Share

บทที่ 12

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
อวี๋ผินยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูสภาพอันน่าสมเพชของเจียงหวนอย่างเต็มตา ในใจรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง

นางต้องการให้เจียงหวนจดจำไว้ว่า นางต่างหากคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวา!

ตราบใดที่เจียงหวนยังอยู่ในตำหนักจิ่นหวาแม้เพียงวันเดียว ก็ต้องอยู่ภายใต้การสั่งสอนของนาง!

นอกประตู เสี่ยวเจาเงียบเสียงไปได้สักพักแล้ว

หมอม่อที่ทำหน้าที่ตบปากก้มลงไปตรวจดูอาการ จากนั้นก็เดินเข้ามาในประตู

“พระสนมเพคะ นังบ่าวชั้นต่ำนั่นสลบไปแล้วเพคะ”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นเลือดที่นองอยู่บนพื้น ในดวงตาก็พลันเต็มไปด้วยความรังเกียจ

นางโบกมือ สั่งการว่า “โยนออกไป”

เจียงหวนเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

นางดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ฝ่ามือถูกกระเบื้องปูพื้นบาดจนเป็นแผล ทิ้งรอยเลือดไว้บนพื้นเป็นทาง

แต่น้ำหนักที่กดทับร่างนางนั้นราวกับภูเขาสองลูก ทำให้นางไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

เจียงหวนไม่เคยรู้สึกไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเสี่ยวเจาทนทุกข์ทรมาน

นางพลันตระหนักได้ว่า ในวังลึกแห่งนี้ ชีวิตคนนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าหญ้าเสียอีก

นางและเสี่ยวเจาในสายตาของอวี๋ผิน ก็เป็นเพียงมดปลวกที่สามารถบดขยี้ให้ตายได้ทุกเมื่อ

และยิ่งเจียงหวนดูน่าสมเพชเพียงใด อารมณ์ของอวี๋ผินก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

นางมองเจียงหวนด้วยท่าทีที่เหนือกว่า จากนั้นยกยิ้มอย่างหยิ่งผยอง

“คิดดูให้ดี ๆ ว่าเจ้าควรจะทำอย่างไรกันแน่”

พูดจบ อวี๋ผินก็ยกมือขึ้น สั่งให้คนปล่อยตัวเจียงหวน

หลังจากได้รับอิสระ สิ่งแรกที่เจียงหวนทำคือวิ่งออกไปนอกตำหนัก แม้แต่เชือกที่มัดอยู่บนหน้าก็ยังไม่ทันได้แกะ

นางวิ่งเร็วมาก ลมที่พัดมาเป็นระลอกปะทะเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

ราวกับมีดเล่มหนึ่ง กำลังเฉือนนางออกเป็นชิ้น ๆ

เสี่ยวเจาถูกโยนทิ้งไว้ข้างทาง ไม่ขยับเขยื้อน

ร่างของเจียงหวนโงนเงน โซซัดโซเซเข้าไปหานาง

ขอบตาของนางแดงก่ำ กลั้นหายใจ ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจลมหายใจของเสี่ยวเจา

หนึ่งวินาที สองวินาที...

เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแผ่วเบา เจียงหวนก็พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่

เสี่ยวเจายังมีชีวิตอยู่! ยังมีชีวิตอยู่!

ขอเพียงแค่คนยังไม่เป็นอะไร ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสใด ๆ

เมื่อไม่มีใครช่วย เจียงหวนก็ทำได้เพียงประคองเสี่ยวเจาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พยุงนางเดินจากไปทีละก้าว ๆ

หลังจากกลับมาถึงตำหนักฝั่งตะวันตก เจียงหวนก็วางเสี่ยวเจาลงบนเตียง ค้นหายาขี้ผึ้งที่แอบซ่อนไว้

ตลอดสามเดือนที่มาอยู่ในโลกใบนี้ มีเสี่ยวเจาที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอด

ตอนที่นางถูกคนในวังหลังรังแก เสี่ยวเจาก็คอยยืนขวางอยู่ข้างหน้านาง ปกป้องนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เด็กคนนี้ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้นะ

น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเจียงหวน นางค่อย ๆ ทำแผลบนใบหน้าให้เสี่ยวเจาอย่างระมัดระวัง

