“พอเลย ๆ ใครจะให้คุณมาหากัน รีบปล่อยฉันเลย ทะลึ่ง!” ฉันดึงมือออกจากมือของหลิวหลงถิงอย่างแรง หลิวหลงถิงมองลงมาที่ฉันพลางผุดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย นัยย์ตาสีดำของเขาเหมือนหุบเขาลึกสุดลูกหูลูกตา ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งหลิวหลงถิงปล่อยมือออกจากฉัน โดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่ แถมยังบอกฉันให้จำสิ่งที่เราพูดกันเมื่อครู่ไว้ ฉันเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปเปิดประตูให้หวังหงเข้ามาทันทีที่หวางหงเข้ามา เขาก็ไม่ได้สนใจเราอีกต่อไป เขารีบเดินไปหาภรรยาและถามฉ
“เทพภูเขาวิวาห์?”นี่ไม่ใช่หนังในละครทีวีบางเรื่อง หรือเป็นเค้าโครงเรื่องเล่าบางเรื่อง ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้ในปัจจุบันอยู่อีก?"ไม่เคยนะคะ มีแต่เคยอ่านในหนังสือ" ฉันตอบย่าไป“เมื่อวานนี้ย่าลงไปคุยเล่นที่บ้านของย่าหลี่ที่อยู่ชั้นล่าง ย่าหลี่ของหนูบอกย่าเกี่ยวกับประเพณีแปลก ๆ ในบ้านเกิดของเธอ เธอพูดว่ามันเป็นประเพณีของพวกเขาที่ทุก ๆ สิบปีจะเลือกเด็กสาวที่อายุต่ำกว่าสิบสามปีให้แต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา เธอบอกว่าการแต่งงานนั่นจะสามารถปกปักรักษาพวกเขา และช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งปราศจา
“แต่ต่อให้เป็นเทพ โดยเฉพาะเทพแห่งขุนเขาหรือเทพแห่งสายน้ำ การที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกมนุยษ์ได้นั้นเพราะความศรัทธาของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ศรัทธาในตัวพวกเขามากเท่าไหร่ พลังของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ถ้ามีมนุษย์บอกว่าพวกเขาเป็นปีศาจ พวกเขาจะเป็นปีศาจ เมื่อชาวบ้านในที่นั้นหมดศรัทธาในเทพแห่งขุนเขาแล้ว เหล่าเทพแห่งขุนเขาจะถอดความเป็นเทพเจ้าออกไป และพอไม่มีกำลังความศรัทธา เขาเองก็เป็นจะผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาลองดูกันก็ได้”แต่ถึงอย่างไรก็ฉันที่ไปสู้กับเทพเจ้าแห
ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยจริง ๆ! คาดไม่ถึงหลิวหลงถิงจะให้ฉันถวายตัวเป็นเครื่องเซ้นไหว้แด่เทพเจ้าแห่งขุนเขา!“ไม่ใช่ว่าการเซ้นไหว้เทพเจ้าแห่งขุนเขานี้จะต้องใช้เด็กผู้หญิงอายุสิบสามปีเต็มหรือ? ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ และก็คงไม่เข้าตาเทพแห่งขุนเขาหรอก” ฉันพูดกับหลิวหลงถิง“ทำได้แน่นอน ต่อให้เจ้าจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยหลายพันปีแล้วก็ตาม มันก็เป็นแค่การประมาณอายุคร่าว ๆ เท่านั้น อายุสิบสามและยี่สิบปี หน้าตาไม่ต่างกันเลย แต่สิ่งที่ทำให้แบ่งแยกได้ก็คือลักษณะทางกายภาพของพวกเขา เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบสามจะ
หลิวหลงถิงพูดได้ดูง่ายมาก ๆ ฉันต้องพึ่งเม็ดกัญชาขนาดใหญ่ลูกนี้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้อย่างนั้นหรือ? แค่ฉันคิดว่าในวันพรุ่งนี้ฉันจะหลอกเทพแห่งขุนเขาให้กินยาลูกกลอนขนาดใหญ่นี้ได้อย่างไร ฉันก็กลุ้มใจจนกินอะไรไม่ลงเลยทีเดียวหลังจากที่ฉันตกลงได้แล้ว ในคืนวันนี้ทุกคนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครได้นอนเลย พวกเขารีบร้อนจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม วันรุ่งขึ้นในช่วงฟ้าสาง ผู้นำหมู่บ้านได้จัดเตรียมให้หญิงชราสองสามคนค่อยปรนนิบัติอาบน้ำ หวีผมและทำอะไรอย่างอื่นให้ฉันมากมายตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีป
“ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ท่านจะกินเลือดกินเนื้อของฉัน หรือว่าจะไปเข้าห้องหอกับฉัน?” ฉันถามชายหนุ่มก็คงเพราะได้รับอิทธิพลจากนิยายท่านประธานจอมเผด็จการไร้ยางอายเหล่านั้น ดังนั้นพูดกำกวมที่ว่า ข้าอยากกินเจ้า จึงมักจะทำให้คนอื่นคิดเลยเถิดกันไปใหญ่คงน่าจะเพราะคำถามของฉันมันดูตลก ชายคนนั้นวางมือที่ยกส้มขึ้นลง แล้วถามฉันด้วยความสนใจว่า “นี่เจ้าไม่กลัวข้าเลยหรอ? แม้แต่ร้องไห้ก็ยังไม่ร้องเลย”ฉันกลัวสิ! ฉันกลัวจนแทบอยากจะวิ่งลงจากภูเขาไปเสียตอนนี้เลย ใครจะไปอยากอยู่กับเทพที่ดูแปลก ๆ แบบนี้ก
นี่มันตรงกับสุภาษิตที่ว่า ขโมยไก่ไม่ได้ยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือชัด ๆ! แล้วเมื่อไหร่เจ้าบ้าหลิวหลงถิงจะขึ้นมาช่วยฉันสักทีล่ะ!ฉันแผดเสียงอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเทพแห่งขุนเขากำลังจะถลกกระโปรงฉันขึ้น ขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็มีลมพัดกลิ่นสาปงูเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งวิหาร งูขาวตัวใหญ่แข็งแกร่งเลื้อยเข้ามาจากประตูทางเข้าวัด จนมาถึงที่หน้าของฉัน หัวงูขนาดใหญ่ยกขึ้นและฉกเข้าที่หลังของเทพเจ้าแห่งภูเขาอย่างรุนแรง พลันเลือดสีเข้มก็ไหลหล้นสาดกระเซ็นจนเต็มไปทั้งตัวงู ดูเหมือนในตอนนี้เทพแห่งขุนเขาจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย
หรือว่าจิตวิญญาณของเทพเจ้าแห่งขุนเขามาประทับอยู่ในร่างฉันแล้ว?แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรถ้าเขามาประทับอยู่ในร่างของฉัน หลิวหลงถิงก็ต้องสังเกตเห็นมันได้สิหลังจากที่งูหลายร้อยตัวกินเลือดกินเนื้อของเทพแห่งขุนเขาจนหมดแล้ว พวกมันก็ค่อย ๆ กลายเป็นควันและหายไปต่อหน้าต่อตาเราทันใดนั้นนอกเหนือจากคราบเลือดบนพื้นแล้ว ทุกอย่างภายในวิหารก็เงียบสงบลง มันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเราทั้งสองคน“อะแฮ่ม...!”ฉันใช้เสียงกระแอมในลำคอเพื่อดึงความสนใจจากหลิวหลงถิง และเตือนให้เขาไม่อย่าลืมว่