ซูมี่ที่เห็นบิดาเดินเข้าเรือนมาอย่างเร่งรีบนางก็เตรียมผ้าให้เขาได้เช็ดหน้าและรินน้ำไว้ให้เขาดื่มอย่างเอาใจ เพียงแค่ดูจากหน้านางก็รู้แล้วว่าบิดาของนางคงไปพบเรื่องใดมาแน่
"ท่านพ่อดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ" ซูมี่ส่งถ้วยน้ำให้บิดา เมื่อเห็นบิดามองมาที่นางอย่างเห็นใจ
"มี่เออร์ เรื่องที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง" เมื่อนางจางกุ้ยเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วต้าหลางจึงเล่าเรื่องที่ตนไปพบเห็นมา
นางจางกุ้ยยกมือขึ้นตบอก เพราะนึกไม่ถึงว่าชิงฉางที่เป็นถึงบัณฑิตมีความรู้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้และเขายังมีสัญญาหมั้นหมายกับบุตรสาวของนางอยู่ด้วย
กลายเป็นซูมี่ที่นางเหมือนไม่เดือดร้อนอันใดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวอันใดกับนาง
"แล้วจะทำเช่นใดดี" นางจางกุ้ยเอ่ยถามอย่างกังวล
"ไม่เห็นจะต้องกังวลเรื่องอันใดเลยเจ้าค่ะ ก็เพียงแค่ถอนหมั้นเท่านั้น"
"หากอาฉางไม่ยินยอมเล่า" ต้าหลางเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
"เหอะ เขาคงอยากจะถอนหมั้นใจแทบขาด" ซูมี่ร้องเหอะออกมาเสียงดัง มีหรือคนอย่างชิงฉางมิอยากถอนหมั้น คงอยากหลุดพ้นจากนางเพื่อไปหมั้นหมายกับบุตรสาวของคหบดีเฉียวใจแทบขาด
"เช่นนั้นก็เรียกอาฉางมาพูดคุยเสียก่อนเถิด" ต้าหลางคิดไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะต้องพูดคุยกับต้าหลางให้รู้เรื่อง
เมื่อถึงเวลาเกือบค่ำ ต้าหลางเห็นเรือนของชิงฉางจุดไฟ เขาจึงได้เดินไปหาชิงฉางที่เรือนเพื่อพูดคุยกับเขา
"ท่านลุงมีอันใดขอรับ" ชิงฉางมองต้าหลางอย่างแปลกใจ แต่เมื่อนึกว่าคงจะมาพบเขาเพื่อให้ไปง้อขอคืนดีดับซูมี่เขาก็อดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้
"อาฉาง ลุงมาพบเจ้าเพื่อพูดเรื่องหมั้นหมาย" ชิงฉางก้มหน้าลงเพื่อบดบังมิให้ต้าหลางเห็นสายตาของเขา
"ท่านลุง ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อมขอรับ ข้า" ต้าหลางโบกมือเพื่อให้ชิงฉางหยุดพูดเสียก่อน
"ข้ามิได้มาเร่งรัดเจ้า ข้ามาพูดเรื่องถอนหมั้น" ชิงฉางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะไม่นึกว่าตระกูลซูจะกล้าถอนหมั้นกับเขาที่สอบผ่านซิ่วไฉมาแล้ว
"เพราะเหตุใดขอรับ" ชิงฉางเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจ
"เรื่องของคุณหนูเฉียวบุตรสาวคหบดีเฉียว พวกข้ารู้เรื่องแล้ว" ชิงฉางเหมือนโดนฟ้าผ่า เขายืนนิ่งไปเมื่อถูกผู้อื่นรู้เรื่องเข้า
"ทะ ท่านลุง หมายความว่าอย่างไรขอรับ" ต้าหลางถอนหายใจก่อนจะมองชิงฉางอย่างเสียความรู้สึก
เพราะเขานึกมาเสมอว่าชิงฉางก็เหมือนบุตรชายของเขาคนหนึ่ง หากไม่รักไม่ชอบในตัวบุตรสาวของเขาก็ควรจะพูดกันตามตรงมิใช่ทำเช่นนี้
