Share

อ้อมกอดแดนดิน
อ้อมกอดแดนดิน
Author: JaoNila

อารัมภบท

Author: JaoNila
last update Last Updated: 2025-11-17 12:29:04

         “ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย”

         “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน”

         การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้

         สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา

         “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว”

         “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ”

         แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่

         “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา”

         “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”

         ความน้อยเนื้อต่ำใจเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนจุกที่หน้าอก ดวงตาที่เริ่มมีน้ำมาคลอเบ้า ก็ได้รวมตัวกันจนเป็นเม็ดไหลลงมาอาบแก้มขาว ตั้งแต่ที่แม่เสียไป ตนก็ไม่เคยที่จะได้รับไออุ่นจากผู้เป็นพ่ออีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

         “แล้วไอ้งานออกแบบอะไรของแกนี่ คิดว่าจะมีปัญญาเลี้ยงตัวเองได้หรือไง”

         “แล้วรันสามารถเลือกอะไรเพื่อตัวเองได้บ้างไหม”

         “พ่อไม่เคยเชื่ออะไรในตัวรันเลยสักครั้ง”

         ธีร์รันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ตนตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ผู้เป็นพ่อเห็น แต่กลับรู้สึกว่าความพยายามของตนนั้นช่างไร้ค่า เหมือนเม็ดทรายในทะเลทรายที่มีอยู่มากมาย จนคนมองไม่เห็นความสำคัญ

         “รันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกพ่อเลย”

         “เพี๊ยะ!”

         แรงจากฝ่ามือหนาได้ถูกส่งออกไปกระทบกับแก้มขาวนวล จนเจ้าตัวถึงกับหน้าหันไปตามแรงมือ รอยแดงที่เริ่มฉายชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ เผยให้เห็นร่องรอยของการถูกกระทำเป็นอย่างดี

         ธีร์รันถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาสัมผัสที่แก้มเบา ๆ น้ำตาเอ่อนองเกินจะสุดกลั้น ความแสบยังคงแผ่ซ่านอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่อาจเทียบเท่าความเจ็บปวดที่อยู่ภายในจิตใจของเขาตอนนี้ได้

         “งั้นแกก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ”

         “ไปอยู่บ้านเกิดแม่ของแก”

         “ลองไปใช้ชีวิตที่ไม่มีฉันคอยคุ้มกะลาหัวดู ว่ามันเป็นยังไง”

         “ถ้าแกทนได้ถึงหนึ่งปี ถึงตอนนั้นแกอยากจะทำอะไรก็เชิญ”

         ธานินทร์ยืนมองตามหลังลูกที่เดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเองที่กำลังสั่นระริก ตนไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ทุกสิ่งที่ตนทำก็เพื่อที่จะให้ลูกได้อยู่อย่างสุขสบายยามที่ตนไม่อยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าวิธีที่ตนแสดงออกมานั้น ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินอยู่แล้ว กลับไกลออกไปอีก

         ความโกรธแค่ชั่วขณะ ทำให้ตนพลั้งมือทำร้ายลูกผู้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา คำพูดขอโทษที่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกไป บัดนี้กลับจุกแน่นอยู่ในคอ เอาไว้วันที่ลูกอ้อนวอนให้ตนไปรับเมื่อไหร่ ถึงครานั้นค่อยกล่าวออกไปก็ยังไม่สาย

         “ฮึก~”

         น้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจถูกปาดออกอยากลวก ๆ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ตนเตรียมไว้ ยัดลงใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน ถ้าพ่อไม่อยากให้ตนอยู่ ตนก็จะไปให้พ้น ๆ ทาง ตนไม่เคยเลือกอะไรได้เลยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

         “แม่...รันคิดถึงแม่”

         มือเรียวได้เอื้อมไปหยิบกรอบรูปที่มีภาพของหญิงวัยกลางคนขึ้นมาดู พลางใช้มือลูบเบา ๆ อย่างคะนึงหา หยาดน้ำตาที่ร่วงรินลงมาไม่ขาดสาย ก็พลอยทำให้ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ก่อนที่จะค่อย ๆ เก็บลงในกระเป๋าและก้าวขาออกจากห้องไป

         “คุณรันครับ ลองคุยกับคุณท่านดูก่อนเถอะนะครับ”

         ในขณะที่สองขากำลังจะก้าวพ้นประตูบ้านออกไป ก็ได้มีคนขับรถคนสนิทของคุณพ่อได้เข้ามาขวางไว้ ธีร์รันหันไปมองตามเสียงเรียกด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้า ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ

         “ถ้าพ่อไม่อยากรันให้อยู่ แล้วรันจะอยู่ไปเพื่ออะไรล่ะครับ”

         “ไปเตรียมรถมาเถอะครับ”

         คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะโค้งหัวรับคำแล้วเดินหายไปสักพัก ความเงียบเริ่มเข้ามาแทนที่ ธีร์รันได้เพียงหวนนึกไปถึงวันที่เขายังมีแม่คอยอยู่ด้วย ผู้ที่คอยโอบกอดเขาไว้จากทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้เห็นทีว่าเขาจะต้องคอยโอบกอดตัวของเขาเอาไว้เองแล้ว

         บรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มที่จะเงียบสงบลงบ้างแล้ว เมื่อรถได้เคลื่อนที่ออกมาจากตัวเมือง ความวุ่นวายต่าง ๆ ก็ได้พลันหายไป หากยังเหลือก็แต่ความสับสนที่ยังคงค้างคาอยู่ภายในจิตใจของเขา

         “พักสักหน่อยเถอะครับคุณรัน”

         “ชีวิตรันมันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง”

         “แค่เลือกทางเดินของตัวเองยังไม่ได้เลย”

         ความรู้สึกที่สิ้นหวังเกาะกุมหัวใจของเขา ราวกับเงามืดที่คืบคลานเข้ามา ดวงตาที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย แสดงให้เห็นถึงความเสียใจที่มีอยู่อย่างมากล้น จนคนที่พบเห็นอดที่จะสงสารไม่ได้

         “นายท่านคงแค่กำลังโกรธน่ะครับ ไม่นานท่านคงหาย”

         “ระหว่างนี้ก็ถือว่าไปพักผ่อนเถอะนะครับ”

         “แล้วรันต้องไปอยู่กับใครเหรอ”

         “ที่นั่นจะมีญาติห่าง ๆ ของคุณผู้หญิงอยู่”

         “นายท่านได้ติดต่อไปแล้ว ทั้งคู่จะคอยดูแลคุณรันครับ”

         ร่างเล็กไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแค่หันหน้าออกไปมองที่นอกหน้าต่างอีกตามเคย ก่อนที่บรรยากาศอันเงียบสงบภายในรถ จะทำให้เขาเคลิ้มหลับไป

         “คุณรันถึงแล้วครับ”

         ธีร์รันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับบ้านไม้สองชั้นที่อยู่ในชุมชน สร้างบนที่ดินขนาดกว้าง มีรั้วไม้ระแนงสีขาวล้อมรอบบ้าน ถัดไปไม่ไกลก็เห็นผู้คนอยู่สองคนกำลังยืนรออยู่ที่ทางเข้าหน้าบ้าน

         “นี่คุณบุญและคุณสาย คนที่จะคอยดูแลคุณรันครับ”

         ชายหญิงวัยกลางคนที่ดูท่าทางใจดี กำลังยืนยิ้มต้อนรับตนอย่างอบอุ่น ทั้ง ๆ ที่ตนอาจจะมาเป็นภาระก็ได้ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าว่ารังเกียจออกมาแม้แต่น้อย ทำให้ธีร์รันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

         “เอิ้นวาลุงกับป้ากะได้เด้อ” (เรียกว่าลุงกับป้าก็ได้นะ)

         “เอิ้น?”

         “หมายถึงเรียกครับ”

         “อ๋อ ครับ”

         คนตัวเล็กยิ้มบาง ๆ ออกมา เพราะบางคำที่คุณป้าได้เอ่ยออกมานั้น ตนก็ฟังไม่ทันและจับใจความไม่ได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

         “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรที่ต้องการบอกผมได้เลยนะครับ”

         “ขอบคุณครับ ที่มาส่งรัน”

         คนร่างสูงโค้งหัวรับคำ ก่อนจะขับรถเคลื่อนหายออกไปในความมืด ปล่อยให้ธีร์รันยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง

         “กินข้าวมายังล่ะลูก”

         “เรียบร้อยแล้วครับ”

         “ซั่นกะขึ้นไปพักผ่อนเด้อลูก เดินทางมาไกล” (งั้นก็ขึ้นไปพักผ่อนนะลูก เดินทางมาไกล)

         “ให้คิดวาเป็นเฮียนจะของเด้อ” (ให้คิดว่าเป็นบ้านตัวเองนะ)

         ธีร์รันอมยิ้มและพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินตามคนทั้งคู่ขึ้นไปบนบ้าน หลังจากที่จัดของไว้คร่าว ๆ แล้ว เขาก็ได้ทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่พลางทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้

         แก้มบางที่ยังคงมีสีแดงก่ำ แต่คนทั้งคู่กลับไม่ได้ถามอะไรตนเลย พลอยทำให้ธีร์รันรู้สึกว่าทั้งคู่คงไม่อยากถามเพื่อเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดของตน

ตั้งแต่วันนี้ตนคงต้องพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์มากขึ้น และคงมีอีกหลายอย่าง ที่ตนจะต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตของที่นี่

         กับระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๕ ซื้อของ

    “ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๔ แห่นาค

    บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓ ช่วยงาน

    บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๒ มากินข้าวนำกันเด้ออ้าย

    สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๑ ซ่อมรั้ว...ซ่อมใจ

    ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง

  • อ้อมกอดแดนดิน   อารัมภบท

    “ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status