Share

บทที่ 12

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
อวี๋ผินยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูสภาพอันน่าสมเพชของเจียงหวนอย่างเต็มตา ในใจรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง

นางต้องการให้เจียงหวนจดจำไว้ว่า นางต่างหากคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวา!

ตราบใดที่เจียงหวนยังอยู่ในตำหนักจิ่นหวาแม้เพียงวันเดียว ก็ต้องอยู่ภายใต้การสั่งสอนของนาง!

นอกประตู เสี่ยวเจาเงียบเสียงไปได้สักพักแล้ว

หมอม่อที่ทำหน้าที่ตบปากก้มลงไปตรวจดูอาการ จากนั้นก็เดินเข้ามาในประตู

“พระสนมเพคะ นังบ่าวชั้นต่ำนั่นสลบไปแล้วเพคะ”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นเลือดที่นองอยู่บนพื้น ในดวงตาก็พลันเต็มไปด้วยความรังเกียจ

นางโบกมือ สั่งการว่า “โยนออกไป”

เจียงหวนเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

นางดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ฝ่ามือถูกกระเบื้องปูพื้นบาดจนเป็นแผล ทิ้งรอยเลือดไว้บนพื้นเป็นทาง

แต่น้ำหนักที่กดทับร่างนางนั้นราวกับภูเขาสองลูก ทำให้นางไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

เจียงหวนไม่เคยรู้สึกไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเสี่ยวเจาทนทุกข์ทรมาน

นางพลันตระหนักได้ว่า ในวังลึกแห่งนี้ ชีวิตคนนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าหญ้าเสียอีก

นางและเสี่ยวเจาในสายตาของอวี๋ผิน ก็เป็นเพียงมดปลวกที่สามารถบดขยี้ให้ตายได้ทุกเมื่อ

และยิ่งเจียงหวนดูน่าสมเพชเพียงใด อารมณ์ของอวี๋ผินก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

นางมองเจียงหวนด้วยท่าทีที่เหนือกว่า จากนั้นยกยิ้มอย่างหยิ่งผยอง

“คิดดูให้ดี ๆ ว่าเจ้าควรจะทำอย่างไรกันแน่”

พูดจบ อวี๋ผินก็ยกมือขึ้น สั่งให้คนปล่อยตัวเจียงหวน

หลังจากได้รับอิสระ สิ่งแรกที่เจียงหวนทำคือวิ่งออกไปนอกตำหนัก แม้แต่เชือกที่มัดอยู่บนหน้าก็ยังไม่ทันได้แกะ

นางวิ่งเร็วมาก ลมที่พัดมาเป็นระลอกปะทะเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

ราวกับมีดเล่มหนึ่ง กำลังเฉือนนางออกเป็นชิ้น ๆ

เสี่ยวเจาถูกโยนทิ้งไว้ข้างทาง ไม่ขยับเขยื้อน

ร่างของเจียงหวนโงนเงน โซซัดโซเซเข้าไปหานาง

ขอบตาของนางแดงก่ำ กลั้นหายใจ ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจลมหายใจของเสี่ยวเจา

หนึ่งวินาที สองวินาที...

เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแผ่วเบา เจียงหวนก็พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่

เสี่ยวเจายังมีชีวิตอยู่! ยังมีชีวิตอยู่!

ขอเพียงแค่คนยังไม่เป็นอะไร ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสใด ๆ

เมื่อไม่มีใครช่วย เจียงหวนก็ทำได้เพียงประคองเสี่ยวเจาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พยุงนางเดินจากไปทีละก้าว ๆ

หลังจากกลับมาถึงตำหนักฝั่งตะวันตก เจียงหวนก็วางเสี่ยวเจาลงบนเตียง ค้นหายาขี้ผึ้งที่แอบซ่อนไว้

ตลอดสามเดือนที่มาอยู่ในโลกใบนี้ มีเสี่ยวเจาที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอด

ตอนที่นางถูกคนในวังหลังรังแก เสี่ยวเจาก็คอยยืนขวางอยู่ข้างหน้านาง ปกป้องนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เด็กคนนี้ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้นะ

น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเจียงหวน นางค่อย ๆ ทำแผลบนใบหน้าให้เสี่ยวเจาอย่างระมัดระวัง

มุมปากของเสี่ยวเจาแตกยับเยิน แก้มบวมเป่ง แดงอมม่วงไปทั้งแถบ ปะปนกับเส้นเลือดฝอยที่แตก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เจียงหวนใช้แผ่นไม้ ค่อย ๆ ทายาให้เสี่ยวเจา บาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ตัวนางสั่นเทิ้ม

อาจเป็นเพราะไม่สามารถควบคุมแรงได้ ทำให้ไปโดนแผลเข้า เสี่ยวเจาขมวดคิ้วแล้วหดตัวทันที

เจียงหวนรู้สึกราวกับหัวใจของตนเองก็หดตัวตามไปด้วย แทบจะหลั่งเลือดออกมาได้

อวี๋ผินเพียงแค่พูดประโยคเดียว ก็สามารถลงโทษเสี่ยวเจาได้ตามใจชอบ

ส่วนนางเป็นเพียงฉางไจ้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้

เจียงหวนไม่เคยมีความตั้งใจที่จะแย่งชิงความโปรดปรานกับสนมเหล่านั้นเลยจริง ๆ นางเพียงแค่อยากจะเป็นคนขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น กลับไม่เป็นไปตามที่นางต้องการเลย

เพราะเรื่องที่ได้ถวายตัวให้ฝ่าบาท อวี๋ผินก็จงเกลียดจงชังนางแล้ว หากนางยังคงนอนแผ่ไม่ต่อสู้ดิ้นรนต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายก็มีแต่จะทำให้คนข้างกายต้องตายไปด้วย

น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา ในที่สุดก็ไหลรินลงมา

ราวกับเขื่อนแตก ไหลทะลักออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เจียงหวนยกมือขึ้นคิดจะเช็ด แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งหยุดไม่ได้

นางร้องไห้ให้กับความไร้ความสามารถของตนเอง

หากไม่ได้ติดตามนายหญิงเช่นนาง เสี่ยวเจาอาจจะไม่ต้องมาทนทุกข์เช่นนี้

ในความสะลึมสะลือ เสี่ยวเจาได้ยินเสียงร้องไห้ ก็พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

“นายหญิงน้อย...” น้ำเสียงของเสี่ยวเจาแหบแห้ง พูดจาอู้อี้ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง “บ่าว...ได้...สร้างความลำบากให้ท่านหรือไม่เพคะ...”

พอเสี่ยวเจาอ้าปาก ก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก

“อย่าพูด”

เจียงหวนใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวก ๆ พยายามทำตัวให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เจ้าพักผ่อนให้ดี ๆ ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

เสี่ยวเจาเจ็บหนักมาก ตอนนี้ก็แค่พยายามฝืนทน เมื่อได้รับการปลอบโยนจากเจียงหวน ก็สลบไปอีกครั้ง

เจียงหวนไม่ได้จากไปไหน นั่งครุ่นคิดอยู่ข้างเตียง

ตำหนักจิ่นหวานี้ นางไม่อยากจะอยู่แม้แต่วันเดียว แต่หากต้องการจะย้ายออกจากตำหนัก ก็ต้องดูสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เท่านั้น

และการจะหนีให้พ้นจากอวี๋ผิน ก็ต้องอาศัยสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นกัน

นางตัวคนเดียวไร้ซึ่งอำนาจ ตอนนี้ทำได้เพียงอดทนไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาส

นางรู้จุดประสงค์ของอวี๋ผิน ก็แค่ต้องการให้นางทำอาหาร เพื่อนำไปเอาใจฮ่องเต้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะทำให้อวี๋ผินสมหวัง

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ ถูกนางกำนัลพาไปอยู่เบื้องหน้าอวี๋ผิน

“หม่อมฉัน คารวะอวี๋ผินเพคะ” เจียงหวนย่อเข่าลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม

ตอนนี้เสี่ยวเจาบาดเจ็บ ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวเมื่อไร นางจะต้องทำให้อวี๋ผินสงบลงให้ได้

จะปล่อยให้อวี๋ผินมาหาเรื่องพวกนางอีกไม่ได้แล้ว

อวี๋ผินไม่ได้เอ่ยปาก นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเชื่องช้าละเมียดละไม จนกระทั่งดื่มชาหมดถ้วย จึงค่อย ๆ เอ่ยปาก

“ลุกขึ้นเถอะ”