"ที่เจ้าไปพบนางวันนี้ข้าเห็นหมดแล้ว" ชิงฉางพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับ เมื่อต้าหลางบอกเรื่องที่ตนสมควรพูดไปหมดแล้วก็กลับเรือนของตนไป เพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาและบุตรสาวฟัง
เรื่องที่เกิดขึ้นต้าหลางเพียงบอกให้ชิงฉางส่งหนังสือหมั้นหมายและเทียบชะตาของซูมี่คืนมา แต่ผ่านมาสองวันชิงฉางก็ยังมิได้นำมาคืน
ซูมี่นางยังใช้ชีวิตปกติ ยังนำผ้าไปซักที่ริมแม่น้ำ และยังไปช่วยบิดามารดาทำนาที่ท้ายหมู่บ้าน แต่วันนี้นางเจอสตรีในหมู่บ้านมองมาที่นางพร้อมพูดกระซิบกระซาบกัน
"เสี่ยวมี่ เจ้ากับบุตรชายท่านป้าฝูลอบคบกันจริงหรือไม่" ซูมี่หันไปมองสตรีที่พูดกับนางอย่างแปลกใจ
"เจ้าพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง" ซูมี่ขมวดคิ้วตอบกลับ
"เหอะ สตรีร้ายกาจเช่นเจ้าหากพึงใจกับอาเต๋อเจ้าก็ควรจะถอนหมั้นกับพี่ฉางเสียก่อน" ซูมี่มองไปที่เสี่ยวเผ่ยอย่างงงงวย
"เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกรอบ" ซูมี่ลุกขึ้นยืนแล้วเท้าสะเอวอย่างมีอารมณ์
เสี่ยวเผ่ยจึงเล่าให้ซูมี่ฟัง เมื่อวานเสี่ยวเจียเห็นซูมี่อยู่กับอาเต๋อที่ชายป่าท้ายหมู่บ้านเหมือนทั้งคู่ลอบพบกัน ซูมี่ที่ได้ยินเช่นนั้นนางก็โมโหจนเกือบขาดสติ เพราะนางอยู่ที่เรือนกับมารดาอยู่ตลอดจะไปอยู่ที่ชายป่าท้ายหมู่บ้านได้อย่างไร
"เช่นนั้นไปกับข้า" ซูมี่ฉุดกระชากลากเสี่ยวเผ่ยเดินไปที่เรือนของเสี่ยเจียท่ามกลางสายตาของชาวบ้านและยังมีคนติดตามนางเพื่อไปดูเหตุการณ์อีกมากมาย
"เสี่ยวเจีย เจ้าเปิดประตูเรือนประเดี๋ยวนี้"ซูมี่ตบที่ประตูเรือนอย่างแรง จนคนที่อยู่ในเรือนต้องรีบออกมาเปิดประตู
"เจ้าพูดว่าข้าลอบพบกับอาเต๋อ ใช่หรือไม่" ซูมี่ผลักเสี่ยวเผ่ยไปหาเสี่ยวเจียก่อนที่จะชี้หาถามนาง
"ข้าเห็นด้านหลัง มิใช่เจ้าหรือ" เสี่ยวเจียก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบา
"เหอะ เช่นนั้นเจ้ารอข้าประเดี๋ยว" ซูมี่รีบเดินไปที่เรือนของป้าฝู แล้วตามอาเต๋อให้มาที่เรือนของเสี่ยเจียอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางนางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาเต๋อฟัง พร้อมทั้งถามว่าหญิงสาวที่เขานัดพบเป็นใคร เมื่อรู้ตัวว่าเป็นใคร ซูมี่ก็แทบอยากจะสบถออกมา
"อาเต๋อเจ้าพูดออกมา ว่าสตรีที่เจ้านัดพบเป็นใคร" อาเต๋อบอกซูมี่อย่างหวาดๆ เพราะตอนที่เดินมาที่เรือนของเสี่ยเจียเขาก็โดนนางทุบหลังมาหลายที่แล้ว
เพราะสตรีที่เขานัดพบเป็นแม่หม้ายที่สามีเพิ่งตายลงเมื่อเดือนที่แล้ว รูปร่างก็ไม่ได้เหมือนกับซูมี่เลยแม้แต่น้อย เมื่อมีการยืนยันเกิดขึ้นเขาก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้ชาวบ้านได้รับรู้ และหากมารดารู้นางต้องทุบตีเขาเกือบตายแน่
อาเต๋อที่โดนสายตาของซูมี่จ้องมองอย่างดุดันก็พูดออกมาด้วยเสียงอันเบา เมื่อเช้าบ้านได้ยินชื่อของแม่หม้ายต่างก็ยกมือขึ้นตบอกอย่างตกใจ เพราะสามีของนางเพิ่งจะเสีย นางก็แอบลอบนัดพบบุรุษเสียแล้ว
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช