Share

บทที่ 12

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
อวี๋ผินยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูสภาพอันน่าสมเพชของเจียงหวนอย่างเต็มตา ในใจรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง

นางต้องการให้เจียงหวนจดจำไว้ว่า นางต่างหากคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวา!

ตราบใดที่เจียงหวนยังอยู่ในตำหนักจิ่นหวาแม้เพียงวันเดียว ก็ต้องอยู่ภายใต้การสั่งสอนของนาง!

นอกประตู เสี่ยวเจาเงียบเสียงไปได้สักพักแล้ว

หมอม่อที่ทำหน้าที่ตบปากก้มลงไปตรวจดูอาการ จากนั้นก็เดินเข้ามาในประตู

“พระสนมเพคะ นังบ่าวชั้นต่ำนั่นสลบไปแล้วเพคะ”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นเลือดที่นองอยู่บนพื้น ในดวงตาก็พลันเต็มไปด้วยความรังเกียจ

นางโบกมือ สั่งการว่า “โยนออกไป”

เจียงหวนเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

นางดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ฝ่ามือถูกกระเบื้องปูพื้นบาดจนเป็นแผล ทิ้งรอยเลือดไว้บนพื้นเป็นทาง

แต่น้ำหนักที่กดทับร่างนางนั้นราวกับภูเขาสองลูก ทำให้นางไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

เจียงหวนไม่เคยรู้สึกไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเสี่ยวเจาทนทุกข์ทรมาน

นางพลันตระหนักได้ว่า ในวังลึกแห่งนี้ ชีวิตคนนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าหญ้าเสียอีก

นางและเสี่ยวเจาในสายตาของอวี๋ผิน ก็เป็นเพียงมดปลวกที่สามารถบดขยี้ให้ตายได้ทุกเมื่อ

และยิ่งเจียงหวนดูน่าสมเพชเพียงใด อารมณ์ของอวี๋ผินก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

นางมองเจียงหวนด้วยท่าทีที่เหนือกว่า จากนั้นยกยิ้มอย่างหยิ่งผยอง

“คิดดูให้ดี ๆ ว่าเจ้าควรจะทำอย่างไรกันแน่”

พูดจบ อวี๋ผินก็ยกมือขึ้น สั่งให้คนปล่อยตัวเจียงหวน

หลังจากได้รับอิสระ สิ่งแรกที่เจียงหวนทำคือวิ่งออกไปนอกตำหนัก แม้แต่เชือกที่มัดอยู่บนหน้าก็ยังไม่ทันได้แกะ

นางวิ่งเร็วมาก ลมที่พัดมาเป็นระลอกปะทะเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

ราวกับมีดเล่มหนึ่ง กำลังเฉือนนางออกเป็นชิ้น ๆ

เสี่ยวเจาถูกโยนทิ้งไว้ข้างทาง ไม่ขยับเขยื้อน

ร่างของเจียงหวนโงนเงน โซซัดโซเซเข้าไปหานาง

ขอบตาของนางแดงก่ำ กลั้นหายใจ ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจลมหายใจของเสี่ยวเจา

หนึ่งวินาที สองวินาที...

เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแผ่วเบา เจียงหวนก็พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่

เสี่ยวเจายังมีชีวิตอยู่! ยังมีชีวิตอยู่!

ขอเพียงแค่คนยังไม่เป็นอะไร ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสใด ๆ

เมื่อไม่มีใครช่วย เจียงหวนก็ทำได้เพียงประคองเสี่ยวเจาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พยุงนางเดินจากไปทีละก้าว ๆ

หลังจากกลับมาถึงตำหนักฝั่งตะวันตก เจียงหวนก็วางเสี่ยวเจาลงบนเตียง ค้นหายาขี้ผึ้งที่แอบซ่อนไว้

ตลอดสามเดือนที่มาอยู่ในโลกใบนี้ มีเสี่ยวเจาที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอด

ตอนที่นางถูกคนในวังหลังรังแก เสี่ยวเจาก็คอยยืนขวางอยู่ข้างหน้านาง ปกป้องนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เด็กคนนี้ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้นะ

น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเจียงหวน นางค่อย ๆ ทำแผลบนใบหน้าให้เสี่ยวเจาอย่างระมัดระวัง

