เพราะแสงที่สว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาของเธอลืมมองสู้แสงไม่ไหว เมื่อซูมี่หลับตาลง เมื่อเธอก็ตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องที่เรือนหลังน้อยในยุคโบราณ
ซูมี่ลืมตานอนนิ่งๆ เพื่อปรับความรู้สึก ก่อนที่จะมองฝ่าความมืดมองไปทั่วห้อง ยังเป็นเช่นเดิมที่ไม่มีสิ่งใดมีเพียงเตียงไม้ ตู้เก็บเสื้อผ้าที่ปลายเตียง ซูมี่เดินออกไปด้านนอกห้องเพื่อสำรวจบ้านที่นางเคยอยู่
ทุกอย่างยังเป็นเช่นที่เคยเป็น หากจะนึกเสียดายสิ่งที่อยู่ในภพนี้คงวเป็นบิดามารดาที่รักนางที่สุด นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้จดจำ ในตอนนี้ที่นางย้อนกลับมาเป็นช่วงก่อนที่นางจะรับรู้เรื่องของถิงถิง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ซูมี่ก็คิดที่จะทำให้ครอบครัวของนางเห็นธาตุแท้ของชิงฉาง เพื่อจะได้หยุดให้การช่วยเหลือเรื่องต่างๆ กับเขา ในเมื่อกล้าทรยศต่อความหวังดีที่ท่านพ่อท่านแม่นางมอบให้ เขาก็ควรจะได้รับผลที่เขาได้กระทำไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น นางจางกุ้ย มารดาของซูมี่ก็เดินมาดูบุตรสาวที่ล้มป่วยลงเมื่อสองวันก่อนที่นอนพักอยู่ในห้อง
"มี่เออร์เจ้าหายดีแล้วหรือ" นางจางกุ้ยเดินเข้ามาจับหน้าผากของบุตรสาวที่นั่งอยู่ที่เตียง
ซูมี่ที่เห็นหน้ามารดาก็โผล่เข้าหาด้วยความคิดถึง จางกุ้ยที่เห็นบุตรสาวร้องไห้โฮออกมาก็ตกใจจนต้องลูบหลังปลอบประโลมนาง ซูต้าหลางที่ได้ยินบุตรสาวร้องไห้เสียงดังก็รีบเดินเข้ามาดู
"มี่เออร์เป็นอันใด" นางจางกุ้ยส่ายหัวให้ซูต้าหลางเพราะนางก็ไม่รู้เช่นกัน
เมื่อซูมี่สงบสติได้นางก็มองบิดามารดาด้วยแววตาที่คะนึงหา นางได้กลับมาอยู่กับมารดาบิดาอีกครั้งแล้ว นางต้องสลัดชิงฉางให้หลุดเสียก่อนนางถึงจะตั้งตัวอีกครั้งเพื่อให้ความเป็นอยู่ของบิดามารดาดีขึ้น
ซูมี่ในวัยสิบสามหนาว นางบอกบิดามารดาว่านางฝันร้าย ฝันว่ามิได้อยู่กับบิดามารดาทำให้นางร้องไห้ออกมา จางกุ้ยและต้าหลางลูบหัวปลอบบุตรสาว ก่อนที่จะแยกย้ายออกไปทำงานของตน
ซูมี่นางก็ออกไปช่วยมารดาในครัว เมื่อเห็นมารดาทำอาหารเผื่อชิงฉางนางก็เบะปากอย่างดูแคลน แม้แต่อาหารที่กินยังต้องให้มารดากับนางเป็นคนนำไปส่ง
"ท่านแม่ ท่านไม่ต้องทำเผื่อเขาแล้วเจ้าค่ะ" แม้แต่ชื่อเรียกนางก็ไม่อยากเรียกให้เสียปาก
"มีอันใดหรือ มิใช่เจ้าหรือที่ก่อนหน้านี้อยากทำไปส่งให้อาฉางทุกวัน" ซูมี่เบ้ปากเมื่อนึกถึงความคลั่งรักของนางเมื่อก่อน
"ข้าไม่อยากทำแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งหายดีควรเก็บไว้กินเอง" ของดีๆ ทั้งนั้น เนื้อในบ้านของนางส่วนมากก็อยู่ในท้องของชิงฉาง ในเมื่อคนเนรคุณเช่นนั้นจะให้เขาได้กินทำไม