มุมปากของเสี่ยวเจาแตกยับเยิน แก้มบวมเป่ง แดงอมม่วงไปทั้งแถบ ปะปนกับเส้นเลือดฝอยที่แตก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เจียงหวนใช้แผ่นไม้ ค่อย ๆ ทายาให้เสี่ยวเจา บาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ตัวนางสั่นเทิ้ม

อาจเป็นเพราะไม่สามารถควบคุมแรงได้ ทำให้ไปโดนแผลเข้า เสี่ยวเจาขมวดคิ้วแล้วหดตัวทันที

เจียงหวนรู้สึกราวกับหัวใจของตนเองก็หดตัวตามไปด้วย แทบจะหลั่งเลือดออกมาได้

อวี๋ผินเพียงแค่พูดประโยคเดียว ก็สามารถลงโทษเสี่ยวเจาได้ตามใจชอบ

ส่วนนางเป็นเพียงฉางไจ้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้

เจียงหวนไม่เคยมีความตั้งใจที่จะแย่งชิงความโปรดปรานกับสนมเหล่านั้นเลยจริง ๆ นางเพียงแค่อยากจะเป็นคนขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น กลับไม่เป็นไปตามที่นางต้องการเลย

เพราะเรื่องที่ได้ถวายตัวให้ฝ่าบาท อวี๋ผินก็จงเกลียดจงชังนางแล้ว หากนางยังคงนอนแผ่ไม่ต่อสู้ดิ้นรนต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายก็มีแต่จะทำให้คนข้างกายต้องตายไปด้วย

น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา ในที่สุดก็ไหลรินลงมา

ราวกับเขื่อนแตก ไหลทะลักออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เจียงหวนยกมือขึ้นคิดจะเช็ด แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งหยุดไม่ได้

นางร้องไห้ให้กับความไร้ความสามารถของตนเอง

หากไม่ได้ติดตามนายหญิงเช่นนาง เสี่ยวเจาอาจจะไม่ต้องมาทนทุกข์เช่นนี้

ในความสะลึมสะลือ เสี่ยวเจาได้ยินเสียงร้องไห้ ก็พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

“นายหญิงน้อย...” น้ำเสียงของเสี่ยวเจาแหบแห้ง พูดจาอู้อี้ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง “บ่าว...ได้...สร้างความลำบากให้ท่านหรือไม่เพคะ...”

พอเสี่ยวเจาอ้าปาก ก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก

“อย่าพูด”

เจียงหวนใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวก ๆ พยายามทำตัวให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เจ้าพักผ่อนให้ดี ๆ ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

เสี่ยวเจาเจ็บหนักมาก ตอนนี้ก็แค่พยายามฝืนทน เมื่อได้รับการปลอบโยนจากเจียงหวน ก็สลบไปอีกครั้ง

เจียงหวนไม่ได้จากไปไหน นั่งครุ่นคิดอยู่ข้างเตียง

ตำหนักจิ่นหวานี้ นางไม่อยากจะอยู่แม้แต่วันเดียว แต่หากต้องการจะย้ายออกจากตำหนัก ก็ต้องดูสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เท่านั้น

และการจะหนีให้พ้นจากอวี๋ผิน ก็ต้องอาศัยสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นกัน

นางตัวคนเดียวไร้ซึ่งอำนาจ ตอนนี้ทำได้เพียงอดทนไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาส

นางรู้จุดประสงค์ของอวี๋ผิน ก็แค่ต้องการให้นางทำอาหาร เพื่อนำไปเอาใจฮ่องเต้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะทำให้อวี๋ผินสมหวัง

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ ถูกนางกำนัลพาไปอยู่เบื้องหน้าอวี๋ผิน

“หม่อมฉัน คารวะอวี๋ผินเพคะ” เจียงหวนย่อเข่าลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม

ตอนนี้เสี่ยวเจาบาดเจ็บ ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวเมื่อไร นางจะต้องทำให้อวี๋ผินสงบลงให้ได้