มุมปากของเสี่ยวเจาแตกยับเยิน แก้มบวมเป่ง แดงอมม่วงไปทั้งแถบ ปะปนกับเส้นเลือดฝอยที่แตก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เจียงหวนใช้แผ่นไม้ ค่อย ๆ ทายาให้เสี่ยวเจา บาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ตัวนางสั่นเทิ้ม

อาจเป็นเพราะไม่สามารถควบคุมแรงได้ ทำให้ไปโดนแผลเข้า เสี่ยวเจาขมวดคิ้วแล้วหดตัวทันที

เจียงหวนรู้สึกราวกับหัวใจของตนเองก็หดตัวตามไปด้วย แทบจะหลั่งเลือดออกมาได้

อวี๋ผินเพียงแค่พูดประโยคเดียว ก็สามารถลงโทษเสี่ยวเจาได้ตามใจชอบ

ส่วนนางเป็นเพียงฉางไจ้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้

เจียงหวนไม่เคยมีความตั้งใจที่จะแย่งชิงความโปรดปรานกับสนมเหล่านั้นเลยจริง ๆ นางเพียงแค่อยากจะเป็นคนขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น กลับไม่เป็นไปตามที่นางต้องการเลย

เพราะเรื่องที่ได้ถวายตัวให้ฝ่าบาท อวี๋ผินก็จงเกลียดจงชังนางแล้ว หากนางยังคงนอนแผ่ไม่ต่อสู้ดิ้นรนต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายก็มีแต่จะทำให้คนข้างกายต้องตายไปด้วย

น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา ในที่สุดก็ไหลรินลงมา

ราวกับเขื่อนแตก ไหลทะลักออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เจียงหวนยกมือขึ้นคิดจะเช็ด แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งหยุดไม่ได้

นางร้องไห้ให้กับความไร้ความสามารถของตนเอง

หากไม่ได้ติดตามนายหญิงเช่นนาง เสี่ยวเจาอาจจะไม่ต้องมาทนทุกข์เช่นนี้

ในความสะลึมสะลือ เสี่ยวเจาได้ยินเสียงร้องไห้ ก็พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

“นายหญิงน้อย...” น้ำเสียงของเสี่ยวเจาแหบแห้ง พูดจาอู้อี้ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง “บ่าว...ได้...สร้างความลำบากให้ท่านหรือไม่เพคะ...”

พอเสี่ยวเจาอ้าปาก ก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก

“อย่าพูด”

เจียงหวนใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวก ๆ พยายามทำตัวให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เจ้าพักผ่อนให้ดี ๆ ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

เสี่ยวเจาเจ็บหนักมาก ตอนนี้ก็แค่พยายามฝืนทน เมื่อได้รับการปลอบโยนจากเจียงหวน ก็สลบไปอีกครั้ง

เจียงหวนไม่ได้จากไปไหน นั่งครุ่นคิดอยู่ข้างเตียง

ตำหนักจิ่นหวานี้ นางไม่อยากจะอยู่แม้แต่วันเดียว แต่หากต้องการจะย้ายออกจากตำหนัก ก็ต้องดูสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เท่านั้น

และการจะหนีให้พ้นจากอวี๋ผิน ก็ต้องอาศัยสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นกัน

นางตัวคนเดียวไร้ซึ่งอำนาจ ตอนนี้ทำได้เพียงอดทนไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาส

นางรู้จุดประสงค์ของอวี๋ผิน ก็แค่ต้องการให้นางทำอาหาร เพื่อนำไปเอาใจฮ่องเต้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะทำให้อวี๋ผินสมหวัง

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ ถูกนางกำนัลพาไปอยู่เบื้องหน้าอวี๋ผิน

“หม่อมฉัน คารวะอวี๋ผินเพคะ” เจียงหวนย่อเข่าลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม

ตอนนี้เสี่ยวเจาบาดเจ็บ ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวเมื่อไร นางจะต้องทำให้อวี๋ผินสงบลงให้ได้

จะปล่อยให้อวี๋ผินมาหาเรื่องพวกนางอีกไม่ได้แล้ว

อวี๋ผินไม่ได้เอ่ยปาก นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเชื่องช้าละเมียดละไม จนกระทั่งดื่มชาหมดถ้วย จึงค่อย ๆ เอ่ยปาก

“ลุกขึ้นเถอะ”

ขาของเจียงหวนปวดเมื่อย เสื้อผ้าบนตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปอยผมที่เปียกชื้นแนบติดอยู่บนใบหน้า

แต่นางไม่ขยับ

“หม่อมฉันทำผิด หม่อมฉันไม่กล้าลุกขึ้นเพคะ”

รอยยิ้มของอวี๋ผินกว้างขึ้น จงใจเอ่ยถาม “พูดมาสิ เจ้าทำผิดอะไร”

“พระสนมให้หม่อมฉันทำอาหาร เป็นการให้เกียรติหม่อมฉัน ก่อนหน้านี้...” เสียงของเจียงหวนสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้เป็นหม่อมฉันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หม่อมฉันยินดีจะช่วยพระสนมทำอาหาร ขอพระสนมโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

“ต่อไปหากพระสนมและฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ หม่อมฉันพร้อมรับใช้ทุกเมื่อเพคะ”

น้ำตาหยดลงมา ผสมกับเหงื่อบนหน้าผากของนาง แล้วหยดลงบนพื้นจนเป็นรอยเปียก

เจียงหวนวางตัวอย่างต่ำต้อยที่สุด นางมาเพื่อขายความน่าสงสาร ยิ่งนางดูน่าสมเพชเพียงใด อวี๋ผินก็จะยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น

เป็นไปตามคาด รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ผินยิ่งสดใสขึ้น

ประโยคสุดท้ายนี้ช่างถูกใจนางยิ่งนัก

ฮ่องเต้โปรดฝีมือของเจียงหวน หากเรียนรู้มาได้ก็ย่อมดีที่สุด

หากเรียนรู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขังเจียงหวนไว้ในตำหนักจิ่นหวาให้เป็นแม่ครัว ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน

นางคือเจ้าของตำหนักจิ่นหวาแห่งนี้ เจียงหวนในตำหนักของนางก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง

เมื่อสุนัขไม่เชื่อฟัง ก็ควรจะสั่งสอน

นี่อย่างไรเล่า จำขึ้นใจแล้ว

“ถือว่าเจ้ารู้จักคิด”

ในใจของอวี๋ผินรู้สึกพึงพอใจ ตราบใดที่เจียงหวนยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย นางก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับเจียงหวนไม่ได้

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาวุธชั้นดีในการแย่งชิงความโปรดปรานของนาง

“ในเมื่อเจ้ารู้จักสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”

แต่เจียงหวนกลับนิ่งเงียบ ยังไม่ได้ลุกขึ้นทันที

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเจาบอกว่าที่ตำหนักรองฝั่งตะวันตกไม่มีวัตถุดิบเหลือแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก

เจียงหวนไม่เชื่อว่าอวี๋ผินจะไม่รู้

ตอนนี้อวี๋ผินให้นางทำอาหาร นางจะสร้างข้ออ้างให้อวี๋ผินลงโทษนางอีกไม่ได้

เจียงหวนเม้มปาก แสร้งทำท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง พยายามเอ่ยปากออกมา

“มิกล้าปิดบังพระสนมเพคะ หม่อมฉันมีฐานะต่ำต้อย วัตถุดิบที่ใช้ในตำหนักฝั่งตะวันตกปกติแล้วล้วนเป็นของเหลือจากพวกหมาแมวในวัง พระสนมสูงศักดิ์เพียงนี้ หม่อมฉันมิกล้าใช้ของเหล่านี้มาทำอาหารให้พระสนมจริง ๆ เพคะ”

ในใจของเจียงหวนนั่นล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่นางต้องพูดเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้อวี๋ผินพอใจได้

ยิ่งนางลดตัวลงไปอยู่กับหมากับแมวมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงถึงความสูงศักดิ์ของอวี๋ผินมากเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

อวี๋ผินไม่คิดว่าเจียงหวนจะพูดเช่นนี้ หัวเราะจนปิ่นระย้าบนหัวสั่นไหวไปหมด สักพักใหญ่จึงจะหยุดลง

มาจากตระกูลเล็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่น่าจะได้ขึ้นมาเป็นใหญ่มีหน้ามีตาหรอก