นางจางกุ้ยเมื่อคิดถึงบุตรสาวที่นอนป่วยอยู่หลายวันก็เห็นเช่นเดียวกับนางที่จะเก็บของดีดีไว้ให้บุตรสาวได้กิน
ซูมี่ยิ้มหวานให้มารดาก่อนที่ทั้งคู่จะยกอาหารไปขึ้นโต๊ะแล้วเรียกบิดาที่ทำงานอยู่มาทานอาหาร
"เหตุใดวันนี้ถึงมีเนื้อมากนัก" ต้าหลางมองอาหารบนโต๊ะอย่างแปลกใจ เพราะบุตรสาวมักจะนำอาหารที่มีเนื้อสัตว์เกือบทั้งหมดไปให้ชิงฉางที่เรือนของเขา
ซูมี่คล้องแขนบิดา ก่อนที่นางจะเอ่ยว่าต่อไปนี้นางจะไม่ทำอาหารไปส่งที่เรือนของชิงฉางอีกแล้ว
"เพราะเหตุใด" ต้าหลางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยที่ซูมี่นำของที่ดีภายในเรือนไปให้ชิงฉางแต่ก็ไม่อยากเอ่ยขัดให้บุตรสาวเสียใจ
"หากข้าพูดไปพวกท่านจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ" ซูมี่วางตะเกียบลงแล้วมองสบตาบิดามารดาอย่างจริงจัง
"เจ้าพูดมาเถิดมีเรื่องใดที่พ่อจะไม่เชื่อเจ้า" ต้าหลางตบศีรษะของซูมี่เบาๆ
"ข้ารู้ว่าเรื่องที่ข้าพูดมันออกจะเหลือเชื่อ" ซูมี่จับมือมารดาไว้แน่นเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดามารดาฟัง
ซูมี่เล่าเรื่องที่นางฝันถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดที่เกิดขึ้น และวันที่ชิงฉางพาหญิงสาวที่ชื่อถิงถิงมาที่เรือนตระกูลซูจนมีปากเสียงและนางได้ตกลงไปในบ่อน้ำจนเสียชีวิต
"พวกท่านคงคิดว่าข้านอนมากไปจึงฝัน เช่นนั้นท่านพ่อ ท่านลองไปสืบหาหญิงสาวที่อยู่ในเมือง นางเป็นบุตรของลูกอนุอยู่ที่เรือนของท่านคหบดีเฉียว" ซูมี่บอกให้บิดาที่ยังมองนางอย่างสงสัยไปจับตาดูทั้งคู่ด้วยตนเอง
ต้าหลางรับฟังสิ่งที่บุตรสาวพูดแต่เขาไม่ได้เอ่ยว่านาง แต่เรื่องทั้งหมดเขาย่อมต้องไปสืบหาเสียก่อนถึงจะปักใจเชื่อได้
"เช่นนั้นพรุ่งนี้พ่อต้องนำของปาไปขายในเมือง พ่อจะลองไปสืบดู" พอจบคำพูดของต้าหลาง ทั้งหมดก็เริ่มทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ชิงฉางเมื่อเห็นว่าเลยว่าเลยเวลาที่ซูมี่หรือนางจางกุ้ยนำอาหารมาส่งที่เรือนของเขา เขาจึงเดินมาดูที่เรือนตระกูลซูอย่างสงสัย เมื่อมาเห็นจึงได้พบว่าทั้งสามทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"ส่วนของข้าเล่าขอรับ" เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ซูมี่ที่เมื่อก่อนพบเขาจะรีบเดินเข้ามาหา แต่ครั้งนี้นางไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำ หรือนางจะรู้เรื่องของถิงถิงเสียแล้ว
"ป้ากำลังจะไปหาเจ้าที่เรือน เพื่อบอกว่าต่อไปคงไม่ส่งอาหารให้เจ้าแล้ว"
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช