Masuk“ผะ ผม” เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยิน ริมฝีปากเลอะไปด้วยคราบเลือดอาบย้อม เขาทำปากอ้าหุบ ๆ ทว่าไร้เสียงเปล่งออกมา ภายในหัวโล่งเปล่าหาคำแก้ตัวไม่ได้
ร่างสันทัดก้มลงแล้วใช้ปลายกระบอกปืนตบเข้าข้างกระหมับเบา ๆ สร้างความตื่นกลัวให้กับผู้กระทำผิดเป็นอย่างมาก สติของชายหนุ่มเริ่มแตกกระเจิง เพราะรับรู้ได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา แม้จะพยายามเค้นเสียงตอบทว่ากลับทำได้เพียงกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น
“ตอบไม่ได้?” สิ้นสุรเสียงเรียบเย็น ชายวัยกลางคนพลันลุกยืนขึ้นเต็มตัว ก่อนจะเลื่อนสายตาไล่มองคนตรงหน้า “ถือว่าฉันให้โอกาสแกแล้วนะ”
ปั้ง!
“อ๊ากกก!!”
กระสุนพุ่งทะลุลงบนหน้าขาฝั่งซ้าย ไร้ซึ่งความเมตตาปรานี ของเหลวสีแดงไหลทะลักออกมาอย่างน่ากลัว พายุรีบหลุบสายตาลงพื้นราวกับว่าตนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น ต่างจากผู้เป็นพ่อที่จ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยความนิ่งเงียบ บนใบหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ คาดเดาไม่ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฮึกก ผมกลัวแล้ว อย่าฆ่าผมเลย!” ชายหนุ่มใช้แรงที่มีตะเบ็งเสียงออกมาสุดลูกคอ นัยน์ตาทั้งสองเริ่มแดงก่ำ เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างเกรงกลัว
“ทีนี้คงจะตอบได้แล้วใช่ไหม” ศักดิ์ชัยเค้นถามด้วยเสียงเรียบ
โต้งพยายามสูดลมหายใจสุดแรง กลิ่นคาวเลือดตีขึ้นจมูกอย่างไว เขาเม้มปากที่แห้งแตกไว้แน่น นัยน์ตาหม่นหลุบมองรองเท้าหนังเบื้องหน้า ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกให้กับเขาเลยสักนิด และที่สำคัญเขายังมีน้องสาวกับยายกำลังรออยู่ที่บ้าน
“แค่บอกว่าใครจ้างแกมามันคงจะยากเกินไปใช่ไหม งั้นฉันมีอะไรดี ๆ มานำเสนอ เผื่อจะช่วยให้แกตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” ปลายกระบอกวัตถุดำด้านถูไล่ตามกรอบหน้าคมสัน เจ้าของของมันเมียงมองผลงานของตน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “น่าเสียดาย.. ถ้าคนเป็นงานแบบแกต้องหายไปสักคน น้องสาวกับยายคงจะอยู่ลำบากน่าดู จริงไหม?”
“อย่าทำอะไรพวกเขานะ!” โต้งจ้องหน้าชายวัยกลางคนเขม็ง เขาพลาดเองที่ดูแคลนอีกฝ่ายมากไป ฝ่ามือทั้งสองที่ถูกมัดไพล่หลังกำหมัดแน่น
“รับปากผมก่อนสิ ว่าท่านจะไม่ทำอะไรพวกเขา”
“ฉันจะทำหรือไม่ทำ นั่นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของแก”
“สรุปแล้วใครเป็นคนส่งแกมา?”
พายุยืนขมวดคิ้วด้านหลังผู้เป็นพ่อ นัยน์ตาคมเหลือบมองมือขวาที่พ่อของเขาเรียกหาเป็นประจำ เขาแค่นเสียงเย้ยหยันใส่อีกคนเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาดูภาพเบื้องหน้า ถ้าวันข้างหน้าเป็นเขาที่กุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ เขาจะไม่มีวันเดินตามรอยของพ่ออย่างแน่นอน เส้นทางที่น่าสะอิดสะเอียด เข่นฆ่าผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ปัง ปัง ปัง เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดกันเป็นจังหวะ ชายหนุ่มผมบลอนด์ใช้มือเร่งเคาะประตูอย่างไม่ลดละ
“ตื่นได้แล้ว! จะนอนไปถึงไหนฮะ”
เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้น ไม่มีทีท่าจะลดลงหรือเงียบไป เด็กหนุ่มที่กำลังนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มก็เริ่มมีปฏิกิริยา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันควัน
“อื้ออ เสียงดังทำไมคนจะนอน” น่านน้ำตอบกลับเสียงยานคาง
เมื่อคืนกว่าจะเข้านอนก็ปาไปตีสองตีสาม ตอนนี้หนังตาทั้งสองข้างเหมือนมีแรงโน้มถ่วงยึดเอาไว้แน่น
“เมื่อวานพี่พูดกับแกว่ายังไงฮะ” ไม่ต้องอ้าปากจนเห็นลิ้นไก่ น่านฟ้าก็รู้ได้ทันทีว่าน้องชายคงนอนดึกอีกเช่นเคย
“ขอเวลาอีกแปป”
เสียงของคนในห้องตะโกนตอบกลับมาแล้วเสียงก็เงียบไป
“ไม่แปป ตื่น เดี๋ยว นี้!”
เงียบ..
ยังเงียบ...
เอาแบบนี้ใช่ไหม ได้!
“ไอ้เปี๊ยก!”
พรึ่บ! น่านน้ำรีบลุกจากเตียงทันทีแม้ว่าตายังปิดอยู่ก็ตาม เด็กหนุ่มขยี้ตาทั้งสองข้าง เขาพยายามปรับภาพที่พร่ามัวเบื้องหน้าให้ชัดเจน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มตัว “ตื่นแล้ว ๆ ลงไปรอข้างล่างเลย!”
ที่บอกว่าหนังตาทั้งสองข้างเหมือนมีแรงโน้มถ่วงยึดไว้ ยังไม่มีน้ำหนักเท่ากับคำว่าไอ้เปี๊ยกด้วยซ้ำ
ด้านล่างบริเวณห้องโถง ร่างของหญิงวัยกลางคนกำลังจัดของใส่ตะกร้าสานในมืออย่างเป็นระเบียบ ขณะนั้นเสียงเดินลงมาจากบันไดก็เรียกความสนใจจากเธอ รตีหันไปมองเจ้าของเสียงเมื่อครู่ก่อนจะส่งยิ้มไป
“เอะอะเสียงดังอะไรกันแต่เช้าลูก มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
“เปล่าหรอกแม่ พอดีฟ้าจะพาน้องไปเก็บองุ่นช่วยพวกลุงมิ่งแกน่ะครับ”
“แล้วนี่แม่จะไปไหนหรอ” น่านฟ้ามองของที่ถูกจัดไว้ในตะกร้า
“แม่ว่าจะเอาของไปให้ป้าเพ็ญ กะว่าจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนแกสักหน่อยจ้ะ” พูดจบรตีก็หันกลับมาหยิบของที่เหลือใส่เข้าไปอีก เมื่อเช็คดูว่าครบแล้วเธอก็ยกตะกร้าใบใหญ่ขึ้นมาถือไว้ข้างตัว “จริงสิ แม่เกือบลืมแล้วเชียว ช่วงบ่ายแม่ฝากไปซื้อของตามนี้ให้หน่อยนะลูก ของในตู้เย็นเริ่มจะหมดแล้ว”
กระดาษขาวขนาดเท่าฝ่ามือสองแผ่นถูกยื่นมาด้านหน้า น่านฟ้าก้มดูแล้วรับมาพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้
“ครับแม่”
“ถ้างั้นแม่ไปก่อนล่ะ กุญแจรถวางไว้ตรงหน้าทีวีนะลูก” เธอยื่นมือไปลูบหัวลูกชายด้วยความรัก ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้น่านฟ้าจะไม่ได้มีเค้าโครงเหมือนกับพ่อของเขา แต่นิสัยบางอย่างก็ทำให้รตีอดคิดถึงผู้ที่จากไปอย่างสามีไม่ได้ ถ้าขุนเขายังอยู่ เขาจะต้องภูมิใจในตัวเด็กทั้งสองคนนี้แน่นอน
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เสียงปิดประตูชั้นบนก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างโปร่งของเจ้าของเสียง น่านน้ำรีบวิ่งลงมาสุดขีด กระทั่งหยดน้ำบนหน้ายังเช็ดไม่หมด ส่วนผมก็ยังไม่ได้ถูกหวีให้เป็นระเบียบ ฟันแปรงรึเปล่าก็ไม่รู้ น่านฟ้ายื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้คนเด็กกว่า
“กินข้าวก่อนไหม หรือค่อยกินทีหลัง?”
“กินพร้อมพี่อะ น้ำยังไงก็ได้อยู่ละ” เด็กหนุ่มใช้ผ้าซับน้ำบนใบหน้าของตัวเอง สำหรับมื้อเช้าก็คือมื้อเที่ยงดี ๆ นี่เอง เพราะงั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ”
น่านฟ้าเดินนำหน้าน้องชายไปหลายก้าว ระหว่างนั้นพลันนึกถึงสร้อยที่ซื้อมาเมื่อวันก่อน มือเรียวยกขึ้นลูบบริเวณลำคอแผ่วเบา ตอนนี้ไม่มีสร้อยห้อยอยู่บนคอ แต่เมื่อคืนเขาฝันเกี่ยวกับสร้อยเส้นนั้น แม้ภาพในฝันจะเลือนราง แต่ลางสังหรณ์กลับบอกว่ามันเป็นฝันที่ไม่ค่อยดีเอาซะเลย
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวจากทิศตะวันออก กระทั่งย้ายไปอยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะ ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆบดบัง แสงเหลืองอมส้มทอประกายลงมาบนพื้นผิวด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ส่งผลให้ชายผิวแทนถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก แต่กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ เพราะดูเหมือนตอนนี้ผู้เป็นนายอารมณ์เสียผิดปกติ เฉียบลอบมองชายหนุ่มผิวขาวราวหยวกเป็นระยะ ทว่าเวลาโดนสายตาคมคู่นั้นมองกลับก็รีบเบือนหน้าหนี“เฮ้ย ลื้อเป็นอะไร?” เฟยหลงทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม เขาเห็นอีกคนเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เห็นแล้วเวียนหัวหัวแทน “คนนะเว้ยไม่ใช่ปลาทอง มองอยู่ได้”“แหมเสี่ย ถึงจะมองเสี่ยก็ไม่ท้องหรอกน่า”“เดี๋ยวปั๊ด ฮึ่ย” เฟยหลงยกแขนขึ้นทำท่าจะเหนี่ยวใส่อีกคน ก่อนจะเก็บแขนกลับเข้าที่เดิม เขาทำท่างฮึดฮัดเหมือนไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักอย่าง“โธ่...วันนี้เสี่ยเป็นอะไร ทำไมใส่อารมณ์แปลก ๆ แล้วไหนจะพาผมมายืนตากแดดตากลมอยู่หลังร้านด้วย เป็นอะไร๊ เป็นอะไร” ถ้าพามายืนหลบแดดเขาจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เล่นยืนอาบแดด เหงื่อไม่ไหลไคลไม่ย้อยก็ให้มันรู้กันไป“อั๊วไม่ได้ใส่อารมณ์”“งั้นแปลว่าเสี่ยมีอารมณ์”“ใช่ เฮ้ย ไม่ใช่!” เฟยหลงหันไปถลึงตาใส่คนด้านข้าง หัวเขา
“เอาน่า รอบหน้าถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะลูก แม่ไม่อยากให้ฟ้ามีปัญหา ดูท่าแล้วคงเป็นลูกคนมีสตางค์แน่นอน” รตีทำหน้าเป็นกังวลอยู่กลาย ๆ เธอเพียงเป็นห่วงลูกชายว่าจะโดนทำร้าย ทุกวันนี้เงินมันมีค่ามากกว่าความเป็นคนเสียอีก“ครับแม่ ฟ้าเองก็ไม่อยากมีปัญหาหรอกครับ” ยิ่งคนมีสตางค์แต่ไม่มีสติแบบหมอนั่น ไม่รู้ว่ารอดมาถึงทุกวันนี้แบบครบ32ประการได้ยังไงข้าวจ้าวมองเพื่อนสนิทแล้วก็พูดขึ้นมาแทบจะทันควัน นาน ๆ ทีจะได้พูดแซวกลับบ้าง เพราะส่วนมากเป็นเขาที่โดนแซวเสียมากกว่า จังหวะดี ๆ แบบนี้ข้าวจ้าวจะพลาดได้อย่างไรเล่า “โบราณว่าเกลียดอะไรระวังได้แบบนั้นนะเว้ย”“อ๋อหรออออ เหมือนแกกับวินใช่ไหมล่ะ”“เหมือนนรกกับสวรรค์อะบอกเลย” ยิ่งคิดภาพว่าจากที่ตีกันมาจู๋จี๋กันมันไม่ได้! ไม่ได้แบบขีดเส้นผ่าชัด ๆ “กูยอมเป็นโสดจนตายดีกว่าได้กับมัน”“จ้า จำคำนี้ไว้แล้วกัน อย่าให้เห็นว่าลับหลังแอบไปนอนกอดกันบนเถียงนาน้อย” น่านฟ้าพูดแซวอีกคนกลับ ขณะเดียวกันก็กอดซบแม่ของตนด้วยท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดู“เรานี่นะ แกล้งน้องไม่พอยังจะแกล้งเพื่อนอีก ดูหน้าหนูจ้าวซินั่น”ใบหน้ายับยู่ยี่ของชายหนุ่มผมแดงเบื้องหน้า สร้างรอยยิ้มให้กับสองแม่ลูกไ