นางเช็ดน้ำตาที่หัวเราะจนไหลออกมา ในใจรู้สึกสะใจ

“เจ้าแค่ทำไปก็พอ ต้องการอะไร ข้าจะให้ชุ่ยอิงไปเตรียมให้เจ้าเอง”

เจียงหวนถอนหายใจอย่างโล่งอก นางรู้ว่าด่านนี้ผ่านไปได้แล้ว

หากต้องการให้อวี๋ผินขาดความช่วยเหลือจากนางไม่ได้ เช่นนั้นนางก็จะต้องแสดงคุณค่าที่ไม่มีใครสามารถมาแทนได้

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงหวนก็ตัดสินใจทำเนื้อย่างเตาถ่าน นางไปขอวัตถุดิบจากชุ่ยอิง

อาหารจานนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดขึ้นมาลอย ๆ

การย่างเนื้อต้องควบคุมไฟให้ดี หรือแม้กระทั่งต้องกินตอนที่ย่างเสร็จใหม่ ๆ จึงจะมีรสชาติ นี่เป็นสิ่งที่อวี๋ผินไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ

เมื่อได้ยินของที่เจียงหวนต้องการ สีหน้าของอวี๋ผินก็พลันมืดมนเล็กน้อย

“ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าการทำอาหารต้องใช้ถ่านไฟกับตะแกรงด้วย จวงฉางไจ้ เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”

“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” เจียงหวนรีบโค้งคำนับ อธิบายอย่างว่าง่าย “ขอพระสนมโปรดใจเย็นก่อน หากหม่อมฉันทำอาหารที่พระสนมพอใจออกมาไม่ได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษแต่โดยดีเพคะ”

อวี๋ผินเหลือบมองเจียงหวนแวบหนึ่ง คิดว่านางคงไม่กล้าหลอกลวงตนเอง

ไม่นานนัก ชุ่ยอิงก็นำวัตถุดิบและเครื่องมือที่เจียงหวนต้องการมาให้

เจียงหวนมาถึงครัวก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย นางหั่นเนื้อเป็นชิ้นบาง ๆ หมักด้วยซอสสูตรพิเศษ จากนั้นก็นำผักไปล้างแล้วจัดวางให้สวยงาม แล้วยังปรุงน้ำจิ้มอีกสองสามอย่างไว้กินคู่กับเนื้อ

เพียงแต่ในครั้งนี้ นางไม่มีความสุขในการทำอาหารเหมือนเมื่อก่อน

เมื่ออาหารเลิศรสถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงความโปรดปราน ก็ย่อมสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไป

คนขี้เกียจเช่นนาง ตอนนี้ก็เหมือนกับเนื้อย่างบนเตาไฟ

ถูกไฟแห่งความริษยาในวังหลังนี้ ย่างจนสุกไปทั่วทุกด้าน

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจียงหวนก็จุดไฟถ่าน วางตะแกรงลงไป แล้วเริ่มย่างเนื้อ

ฝีมือการใช้มีดของนางดีมาก เนื้อถูกหั่นบางมาก วางลงบนตะแกรง ใช้เวลาไม่กี่อึดใจเนื้อหนึ่งชิ้นก็สุกแล้ว

เจียงหวนคีบเนื้อชิ้นแรกที่ย่างเสร็จใส่ในชาม ถวายให้อวี๋ผิน

“พระสนม เชิญชิมเพคะ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่อวี๋ผินได้กลิ่นหอม ในใจก็รู้สึกคันยิบ ๆ อยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เมื่อรับชามมาแล้ว ก็กินเข้าไปคำหนึ่ง น้ำจากเนื้อชิ้นนั้นก็ระเบิดออกในปาก กรอบนอกนุ่มใน อร่อยเลิศรส

ขนตาของอวี๋ผินสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม นางไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!

เนื้อชิ้นที่สองย่างเสร็จแล้ว อวี๋ผินกินอย่างละเมียดละไม ปล่อยให้ความมันของเนื้อซึมเข้าไปในร่องริมฝีปาก

เจียงหวนย่างเนื้ออีกชิ้นหนึ่ง หยิบผักกาดหอมขึ้นมา ห่อเนื้อไว้ แล้วยื่นให้อวี๋ผิน

“หากห่อด้วยใบผักสด รสชาติจะยิ่งเลิศล้ำ พระสนมลองดูสิเพคะ”

“แล้วก็น้ำจิ้มพวกนี้ แต่ละอย่างก็มีรสชาติที่แตกต่างกันไป” เจียงหวนชี้ไปที่ถ้วยกระเบื้องที่ใส่น้ำจิ้มไว้ แนะนำอย่างใจเย็น “มีน้ำจิ้มกระเทียม มีผงพริกป่นยี่หร่า มี...”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 242

    เจียกุ้ยเฟยกลับตำหนักของตนไปอย่างหงุดหงิด“นางแพศยา เจียงหวนนางแพศยานั่น ยังมีนางบ่าวเจ้าเล่ห์ข้างกายนางอีกคน พวกนางคิดว่าตนเองเป็นใคร กล้าหมิ่นเกียรติของข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะทำให้พวกนางมิได้ตายดี!”หน้าอกของเจียกุ้ยเฟยกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวเพราะความโกรธขึ้งจนไม่เหลือเค้าเดิมนางกำนัลคนสนิทคุกเข่าด้วยความตกใจกลัว นางโขกหัวหลายครั้ง“พระสนมโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ พระวรกายสำคัญยิ่ง”“ระงับโทสะ? เจ้าจะให้ข้าระงับโทสะได้เช่นไร!”เจียกุ้ยเฟยหันกลับไป ปลายนิ้วแทบจะจิ้มใบหน้าของนางกำนัล“ในสายตาของฝ่าบาทมีเพียงนางจิ้งจอกตนนั้น แม้แต่นางบ่าวชั้นต่ำข้างกายนางยังกล้าชี้นิ้วบงการข้า ข้าเป็นถึงกุ้ยเฟย กลับถูกบ่าวเฒ่าคนหนึ่งทำให้พูดไม่ออก ช่างน่าอดสูยิ่งนัก!”ยิ่งคิด เจียกุ้ยเฟยก็ยิ่งโมโห นางคว้ากระถางธูปที่อยู่ข้างมือขว้างใส่นางกำนัลเพล้ง!กระถางธูปลอยเฉียดใบหูของนางกำนัล นางกำนัลตกใจตัวสั่น ทว่ายังคงฝืนปลอบใจเจียกุ้ยเฟยต่อ“พระสนม โปรดทรงสงบจิตใจก่อนเถิดเพคะ จวงเฟยผู้นั้นก็เพียงอาศัยว่ามีฝีมือการทำอาหารที่ตื้นเขินเท่านั้น ยามนี้พระองค์เชิญพ่อครัวใหญ่ฝีมือยอดเยี่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 241

    เจียงหวนเองก็ไม่นึกว่าจะพบเจียกุ้ยเฟยที่นี่ หัวใจของนางสะดุดไปชั่วขณะดีเหลือเกิน เกลียดอะไรมักเจอสิ่งนั้นนางหันไปส่งสัญญาณให้เสี่ยวเจาหยุด รักษามารยาทที่พึงมี“ถวายบังคมพระสนมเจียกุ้ยเฟย”เจียกุ้ยเฟยมิได้ตอบรับทันที นางมองพิจารณาเจียงหวนตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายก็หยุดมองที่เก้าอี้รถเข็นของนาง เผยรอยยิ้มเย็นชาชั่วร้ายที่มุมปาก“แหม นี่มิใช่น้องสาวจวงเฟยหรอกหรือ?”เจียกุ้ยเฟยลากเสียงยาวๆ แสดงถึงการเสียดสีอย่างไม่คิดปิดบัง“เจ้าเดินเหินไม่สะดวก ยังมาส่งอาหารถึงห้องทรงพระอักษรอย่างไม่ว่างเว้น ความหวังดีนี้ของน้องสาว ช่างชวนให้ซาบซึ้งยิ่งนัก”เจียงหวนลอบเบ้ปากในใจนั่งรถเข็นแล้วอย่างไรเล่า อย่างไรก็มิควรเลือกปฏิบัติต่อผู้พิการอีกอย่าง นางก็ยังดีกว่าเจียกุ้ยเฟยที่คอยแบกเครื่องประดับหัวที่มีน้ำหนักหลายสิบชั่งทั้งวันกระมัง? นางไม่เมื่อยคอบ้างหรืออย่างไรนะ?ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เติ้งหมอม่อที่อยู่ด้านข้างพลันเดินออกมาครึ่งก้าว ก่อนจะคารวะด้วยท่าทางที่ไม่ดูเย่อหยิ่งหรือต้อยต่ำเกินไป“บ่าวถวายบังคมพระสนมเจียกุ้ยเฟยเพคะ พระสนมของเราเห็นว่าฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยจากราชกิจบ้านเมือง ซ้ำอากาศ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 240