จะปล่อยให้อวี๋ผินมาหาเรื่องพวกนางอีกไม่ได้แล้ว

อวี๋ผินไม่ได้เอ่ยปาก นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเชื่องช้าละเมียดละไม จนกระทั่งดื่มชาหมดถ้วย จึงค่อย ๆ เอ่ยปาก

“ลุกขึ้นเถอะ”

ขาของเจียงหวนปวดเมื่อย เสื้อผ้าบนตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปอยผมที่เปียกชื้นแนบติดอยู่บนใบหน้า

แต่นางไม่ขยับ

“หม่อมฉันทำผิด หม่อมฉันไม่กล้าลุกขึ้นเพคะ”

รอยยิ้มของอวี๋ผินกว้างขึ้น จงใจเอ่ยถาม “พูดมาสิ เจ้าทำผิดอะไร”

“พระสนมให้หม่อมฉันทำอาหาร เป็นการให้เกียรติหม่อมฉัน ก่อนหน้านี้...” เสียงของเจียงหวนสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้เป็นหม่อมฉันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หม่อมฉันยินดีจะช่วยพระสนมทำอาหาร ขอพระสนมโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

“ต่อไปหากพระสนมและฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ หม่อมฉันพร้อมรับใช้ทุกเมื่อเพคะ”

น้ำตาหยดลงมา ผสมกับเหงื่อบนหน้าผากของนาง แล้วหยดลงบนพื้นจนเป็นรอยเปียก

เจียงหวนวางตัวอย่างต่ำต้อยที่สุด นางมาเพื่อขายความน่าสงสาร ยิ่งนางดูน่าสมเพชเพียงใด อวี๋ผินก็จะยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น

เป็นไปตามคาด รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ผินยิ่งสดใสขึ้น

ประโยคสุดท้ายนี้ช่างถูกใจนางยิ่งนัก

ฮ่องเต้โปรดฝีมือของเจียงหวน หากเรียนรู้มาได้ก็ย่อมดีที่สุด

หากเรียนรู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขังเจียงหวนไว้ในตำหนักจิ่นหวาให้เป็นแม่ครัว ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน

นางคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวาแห่งนี้ เจียงหวนในตำหนักของนางก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง

เมื่อสุนัขไม่เชื่อฟัง ก็ควรจะสั่งสอน

นี่อย่างไรเล่า จำขึ้นใจแล้ว

“ถือว่าเจ้ารู้จักคิด”

ในใจของอวี๋ผินรู้สึกพึงพอใจ ตราบใดที่เจียงหวนยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย นางก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับเจียงหวนไม่ได้

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาวุธชั้นดีในการแย่งชิงความโปรดปรานของนาง

“ในเมื่อเจ้ารู้จักสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”

แต่เจียงหวนกลับนิ่งเงียบ ยังไม่ได้ลุกขึ้นทันที

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเจาบอกว่าที่ตำหนักรองฝั่งตะวันตกไม่มีวัตถุดิบเหลือแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก

เจียงหวนไม่เชื่อว่าอวี๋ผินจะไม่รู้

ตอนนี้อวี๋ผินให้นางทำอาหาร นางจะสร้างข้ออ้างให้อวี๋ผินลงโทษนางอีกไม่ได้

เจียงหวนเม้มปาก แสร้งทำท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง พยายามเอ่ยปากออกมา

“มิกล้าปิดบังพระสนมเพคะ หม่อมฉันมีฐานะต่ำต้อย วัตถุดิบที่ใช้ในตำหนักฝั่งตะวันตกปกติแล้วล้วนเป็นของเหลือจากพวกหมาแมวในวัง พระสนมสูงศักดิ์เพียงนี้ หม่อมฉันมิกล้าใช้ของเหล่านี้มาทำอาหารให้พระสนมจริง ๆ เพคะ”

ในใจของเจียงหวนนั่นล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่นางต้องพูดเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้อวี๋ผินพอใจได้

ยิ่งนางลดตัวลงไปอยู่กับหมากับแมวมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงถึงความสูงศักดิ์ของอวี๋ผินมากเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

อวี๋ผินไม่คิดว่าเจียงหวนจะพูดเช่นนี้ หัวเราะจนปิ่นระย้าบนหัวสั่นไหวไปหมด สักพักใหญ่จึงจะหยุดลง

มาจากตระกูลเล็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่น่าจะได้ขึ้นมาเป็นใหญ่มีหน้ามีตาหรอก

นางเช็ดน้ำตาที่หัวเราะจนไหลออกมา ในใจรู้สึกสะใจ

“เจ้าแค่ทำไปก็พอ ต้องการอะไร ข้าจะให้ชุ่ยอิงไปเตรียมให้เจ้าเอง”

เจียงหวนถอนหายใจอย่างโล่งอก นางรู้ว่าด่านนี้ผ่านไปได้แล้ว

หากต้องการให้อวี๋ผินขาดความช่วยเหลือจากนางไม่ได้ เช่นนั้นนางก็จะต้องแสดงคุณค่าที่ไม่มีใครสามารถมาแทนได้

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็ตัดสินใจทำเนื้อย่างเตาถ่าน นางไปขอวัตถุดิบจากชุ่ยอิง

อาหารจานนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดขึ้นมาลอย ๆ

การย่างเนื้อต้องควบคุมไฟให้ดี หรือแม้กระทั่งต้องกินตอนที่ย่างเสร็จใหม่ ๆ จึงจะมีรสชาติ นี่เป็นสิ่งที่อวี๋ผินไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ

เมื่อได้ยินของที่เจียงหวนต้องการ สีหน้าของอวี๋ผินก็พลันมืดมนเล็กน้อย

“ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าการทำอาหารต้องใช้ถ่านไฟกับตะแกรงด้วย จวงฉางไจ้ เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”

“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” เจียงหวนรีบโค้งคำนับ อธิบายอย่างว่าง่าย “ขอพระสนมโปรดใจเย็นก่อน หากหม่อมฉันทำอาหารที่พระสนมพอใจออกมาไม่ได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษแต่โดยดีเพคะ”

อวี๋ผินเหลือบมองเจียงหวนแวบหนึ่ง คิดว่านางคงไม่กล้าหลอกลวงตนเอง

ไม่นานนัก ชุ่ยอิงก็นำวัตถุดิบและเครื่องมือที่เจียงหวนต้องการมาให้

เจียงหวนมาถึงครัวก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย นางหั่นเนื้อเป็นชิ้นบาง ๆ หมักด้วยซอสสูตรพิเศษ จากนั้นก็นำผักไปล้างแล้วจัดวางให้สวยงาม แล้วยังปรุงน้ำจิ้มอีกสองสามอย่างไว้กินคู่กับเนื้อ

เพียงแต่ในครั้งนี้ นางไม่มีความสุขในการทำอาหารเหมือนเมื่อก่อน

เมื่ออาหารเลิศรสถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงความโปรดปราน ก็ย่อมสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไป

คนขี้เกียจเช่นนาง ตอนนี้ก็เหมือนกับเนื้อย่างบนเตาไฟ

ถูกไฟแห่งความริษยาในวังหลังนี้ ย่างจนสุกไปทั่วทุกด้าน

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจียงหวนก็จุดไฟถ่าน วางตะแกรงลงไป แล้วเริ่มย่างเนื้อ

ฝีมือการใช้มีดของนางดีมาก เนื้อถูกหั่นบางมาก วางลงบนตะแกรง ใช้เวลาไม่กี่อึดใจเนื้อหนึ่งชิ้นก็สุกแล้ว

เจียงหวนคีบเนื้อชิ้นแรกที่ย่างเสร็จใส่ในชาม ถวายให้อวี๋ผิน

“พระสนม เชิญชิมเพคะ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่อวี๋ผินได้กลิ่นหอม ในใจก็รู้สึกคันยิบ ๆ อยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เมื่อรับชามมาแล้ว ก็กินเข้าไปคำหนึ่ง น้ำจากเนื้อชิ้นนั้นก็ระเบิดออกในปาก กรอบนอกนุ่มใน อร่อยเลิศรส

ขนตาของอวี๋ผินสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม นางไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!

เนื้อชิ้นที่สองย่างเสร็จแล้ว อวี๋ผินกินอย่างละเมียดละไม ปล่อยให้ความมันของเนื้อซึมเข้าไปในร่องริมฝีปาก

เจียงหวนย่างเนื้ออีกชิ้นหนึ่ง หยิบผักกาดหอมขึ้นมา ห่อเนื้อไว้ แล้วยื่นให้อวี๋ผิน

“หากห่อด้วยใบผักสด รสชาติจะยิ่งเลิศล้ำ พระสนมลองดูสิเพคะ”

“แล้วก็น้ำจิ้มพวกนี้ แต่ละอย่างก็มีรสชาติที่แตกต่างกันไป” เจียงหวนชี้ไปที่ถ้วยกระเบื้องที่ใส่น้ำจิ้มไว้ แนะนำอย่างใจเย็น “มีน้ำจิ้มกระเทียม มีผงพริกป่นยี่หร่า มี...”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 388

    เจียงหวนมองไปตามสายตาของนาง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัวคาดว่าโจวฝูคงกำลังยุ่งอยู่กับงานในบ้านสุนัข จึงไม่ได้ดูแลเจ้าหมาน้อยที่ขี้สงสัยพวกนี้ไว้ให้ดี“ใช่แล้ว” เจียงหวนนวดต้นคอที่รู้สึกปวดเมื่อย พลางยกมือขึ้นชี้บอก“ล้วนเป็นลูกหมาที่เพิ่งหย่านมได้ไม่นาน ซนมาก เจ้าตัวหูเหลืองซนที่สุดนั่นชื่อจี๋เฟิง อีกสองตัวที่ขนสีขาวหิมะทั้งตัวก็คือทาเสวี่ย ตัวที่มีขนสีเทาเหมือนก้อนเมฆก้อนน้อยๆ อยู่บนหน้าผากชื่อจุยอวิ๋น เจ้าตัวข้างหลังสุดที่ดูนิ่งๆ นั้นชื่อจิงเหวย เป็นแม่ของพวกมัน”เจียงหวนเพิ่งจะพูดจบ เหอหลิงก็กระโจนไปอยู่ตรงหน้าพวกมันเหมือนหมาตัวใหญ่อีกตัวนางย่อตัวนั่งลงอย่างระมัดระวัง ยื่นนิ้วมือออกไป จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน“จี๋เฟิง? ทาเสวี่ย? จุยอวิ๋น? เด็กดี ให้พี่สาวดูพวกเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”หมาน้อยสามตัวยังคงมีท่าทีระแวดระวังต่อมนุษย์ที่แผ่กลิ่นอายเป็นมิตรตรงหน้าอยู่บ้าง โดยเฉพาะแม่หมาจิงเหลยทว่าความตื่นเต้นและความชื่นชอบที่บริสุทธิ์จากตัวเหอหลิงราวกับได้แพร่เชื้อใส่พวกมัน จี๋เฟิงที่ใจกล้าที่สุดลองดมนิ้วมือของเหอหลิง จมูกชื้นๆ ของมันขยับสูดดมอยู่สองสามครั้งเหอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 387

    “พระสนม พระสนมชอบสิ่งนี้หรือไม่เพคะ? หากชอบ ข้าสอนถักได้นะเพคะ!” เสียงของเหอหลิงไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้[ฮี่ๆ ถ้าสอนพระสนมทำด้วยตัวเอง ก็จะสนิทกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอ?][ฉันนี่ฉลาดจริงๆ ระบบ รีบชมฉันหน่อยสิ!]ระบบ : 「…ตี๊ด แจ้งเตือนการตรวจพบว่าโฮสต์กำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่ใช่เป้าหมายอย่างแข็งขัน เบี่ยงเบนจากพล็อตเรื่อง」[โธ่ รู้แล้วน่า รู้แล้ว ฉันก็กำลังกอบกู้ประเทศชาติทางอ้อมอยู่ไม่ใช่รึไง!][ตีสนิทกับพระสนมไว้ ต่อไปก็จะได้มีสิทธิ์มีเสียงเวลาอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทไม่ใช่หรือไง?][นี่เขาเรียกว่ากลยุทธ์แบบอ้อม!]ระบบ : 「…」เจียงหวนได้ยินทฤษฎีของเหอหลิง คิ้วงามกระดกสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงภารกิจพิชิตใจ ถือว่าหาข้ออ้างได้ไหลลื่นทีเดียวทว่าเมื่อนางเห็นท่าทางที่ราวกับกำลังถวายสมบัติล้ำค่าของเหอหลิง หากนางบอกว่าไม่สนใจ คงจะได้เห็นเหอหลิงน้อยที่คอตกด้วยความเศร้ากระมัง“ฟังดูน่าสนใจ เจ้ายินดีสอนข้าหรือ?” เจียงหวนจงใจถาม“ยินดี! ยินดีอยู่แล้วเพคะ!” เหอหลิงได้ยินเจียงหวนตอบตกลง ก็ยิ้มกว้างทันที ราวกับกลัวว่าเจียงหวนจะเปลี่ยนใจ นางรีบล้วงไม้ถักที่มีรูปร่างเรียวยาวสองแ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 386