ขาของเจียงหวนปวดเมื่อย เสื้อผ้าบนตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปอยผมที่เปียกชื้นแนบติดอยู่บนใบหน้า

แต่นางไม่ขยับ

“หม่อมฉันทำผิด หม่อมฉันไม่กล้าลุกขึ้นเพคะ”

รอยยิ้มของอวี๋ผินกว้างขึ้น จงใจเอ่ยถาม “พูดมาสิ เจ้าทำผิดอะไร”

“พระสนมให้หม่อมฉันทำอาหาร เป็นการให้เกียรติหม่อมฉัน ก่อนหน้านี้...” เสียงของเจียงหวนสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้เป็นหม่อมฉันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หม่อมฉันยินดีจะช่วยพระสนมทำอาหาร ขอพระสนมโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

“ต่อไปหากพระสนมและฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ หม่อมฉันพร้อมรับใช้ทุกเมื่อเพคะ”

น้ำตาหยดลงมา ผสมกับเหงื่อบนหน้าผากของนาง แล้วหยดลงบนพื้นจนเป็นรอยเปียก

เจียงหวนวางตัวอย่างต่ำต้อยที่สุด นางมาเพื่อขายความน่าสงสาร ยิ่งนางดูน่าสมเพชเพียงใด อวี๋ผินก็จะยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น

เป็นไปตามคาด รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ผินยิ่งสดใสขึ้น

ประโยคสุดท้ายนี้ช่างถูกใจนางยิ่งนัก

ฮ่องเต้โปรดฝีมือของเจียงหวน หากเรียนรู้มาได้ก็ย่อมดีที่สุด

หากเรียนรู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขังเจียงหวนไว้ในตำหนักจิ่นหวาให้เป็นแม่ครัว ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน

นางคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวาแห่งนี้ เจียงหวนในตำหนักของนางก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง

เมื่อสุนัขไม่เชื่อฟัง ก็ควรจะสั่งสอน

นี่อย่างไรเล่า จำขึ้นใจแล้ว

“ถือว่าเจ้ารู้จักคิด”

ในใจของอวี๋ผินรู้สึกพึงพอใจ ตราบใดที่เจียงหวนยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย นางก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับเจียงหวนไม่ได้

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาวุธชั้นดีในการแย่งชิงความโปรดปรานของนาง

“ในเมื่อเจ้ารู้จักสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”

แต่เจียงหวนกลับนิ่งเงียบ ยังไม่ได้ลุกขึ้นทันที

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเจาบอกว่าที่ตำหนักรองฝั่งตะวันตกไม่มีวัตถุดิบเหลือแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก

เจียงหวนไม่เชื่อว่าอวี๋ผินจะไม่รู้

ตอนนี้อวี๋ผินให้นางทำอาหาร นางจะสร้างข้ออ้างให้อวี๋ผินลงโทษนางอีกไม่ได้

เจียงหวนเม้มปาก แสร้งทำท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง พยายามเอ่ยปากออกมา

“มิกล้าปิดบังพระสนมเพคะ หม่อมฉันมีฐานะต่ำต้อย วัตถุดิบที่ใช้ในตำหนักฝั่งตะวันตกปกติแล้วล้วนเป็นของเหลือจากพวกหมาแมวในวัง พระสนมสูงศักดิ์เพียงนี้ หม่อมฉันมิกล้าใช้ของเหล่านี้มาทำอาหารให้พระสนมจริง ๆ เพคะ”

ในใจของเจียงหวนนั่นล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่นางต้องพูดเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้อวี๋ผินพอใจได้

ยิ่งนางลดตัวลงไปอยู่กับหมากับแมวมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงถึงความสูงศักดิ์ของอวี๋ผินมากเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

อวี๋ผินไม่คิดว่าเจียงหวนจะพูดเช่นนี้ หัวเราะจนปิ่นระย้าบนหัวสั่นไหวไปหมด สักพักใหญ่จึงจะหยุดลง

มาจากตระกูลเล็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่น่าจะได้ขึ้นมาเป็นใหญ่มีหน้ามีตาหรอก

นางเช็ดน้ำตาที่หัวเราะจนไหลออกมา ในใจรู้สึกสะใจ

“เจ้าแค่ทำไปก็พอ ต้องการอะไร ข้าจะให้ชุ่ยอิงไปเตรียมให้เจ้าเอง”

เจียงหวนถอนหายใจอย่างโล่งอก นางรู้ว่าด่านนี้ผ่านไปได้แล้ว

หากต้องการให้อวี๋ผินขาดความช่วยเหลือจากนางไม่ได้ เช่นนั้นนางก็จะต้องแสดงคุณค่าที่ไม่มีใครสามารถมาแทนได้

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็ตัดสินใจทำเนื้อย่างเตาถ่าน นางไปขอวัตถุดิบจากชุ่ยอิง

อาหารจานนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดขึ้นมาลอย ๆ

การย่างเนื้อต้องควบคุมไฟให้ดี หรือแม้กระทั่งต้องกินตอนที่ย่างเสร็จใหม่ ๆ จึงจะมีรสชาติ นี่เป็นสิ่งที่อวี๋ผินไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ

เมื่อได้ยินของที่เจียงหวนต้องการ สีหน้าของอวี๋ผินก็พลันมืดมนเล็กน้อย

“ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าการทำอาหารต้องใช้ถ่านไฟกับตะแกรงด้วย จวงฉางไจ้ เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”

“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” เจียงหวนรีบโค้งคำนับ อธิบายอย่างว่าง่าย “ขอพระสนมโปรดใจเย็นก่อน หากหม่อมฉันทำอาหารที่พระสนมพอใจออกมาไม่ได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษแต่โดยดีเพคะ”

อวี๋ผินเหลือบมองเจียงหวนแวบหนึ่ง คิดว่านางคงไม่กล้าหลอกลวงตนเอง

ไม่นานนัก ชุ่ยอิงก็นำวัตถุดิบและเครื่องมือที่เจียงหวนต้องการมาให้

เจียงหวนมาถึงครัวก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย นางหั่นเนื้อเป็นชิ้นบาง ๆ หมักด้วยซอสสูตรพิเศษ จากนั้นก็นำผักไปล้างแล้วจัดวางให้สวยงาม แล้วยังปรุงน้ำจิ้มอีกสองสามอย่างไว้กินคู่กับเนื้อ

เพียงแต่ในครั้งนี้ นางไม่มีความสุขในการทำอาหารเหมือนเมื่อก่อน

เมื่ออาหารเลิศรสถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงความโปรดปราน ก็ย่อมสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไป

คนขี้เกียจเช่นนาง ตอนนี้ก็เหมือนกับเนื้อย่างบนเตาไฟ

ถูกไฟแห่งความริษยาในวังหลังนี้ ย่างจนสุกไปทั่วทุกด้าน

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจียงหวนก็จุดไฟถ่าน วางตะแกรงลงไป แล้วเริ่มย่างเนื้อ

ฝีมือการใช้มีดของนางดีมาก เนื้อถูกหั่นบางมาก วางลงบนตะแกรง ใช้เวลาไม่กี่อึดใจเนื้อหนึ่งชิ้นก็สุกแล้ว

เจียงหวนคีบเนื้อชิ้นแรกที่ย่างเสร็จใส่ในชาม ถวายให้อวี๋ผิน

“พระสนม เชิญชิมเพคะ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่อวี๋ผินได้กลิ่นหอม ในใจก็รู้สึกคันยิบ ๆ อยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เมื่อรับชามมาแล้ว ก็กินเข้าไปคำหนึ่ง น้ำจากเนื้อชิ้นนั้นก็ระเบิดออกในปาก กรอบนอกนุ่มใน อร่อยเลิศรส

ขนตาของอวี๋ผินสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม นางไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!

เนื้อชิ้นที่สองย่างเสร็จแล้ว อวี๋ผินกินอย่างละเมียดละไม ปล่อยให้ความมันของเนื้อซึมเข้าไปในร่องริมฝีปาก

เจียงหวนย่างเนื้ออีกชิ้นหนึ่ง หยิบผักกาดหอมขึ้นมา ห่อเนื้อไว้ แล้วยื่นให้อวี๋ผิน

“หากห่อด้วยใบผักสด รสชาติจะยิ่งเลิศล้ำ พระสนมลองดูสิเพคะ”