    หลินเจิงดำเนินการอย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงสองวันก็ส่งคนมาถึงตำหนักของเจียกุ้ยเฟยแล้วได้ยินว่าคนคนนี้เคยเป็นพ่อครัวใหญ่ของห้องเครื่อง และเคยรับใช้อดีตฮ่องเต้มาก่อน ชำนาญการทำอาหารในวังที่สุดเจียกุ้ยเฟยพึงพอใจอย่างมาก นางจงใจเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดกระโปรงที่หรูหรางดงาม พานางกำนัลกลุ่มหนึ่งตรงไปยังห้องเครื่องในห้องทรงพระอักษรฮั่วหลินกำลังก้มหน้าก้มตาสะสางฎีกา รอบกายแผ่กลิ่นอายเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้ในเวลานี้เอง หวังเต๋อกุ้ยเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาท พระสนมเจียกุ้ยเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”พู่กันในมือของฮั่วหลินชะงักหยุด หยดน้ำหมึกกระจายตัวเป็นวงเล็กๆ บนกระดาษฎีกาคนที่เขาไม่อยากพบที่สุดก็คือเจียกุ้ยเฟย!ฮั่วหลินวางพู่กันลง ยกมือขึ้นนวดขมับ “ให้นางเข้ามา”หวังเต๋อกุ้ยรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ไม่นาน เจียกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามาใบหน้าของนางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม นางคารวะฮั่วหลินอย่างอ่อนช้อย“ถวายบังคมฝ่าบาท”ฮั่วหลินไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง เพียงส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ ในจมูกเป็นการตอบรับเจียกุ้ยเฟยราวกับไม่สนใจความเย็นชาของฮั่วหลิน นางลุกขึ้นด้วยตนเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยว่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 239

    เจียงหวนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าด้านนอก นางกำลังคิดคำนวณเรื่องถุงหอมเมื่อเช้า“พระสนม” เสี่ยวเจายกน้ำแกงสงบจิตที่เพิ่งต้มเสร็จเข้ามา นางกล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “รีบดื่มเพื่อผ่อนคลายจิตใจหน่อยเถิดเพคะ”เจียงหวนเพิ่งจะรับถ้วยน้ำแกงไป เสียงฝีเท้าเร่งรีบอันคุ้นเคยระลอกหนึ่งก็ดังมาจากนอกตำหนัก นำพาแรงกดดันขุมหนึ่งเข้ามาด้วย[ผู้ใดกันมิดูตาม้าตาเรือ กล้าแตะต้องนางเช่นนี้? ข้าจะถลกหนังมันทั้งเป็น!][นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่? จะตกใจหรือไม่นะ?]เสียงในใจที่ทั้งบันดาลโทสะและร้อนใจดังขึ้นข้างหูเจียงหวนราวกับพวงประทัดที่ถูกจุดชนวนฮั่วหลินสาวเท้ามายืนอยู่ต่อหน้านาง กวาดสายตาสำรวจเจียงหวนอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเครื่องสแกนคุณภาพสูง[ดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไรมาก][เพียงแค่หน้าซีดเล็กน้อยเท่านั้น นางจะต้องตกใจมากแน่ๆ][พรุ่งนี้ให้นางติดตามข้าไปว่าราชการในท้องพระโรง และนอนที่ตำหนักหย่างซินเสียเลย มิให้อยู่ห่างข้าแม้แต่ก้าวเดียว ดูสิใครจะกล้าทำอะไรนางอีกหรือไม่!]กลิ่นอายอำมหิตแผ่กระจายรอบตัวเขา บรรยากาศในตำหนักราวกับหยุดชะงักไปชั่วขณะเหล่าข้ารับใช้ก้มหน้ากลั้นหายใจ ไ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 238