“น้ารตี! ผมเอาแตงโมมาฝากครับ” ข้าวจ้าวชูถุงแตงโมขนาดใหญ่ในมือ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน“อ้าวหนูข้าวจ้าว มากับใครจ๊ะ”รตีวางของในมือลง แล้วรับแตงโมมาจากเด็กหนุ่มรุ่นลูก“มาคนเดียวครับ ผมมาทำธุระแถวนี้พอดี”“น้ากำลังเตรียมทำมื้อเที่ยงพอดีเลย รอเอากลับไปกินที่บ้านด้วยสิจ๊ะ”“จะดีหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มผมแดงกล่าวพลางยิ้มส่งไป“ทำไมจะไม่ดีล่ะลูก ถ้างั้นเดี๋ยวน้าเอาแตงโมไปปั่นมากินเลยดีกว่า” เธอก้มมองแตงโมในมือแล้วระบายยิ้มเล็กน้อย ตามด้วยร่างสันทัดของหญิงวัยกลางคนลุกเดินเข้าไปในบ้าน จึงทำให้บนแคร่เหลือเพียงน่านน้ำแทน“ครับ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ” ข้าวจ้าวทรุดตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนอายุน้อยกว่า มือเรียวได้รูปหยิบตะกร้าสีขาวด้านหน้ามาสานต่ออีกแรง ขณะเดียวกันก็ชวนเด็กหนุ่มคุยไปด้วย “ไงเรา พี่อยู่บ้านรึเปล่า”“ไม่อยู่ครับ พี่ฟ้าไปทำงานในตลาดนู้น”“อ้าว แล้วไปนานรึยัง” พักหลังมาเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนบ่อยเท่าไหร่พอได้ยินข่าวคราวก็ย่อมเกิดความอยากรู้เป็นธรรมดา“พึ่งไปได้สี่วันเอง แล้วพี่มาทำอะไรแถวนี้หรอ?”“พอดีเอาของมาให้คนรู้จัก
ภาพของไร่องุ่นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เฟยหลงและหงส์หยกเดินตามหลังหญิงวัยกลางคนเข้าไปด้านในไร่ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นองุ่นเรียงรายกันเป็นแถว ผลองุ่นสีเขียวอ่อนตัดกับสีม่วงเข้ม ประกอบกับบนท้องฟ้าประดับด้วยเมฆก้อนเล็ก ๆ สีขาวนวล สภาพอากาศปลอดโปร่งทำให้มองเห็นวิวภูเขาชัดเจน เจ้าของเรือนร่างอรชรกวาดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบ ใบหน้านวลฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาของเธอดูสดใสมีชีวิตชีวาเฟยหลงลอบสูดอากาศบริสุทธิ์ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหันมองซ้ายขวาด้วยความสนใจ เจ้าของไร่มองทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาด ไม่ได้ดีแค่ทำเลโดยรอบ แต่พื้นผิวของดินก็ยังดีอีกด้วย องุ่นทุกต้นนอกจากจะผ่านวิธีการดูแลเบื้องต้นแล้ว ดินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของมัน ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้“เสี่ย” เฉียบเอ่ยเรียกเจ้านายเสียงเบา“เสี่ยดูองุ่นพวกนี้สิ น่ากินทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มผิวแทนว่าแล้วก็จ้องพวงองุ่นที่ย้อยลงมาอย่างไม่วางตา มีแต่ลูกใหญ่ ๆ น่ากินทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากเด็ดกินสักลูก ถ้าเป็นองุ่นดองก็ยิ่งน่ากิน จิ้มกับพริกเกลือทีนึงถอดจิตขึ้นสวรรค์ได้เลย“อยากกินก็ซื้อ” เฟยหลงตอบแบบขอไปที ทั้งไม่ได้หันไปมองอีกคนด้วยซ้ำ“แหม เสี่ยจะจ่ายให้เฉี
จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำให้สองพี่น้องพร้อมกับคู่ขาอย่างเฉียบได้มายืนอยู่หน้าร้านขนส่ง น่านฟ้ายังคงทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้สนใจสายตาสามคู่ที่กำลังมองมา เฟยหลงเห็นอีกคนมองข้ามพวกตนเหมือนเป็นวิญญาณพลันรู้สึกฉุนฉิว เขาออกจะโดดเด่นขนาดนี้มองข้ามไปได้ยังไง ตาไม่ถึงจริง!“อีกนานไหม น้องสาวอั๊วรอนานแล้ว” คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับวางมาดใส่เป็นนัยน์ว่าให้อีกคนรีบไปได้แล้วน่านฟ้าขมวดคิ้วหันไปมอง ก่อนจะหันกลับไปเช็คของในมือต่อ“ถามไม่ได้ยินรึไง” เฟยหลงยังคงถามย้ำอีกคน“ถ้ารีบมากไม่ไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะครับคุณ” ถึงแม้คนตัวเล็กจะยอมตอบกลับไป แต่เขาก็ไม่ได้ผินหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเลยสักนิด เสมือนพูดกับอากาศแล้วก็จบลงที่ความเงียบอีกเช่นเคย“นี่!” ร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเดินอาด ๆ เข้าไปยืนจังก้าเบื้องหน้าเจ้าของเรือนผมบลอนด์ ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนที่เตี้ยกว่า เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่ดันช้ากว่าอีกฝ่าย ที่จู่ ๆ ก็พูดโพล่งออกมา“หลบหน่อย เกะกะ”ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงกับกลืนคำพูดลงแทบจะไม่ทัน“เฮีย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเฮียเลยนะ” ร่างอรชรของหงส์หยกรุดเดินข้ามายืนเทียบข้างพี่ชาย เธอมองผู้เป็นพี่สล
“มานี่สิ” ศักดิ์ชัยกระดิกนิ้วเรียกลูกชายพายุลอบถอนหายใจแล้วเข้าไปหาผู้กุมบังเหียนของบ้าน บุคคลที่เขาไม่เคยต่อต้านได้เลยสักครั้ง เมื่อเดินไปถึงชายหนุ่มก็ถูกกดตัวลงกับพื้นจากด้านหลัง เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นรูปปั้น เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนกระทำแบบนี้“แกบอกว่าฉันขังแกเหมือนกับนกในกรงงั้นหรอ”“ฉันจะบอกอะไรให้นะ” เขาพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าลูกชายตนเอง ไม่ได้แยแสหรือสนใจสักนิด ว่าอีกคนจะทำหน้าตายังไง “นกที่โดนขังไว้ในกรง ถ้ามันไม่ตายมันก็ออกไปจากกรงไม่ได้ หรือถ้าเจ้าของมันตาย มันก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี”“เพราะชีวิตของมันถูกกำหนดมาแล้ว... ว่าต้องตายอยู่ในกรงเท่านั้น”“เข้าใจที่พ่อพูดไหมพายุ?”นัยน์ตาคมแดงก่ำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ความรู้สึกในใจพังยับเยินไม่เป็นชิ้นดี“ไปแต่งตัวให้มันดีกว่านี้ ได้เวลาทำหน้าที่ในฐานะลูกชายของฉันแล้ว”“ครับพ่อ...” เขาเค้นเสียงพูดผ่านไรฟันชายหนุ่มร่างแบบบางยืนมองโรงสีขนาดใหญ่ตรงหน้า รถคันใหญ่เทียวเข้าเทียวออกวนเวียนไปมา เขายืนอยู่หน้าทางเข้าได้สักพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกลังเล ราวกับถ้าก้าวขาข้างใดข้างหนึ่งไป จะมีเรื่อ