    เจียงหวนเห็นท่าทางของเหอหลิงที่แปรเปลี่ยนจากเบิกบานใจเป็นทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็มองไปที่ผ้าพันคอในมือของนาง อดกลั้นขำไม่ได้คราวที่แล้วนำยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกจากยุคปัจจุบันออกมายังไม่น่าหวาดเสียวพออีกหรือ?นึกไม่ถึงครั้งนี้จะทำผ้าพันคอมาให้อีก หรืออยากจะแสดงให้เห็นว่าข้าเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคโบราณอย่างนั้นหรือภายนอก เจียงหวนพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ไม่ได้คิดจะเปิดโปงนาง จึงแสร้งทำหน้าตาสงสัยในขณะที่จ้องมองผ้าพันคอผืนนั้น“ทำไมเล่า? เป็นของจากดินแดนตะวันตกอีกแล้วหรือ? ดูประณีตอย่างมากทีเดียว”นางกล่าว ซ้ำยังใช้นิ้วจิ้มไหมขนที่สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นดูเหอหลิงมือสั่น เกือบขาอ่อนล้มลงไปกองบนพื้นพร้อมกับผ้าพันคอในมือแล้วนางรีบตอบคำอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ทูล ทูลพระสนม นี่คือ… นี่คือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่หม่อมฉันทำยามมีเวลาว่าง เรียก… เรียกว่าผ้าพันคอ! ใช่… เป็นงานฝีมือที่ได้รับความนิยมมาจากดินแดนตะวันตกเช่นกันเพคะ ฮ่าๆ…”[จบแล้วๆ พระสนมอุตส่าห์คิดพลิกแพลงไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ฉันยังทำผิดพลาดโง่ๆ อยู่อีก][ชื่อของมันจะทันสมัยเกินไปแล้ว พระสนมจะคิดว่าฉันกำลังแต่งเรื่องอยู่รึเปล่านะ?

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 385

    หัวหน้าขันทีตกใจตัวสั่น แทบจะมุดหน้าเข้าไปในพื้นแล้ว“ทูล ทูลไทเฮา บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวนอ๋องส่งข่าวมา บอกเพียงว่าจู่ๆ ม้าของจวิ๋นอ๋องก็คลุ้มคลั่งระหว่างทาง จวิ้นอ๋องถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้า ขาขวา… ขาขวาหักในที่เกิดเหตุทันที หมอหลวงบอกว่าอาการสาหัสมาก…”“ไม่รู้? แค่บอกว่าไม่รู้คำเดียวก็คิดจะบิดพลิ้วให้ผ่านไปได้งั้นหรือ?”ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรง โต๊ะสั่นสะเทือนจนเครื่องชากระแทกกันเสียงดัง“เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันนี้เขาก็ประสบเหตุร้ายเช่นนี้แล้ว มีเรื่องบังเอิญอย่างนี้เสียที่ไหน! ไปสืบมาเดี๋ยวนี้! ทั้งม้า อานม้า และทุกคนที่สัญจรผ่าน ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ข้าอยากรู้นัก ว่าใครกันที่กินหัวใจหมีดีเสือเข้าไป จึงได้กล้าลงมือกับคนในตระกูลฮั่วเช่นนี้!”เพลิงโทสะในดวงตาของนางลุกโชน ในใจเริ่มมีเค้าร่างของผู้อยู่เบื้องหลังแล้วเมื่อวานฮั่วถิงมีเรื่องกับจวงเฟยและเหอหลิง วันนี้ก็ตกม้าจนบาดเจ็บสาหัสมิหนำซ้ำยังบาดเจ็บจุดเดียวกับจวงเฟยอีก นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนนี่เป็นฝีมือของฮั่วหลิน และเป็นคำเตือนสำหรับนางยิ่งคิด ไทเฮาก็ยิ่งบันดาล