    ดอกกุ้ยฮวาในวังเบ่งบานแล้ว กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วทั้งตำหนักเว่ยยางเจียงหวนนั่งชันคางอยู่ใต้เฉลียง สั่งการทุกคนให้เตรียมโคมไฟและแม่พิมพ์ขนมสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์เสี่ยวเจานั่งอยู่ข้างๆ นาง ในมือถือถุงหอมที่ปักไปได้ครึ่งหนึ่ง ฝีเข็มบิดเบี้ยวไม่ค่อยน่าดูนัก“พระสนม ท่านดูลวดลายนี้ใช้ได้หรือไม่เพคะ?”เสี่ยวเจายื่นถุงหอมมาให้ราวกับสมบัติล้ำค่า “บ่าวปักลายกระต่ายหยกตำยาเพคะ”เจียงหวนรับไปดู กระต่ายตัวนั้นหัวเบี้ยว ราวกับดื่มสุราจนเมามายก็ไม่ปาน กระบองตำยายิ่งบิดเบี้ยวจนชี้ขึ้นขอบฟ้าแล้วนางอดกลั้นขำไม่ได้ กล่าวหยอกเย้าว่า “นับว่ามีเอกลักษณ์ดี”เสี่ยวเจาเกาหัวอย่างเขินอาย “บ่าวฝีมือไม่ดี ปักหลายอันแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ นี่เป็นชิ้นที่นับว่าดีที่สุดแล้วเพคะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน นางกำนัลน้อยคนหนึ่งยกขนมและน้ำชามา เป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเจียงหวนนางมีถุงหอมประณีตเหน็บไว้ที่เอวหนึ่งใบ ปักลวดลายดอกกุ้ยฮวาที่ดูซับซ้อน ฝีเข็มละเอียดลออ ดูก็รู้ว่ามีฝีมือด้านการเย็บปักเจียงหวนมองเห็นตั้งแต่แวบแรก “เป็นถุงหอมที่งามนัก เจ้าปักเองหรือ”ฝีมือเช่นนี้ ห่างชั้นกับเสี่ยวเจาหล

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 237

    เจียงหวนมองฮั่วหลินอย่างแปลกใจ “ฝ่าบาทจะตรวจฎีกาที่นี่จริงหรือเพคะ?”ฮั่วหลินลุกขึ้น เดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะทรงงานตัวกว้าง“อืม ตำหนักของเจ้าเงียบสงบ เหมาะแก่การตรวจฎีกาพอดี”ไม่นาน หวังเต๋อกุ้ยได้นำขันทีน้อยสองสามคน ยกสิ่งของจำพวกม้วนฎีกา พู่กัน น้ำหมึกรวมถึงตราประทับมาวางบนโต๊ะทรงงานอย่างพินอบพิเทานางกำนัลในตำหนักเองก็ได้ยกน้ำชาและขนมว่างหน้าตาประณีตสองสามอย่างมาถวาย จากนั้นก็ถอยออกไปเงียบๆฮั่วหลินหยิบพู่กันขึ้นมา สีหน้าเคร่งขรึม เข้าสู่สภาวะสะสางราชกิจอย่างจริงจังแสงแดดส่องลอดลายฉลุบนหน้าต่างสาดลงบนใบหน้าด้านข้างของเขา ท่าทางจริงจังของเขามีรังสีน่าเกรงขามที่ชวนให้หยุดหายใจเจียงหวนมิได้รบกวนเขา เพียงหาที่นั่งอ่านตำราเงียบๆบรรยากาศในตำหนักเงียบสงบกว่ายามปกติ ทว่าความคิดของฮั่วหลินกลับมิได้จดจ่ออยู่กับราชกิจทั้งหมดหางตาของเขาเหลือบมองเจียงหวนโดยมิได้ตั้งใจ อารมณ์หงุดหงิดที่เกิดจากเติ้งหมอม่อพลันหายไปในพริบตาเขาแสร้งทำเป็นเงยหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ อยากจะมองนางให้ชัดขึ้นอีกหน่อยประจวบเหมาะกับที่เจียงหวนเงยหน้าเพื่อจะยืดเส้นยืดสายสักหน่อย สายตาของทั้งคู่สบประสานกันอย่างไม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status