“แล้วก็น้ำจิ้มพวกนี้ แต่ละอย่างก็มีรสชาติที่แตกต่างกันไป” เจียงหวนชี้ไปที่ถ้วยกระเบื้องที่ใส่น้ำจิ้มไว้ แนะนำอย่างใจเย็น “มีน้ำจิ้มกระเทียม มีผงพริกป่นยี่หร่า มี...”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 84

    กระทั่งชาดบนพู่กันชาดหยดลงบนฎีกา และกระจายตัวเป็นหมึกสีแดงกลุ่มหนึ่ง ฮั่วหลินกลับยังคงไม่รู้สึกตัว‘สามสิบหกกลยุทธ์พิชิตนารี’ เมื่อคืนของเสิ่นยี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้ฮั่วหลินไม่อาจสงบใจเนื่องจากเนื้อหามีมากเกินไป จนเด็กน้อยเรียนจนสับสนแล้วในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนั้น เสียงรายงานของหวังเต๋อกุ้ยก็ดังเข้ามาว่า“ฝ่าบาท จวงกุ้ยเหรินได้รออยู่นอกตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฎีกาในมือของฮั่วหลินปิดดัง ‘ป้าบ’ เข้าหากัน จากนั้นก็บังคับตนเองให้สงบและกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง“เบิกตัว”เจียงหวนเดินถือกล่องอาหารเข้ามา ทำความเคารพอย่างชดช้อย“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”กระโปรงสีกลีบบัวคลี่สลายอยู่บนพื้นราวกลีบดอกไม้ ปิ่นเงินเรียบง่ายที่ประดับอยู่บนผมพลิ้วไหวเบาๆ ไปตามการเคลื่อนไหว ไหวจนหัวใจของฮั่วหลินรู้สึกคันคะเยอเล็กน้อย[เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึก ว่าการคารวะของจวงกุ้ยเหรินจะงดงามเพียงนี้][ชายกระโปรงคล้ายดอกโบตั๋น? แต่บุคลิกกลับคล้ายดอกซิ่ง [1] ยิ่งกว่า… ]เจียงหวนที่กำลังลุกขึ้นซวนเซทันที มือสั่นจนเกือบทำกล่องอาหารตกในยุคโบราณก็มีเกมออนไลน์เหรอ ไม่งั้นฮ่องเต้มาเล่นเรื่องเทพธิดาบุปผาอะไรกัน!

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 83

    เสิ่นยี่ถอยหลังไปครึ่งก้าวพร้อมกับยกมือสองข้าง “ฟ้าดินเป็นพยาน เป็นเจ้าพวกลูกหมาในหน่วยองครักษ์ลับของเจ้ากำลังพนันกันว่ากุ้ยเหรินจะถวายตัวเมื่อไหร่ อัตราเดิมพันสูงไปถึงหนึ่งต่อสามแล้ว"“หุบปาก!”นิ้วของฮั่วหลินออกแรงอย่างกะทันหัน พู่กันชาดหักออกเป็นสองท่อน เสิ่นยี่หัวเราะร่ายิ่งกว่าเดิม“นางเป็นสนมของเจ้า หากเจ้าพึงใจจริงๆ เพียงออกราชโองการก็พอ เหตุใดต้อง…”เมื่อฮั่วหลินคิดถึงท่าทางของเจียงหวนตอนที่พบเขาในวันนี้ ภายในอกก็จุกแน่น“ที่เราต้องการคือความเต็มใจ”หากมีราชโองการให้เจียงหวนถวายงาน เช่นนั้นเขาจะต่างอันใดกับองครักษ์ที่บุกเข้าไปในตำหนักน้ำพุร้อนกันเล่า?เสิ่นยี่อดเดาะลิ้นไม่ได้ ภายในใจคิดว่าฮั่วหลินตกหลุมเข้าไปแล้วจริงๆในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเขาในฐานะสหายที่ดี จะไม่ช่วยสักหน่อยได้อย่างไรที่สำคัญที่สุดคือการพนันของหน่วยองครักษ์ลับ เขาก็วางเดิมพันไปเช่นกันรอยยิ้มของเสิ่นยี่เปล่งประกายขึ้นกว่าเดิม “อันที่จริงแล้วเรื่องยินยอมพร้อมใจก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้ากลับมีวิธีบางอย่าง”เมื่อฮั่วหลินได้ยินดังนั้น แววตาก็วูบไหวเล็กน้อย “วิธีอะไร?”เสิ่นยี่ยกริมฝีปากยิ้มออกมา หล