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 384

    ประตูตำหนักถูกผลักเปิด ฮั่วหลินเดินเข้ามาเขาเห็นเจียงหวนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มตั้งแต่แวบแรกเจียงหวนสวมชุดนอนบางๆ เพียงชั้นเดียว เส้นผมเปียกชื้นแนบติดอยู่ที่ใบหน้าด้านข้าง ดูอ่อนโยนเปราะบางเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ ราวกับจะสามารถแตกสลายได้แม้เพียงสัมผัสเดียวหัวใจของฮั่วหลินบีบรัด ฝีเท้าแผ่วเบาลง ด้วยกลัวว่าจะรบกวนนางเข้า[เหตุใดจึงเหม่อลอยเช่นนั้น ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้งั้นหรือ?]ฮั่วหลินโบกมือ สั่งให้เสี่ยวเจาถอยออกไปส่วนตนเองก็ถอดเสื้อคลุมออก คลุมที่ไหล่ของนาง“กลางคืนหนาว เหตุใดไม่สวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อยเล่า?”เขานั่งลงข้างกายเจียงหวน ดึงมือที่เย็นเฉียบของนางมากุมไว้ในฝ่ามืออุ่นๆ ของตนเองความคิดที่ล่องลอยของเจียงหวนถูกการกระทำนี้ดึงให้กลับมา สัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือและอุณหภูมิอบอุ่นที่ห่อหุ้มรอบกาย ราวกับได้ขับไล่ความหวาดกลัวในจิตใจให้หายไปไม่น้อยนางเงยหน้ามองฮั่วหลินเงาร่างของนางสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของฮั่วหลิน ลึกล้ำชัดเจน“ไม่ต้องกลัว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา กระชับนิ้วมือให้แน่นขึ้น “มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้า”[ตกม้าหนึ่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 383

    [หืม? ความผิดปกติอะไร?]「วันนี้ที่นอกห้องผลัดอาภรณ์ ตอนที่ผมส่งเสียงเตือนภัยระดับสูง พระสนมจวงเฟยหลุดปากออกมาว่า ‘หุบปาก’ อ้างอิงจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในขณะนั้นแล้ว คำสั่งนั้นไม่เข้ากับบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ ณ ตอนนั้นแม้แต่คนเดียว หลังจากรวมตัวกันนางได้ชี้นำเบาะแสหลักฐานอย่างแม่นยำ ผมสงสัยเป็นอย่างสูงว่าเจียงหวนอาจได้ยินบทสนทนาระหว่างผมกับคุณ」เหอหลิงตะลึงงัน ไม่นานก็รีบโต้แย้งทันที[นายจะบอกว่าพระสนมมีวิชาอ่านใจงั้นเหรอ อย่าเหลวไหลไปหน่อยเลยน่า][อีกอย่างถึงนางจะได้ยิน ก็ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? นั่นหมายความว่าเรามีวาสนาต่อกัน]「โฮสต์ กรุณาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ หากเป้าหมายเจียงหยวนรับรู้ถึงการมีอยู่ของผมจริง แรงจูงใจและท่าทีที่มีต่อโฮสต์ อาจมีอันตรายแฝงอยู่」[อันตราย? อันตรายอะไร? พระสนมจะมีเจตนาร้ายอะไรได้? วันนี้นางทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยชีวิตฉันไว้เชียวนะ][หากไม่ได้พระสนมช่วยไว้ ตอนนี้ฉันคงเสียความบริสุทธิ์เสียชื่อเสียงไปแล้ว ไม่แน่อาจไม่เหลือรอดแม้แต่ชีวิตด้วยซ้ำ][ระบบ ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนเลยนะ ห้ามใส่ร้ายพระสนมของฉัน แล้วก็ห้ามนายสงสัยพระสนมด้วย ได้ยินรึ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status