำเลโดยรอบ แต่พื้นผิวของดินก็ยังดีอีกด้วย องุ่นทุกต้นนอกจากจะผ่านวิธีการดูแลเบื้องต้นแล้ว ดินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของมัน ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้“เสี่ย” เฉียบเอ่ยเรียกเจ้านายเสียงเบา“เสี่ยดูองุ่นพวกนี้สิ น่ากินทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มผิวแทนว่าแล้วก็จ้องพวงองุ่นที่ย้อยลงมาอย่างไม่วางตา มีแต่ลูกใหญ่ ๆ น่ากินทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากเด็ดกินสักลูก ถ้าเป็นองุ่นดองก็ยิ่งน่ากิน จิ้มกับพริกเกลือทีนึงถอดจิตขึ้นสวรรค์ได้เลย“อยากกินก็ซื้อ” เฟยหลงตอบแบบขอไปที ทั้งไม่ได้หันไปมองอีกคนด้วยซ้ำ“แหม เสี่ยจะจ่ายให้เฉี
จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำให้สองพี่น้องพร้อมกับคู่ขาอย่างเฉียบได้มายืนอยู่หน้าร้านขนส่ง น่านฟ้ายังคงทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้สนใจสายตาสามคู่ที่กำลังมองมา เฟยหลงเห็นอีกคนมองข้ามพวกตนเหมือนเป็นวิญญาณพลันรู้สึกฉุนฉิว เขาออกจะโดดเด่นขนาดนี้มองข้ามไปได้ยังไง ตาไม่ถึงจริง!“อีกนานไหม น้องสาวอั๊วรอนานแล้ว” คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับวางมาดใส่เป็นนัยน์ว่าให้อีกคนรีบไปได้แล้วน่านฟ้าขมวดคิ้วหันไปมอง ก่อนจะหันกลับไปเช็คของในมือต่อ“ถามไม่ได้ยินรึไง” เฟยหลงยังคงถามย้ำอีกคน“ถ้ารีบมากไม่ไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะครับคุณ” ถึงแม้คนตัวเล็กจะยอมตอบกลับไป แต่เขาก็ไม่ได้ผินหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเลยสักนิด เสมือนพูดกับอากาศแล้วก็จบลงที่ความเงียบอีกเช่นเคย“นี่!” ร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเดินอาด ๆ เข้าไปยืนจังก้าเบื้องหน้าเจ้าของเรือนผมบลอนด์ ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนที่เตี้ยกว่า เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่ดันช้ากว่าอีกฝ่าย ที่จู่ ๆ ก็พูดโพล่งออกมา“หลบหน่อย เกะกะ”ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงกับกลืนคำพูดลงแทบจะไม่ทัน“เฮีย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเฮียเลยนะ” ร่างอรชรของหงส์หยกรุดเดินข้ามายืนเทียบข้างพี่ชาย เธอมองผู้เป็นพี่สล
“มานี่สิ” ศักดิ์ชัยกระดิกนิ้วเรียกลูกชายพายุลอบถอนหายใจแล้วเข้าไปหาผู้กุมบังเหียนของบ้าน บุคคลที่เขาไม่เคยต่อต้านได้เลยสักครั้ง เมื่อเดินไปถึงชายหนุ่มก็ถูกกดตัวลงกับพื้นจากด้านหลัง เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นรูปปั้น เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนกระทำแบบนี้“แกบอกว่าฉันขังแกเหมือนกับนกในกรงงั้นหรอ”“ฉันจะบอกอะไรให้นะ” เขาพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าลูกชายตนเอง ไม่ได้แยแสหรือสนใจสักนิด ว่าอีกคนจะทำหน้าตายังไง “นกที่โดนขังไว้ในกรง ถ้ามันไม่ตายมันก็ออกไปจากกรงไม่ได้ หรือถ้าเจ้าของมันตาย มันก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี”“เพราะชีวิตของมันถูกกำหนดมาแล้ว... ว่าต้องตายอยู่ในกรงเท่านั้น”“เข้าใจที่พ่อพูดไหมพายุ?”นัยน์ตาคมแดงก่ำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ความรู้สึกในใจพังยับเยินไม่เป็นชิ้นดี“ไปแต่งตัวให้มันดีกว่านี้ ได้เวลาทำหน้าที่ในฐานะลูกชายของฉันแล้ว”“ครับพ่อ...” เขาเค้นเสียงพูดผ่านไรฟันชายหนุ่มร่างแบบบางยืนมองโรงสีขนาดใหญ่ตรงหน้า รถคันใหญ่เทียวเข้าเทียวออกวนเวียนไปมา เขายืนอยู่หน้าทางเข้าได้สักพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกลังเล ราวกับถ้าก้าวขาข้างใดข้างหนึ่งไป จะมีเรื่อ