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 82

    [แต่เรื่องเมื่อวานไม่พูดถึงสักคำ วันนี้กลับทำตัวสูงส่งเสียแล้ว นับเป็นสตรีผู้บริสุทธิ์อย่างไรกัน เป็นคนหลอกลวงหลายใจชัดๆ แถมยังเลือกหลอกเราโดยเฉพาะด้วย]เจียงหวนแทบเป็นเสียสติแล้วที่แท้ฮ่องเต้ถือสาเรื่องเมื่อคืนขนาดไหนกันนะ!นอกจากนี้ ทำไมความคิดในใจของเขายิ่งพูดก็ยิ่งพิสดารเล่านางไม่กล้าฟังต่ออีก เกรงว่าตนเองจะอับอายจนเป็นลมไปเสียเดี๋ยวนั้นในขณะที่เจียงหวนคิดว่าควรจะแก้สถานการณ์อย่างไรนั่นเอง หวังเต๋อกุ้ยก็พลันส่งเสียงขึ้นจากนอกตำหนัก“ฝ่าบาท กรมหมอหลวงมีเรื่องรายงาน บ่าวให้คนไปรอที่ห้องทรงพระอักษรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮั่วหลินก้มศีรษะลง ขนตาที่บดบังแววตาทำให้มองอารมณ์ไม่ออกสุดท้ายเพียงกล่าวเรียบๆ ว่า “เรายังมีงานราชการต้องจัดการ เจ้าไปพักผ่อนให้ดีก่อน”กล่าวจบ ก็สาวเท้ายาวจากไปเจียงหวนจึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก ขาอ่อนแรงจนเกือบล้มลงบนพื้นอีกนิดก็จะเขินจนตายแล้วนางไม่กล้าคิดเลย หากไม่มีคนมาขัดจังหวะ ฮั่วหลินยังสามารถคิดพิสดารไปได้ถึงขนาดไหนอีกด้านหนึ่ง ห้องทรงพระอักษรในราชนิเวศน์หมอหลวงถวายบังคมฮั่วหลินอย่างเคารพ กระซิบเสียงเบาว่า “ทูลฝ่าบาท ยาที่จวงกุ้ยเหรินเป็นยาที่ทำขึ้

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 81

    สมองของเจียงหวนเกิดเสียง ‘วิ้ง’ ขึ้นมาทีหนึ่ง ขาวโพลนไปหมดถะ ถวายงาน?!ไม่ สงบใจไว้ อย่าได้ลนลาน ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็เคยเรียกให้นางถวายงาน สุดท้ายก็เป็นเพราะอยากกินของว่างมื้อดึกต่างหากเจียงหวนฝืนยิ้มออกมา“หวังกงกง รบกวนรอสักครู่ ข้า ข้าจะไปเตรียมการที่ห้องครัวเดี๋ยวนี้…”หวังเต๋อกุ้ยกลับยิ้มตาหยีพลางส่ายหน้า“นายหญิงน้อยล้อเล่นแล้ว กฎการถวายงานท่านก็ทราบดี ตอนนี้เหล่าหมอม่อได้รออยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เพิ่งกล่าวจบ หมอม่อกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาทันทีที่จางหมอม่อซึ่งเป็นผู้นำโบกมือ เหล่านางกำนัลน้อยก็รีบยกอ่างอาบน้ำมาทันที ภายในน้ำอาบที่กรุ่นด้วยไอร้อนมีกลีบดอกไม้ลอยฟ่อง“บ่าวจะปรนนิบัติจวงกุ้ยเหรินชำระกายนะเพคะ”จางหมอม่อยิ้มกว้างจนตาหยี“ข้าทำเองก็พอแล้ว”แต่เจียงหวนยังไม่ทันพูดจบ นางกำนัลทั้งหลายก็กดนางลงในอ่างอาบน้ำพร้อมรอยยิ้มทันทีพวกนางยิ่งหัวเราะ เจียงหวนก็ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่นี่มันอาบน้ำที่ไหน? จะเชือดหมูชัดๆ !หลังขัดล้างกันไปพักหนึ่ง สมองของเจียงหวนก็มึนงงไปหมดไม่ง่ายเลยกว่าจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ เมื่อกลับไปนั่งลงหน้าคันฉ่องทองแดง ยังไม่ทันผลัดลมหายใจ ก็เห็นหม

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 80

    แบบนี้สู้ไม่จำไปเลยไม่ดีกว่าหรือ! คนเราตอนสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนดี จะขาดความยับยั้งชั่งใจไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นกลายเป็นผีบ้ากามขนาดนี้รึเปล่านะ!? หากนางเป็นผีบ้ากามเฉย ๆ ยังพอทน แต่ดันไปลากอีกฝ่ายที่เป็นสายหักห้ามอารมณ์รักใคร่มาปู้ยี่ปู้ยำตามอำเภอใจอีกเนี่ยนะ!? จบสิ้นแล้ว ฝ่าบาทต้องมองว่าตนเองไม่บริสุทธิ์แล้วแน่ ๆ หากไม่ทำอะไรชดเชยความผิดสักหน่อย เจียงหวนตอนนี้รู้สึกเหมือนศีรษะลอยหวิว ๆ อยู่บนลำคอ นางกลิ้งและพลิกตัวขึ้นมาทันที หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย ก็พุ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่รีรอ “นายหญิงน้อย ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?” เสี่ยวเจาเห็นเช่นนั้น ก็รีบร้อนตามไปทันที “ไปสารภาพบาปน่ะสิ” เสี่ยวเจาไม่แม้แต่หันกลับไป ไม่รู้ว่าใช่เพราะฮั่วหลินตั้งใจกำชับไว้หรือไม่ แต่ที่พำนักของเจียงหวนในราชนิเวศน์มีครัวเล็กที่เรียบง่ายอยู่ด้วย นางในยามนี้ราวกับสายลมระลอกหนึ่งพัดเข้าครัวเล็ก ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วก็ลงมือทำทันที ต่อให้ตอนนี้ฮั่วหลินจะสั่งแสงเดือนตุ๋นน้ำแดง นางก็พร้อมจะยิงธนูให้พระจันทร์ร่วงลงมาเหมือนอย่างตำนานวีรบุรุษโฮ่วอี้ผู้ยิงดวงตะวัน เจียงหวนคิดสะระตะ มือ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 79  

    “ฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยอย่างเที่ยงธรรม หม่อมฉันไหนเลยจะบังอาจล้อเล่นต่อเบื้องพระพักตร์…” แววตาของเจียกุ้ยเฟยดูลุกลี้ลุกลน ก่อนที่น้ำตาจะรื้นขึ้นมาราวจะกำลังร่ำไห้ “มิบังอาจ?” ฮั่วหลินปล่อยนางออก หมุนตัวก่อนจะเดินไปทางองครักษ์ผู้นั้น สายตาเยียบเย็น คว้ากระบี่พกที่เหน็บอยู่ข้างเอวของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยืนอยู่ด้านข้างมาไว้ในมือ เพียงแสงคมกระบี่พลันสว่างวาบ ลมคาวโลหิตก็พัดเข้ามา ศีรษะขององครักษ์ผู้นั้นพลันหลุดกระเด็นกลิ้งไป โลหิตสีสดพุ่งกระเซ็นออกมา เปรอะชายกระโปรงอันงดงามหรูหราของเจียกุ้ยเฟยจนซึมไปทั่ว สีหน้าของเจียกุ้ยเฟยพลันซีดเผือดลง นางอ้าปากเหวอ นานครู่ใหญ่ถึงจะหาเสียงของตนเองกลับมาได้ ก็กรีดร้องเสียงดังลั่น “กรี๊ดดด!” ฮั่วหลินแค่นเสียงอย่างดูแคลน ก่อนจะโยนมีดเปื้อนโลหิตทิ้งไปบนพื้น เสียงโลหะกระทบดังก้องภายในพระตำหนักอันเงียบสงัดแสบหูเป็นพิเศษ “เราไม่สนว่าใครคอยใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่เบื้องหลัง” เขาจ้องมองเจียกุ้ยเฟยที่ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด แล้วเปล่งเสียงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากยังมีครั้งต่อไป จงเอาศีรษะมาถวายเสีย!” เจียกุ้ยเฟยทรุดฮวบลงกับพื้น แม้แต่ทำความเคารพยัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status