เข้าสู่ระบบท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง
เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า
บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น
ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง
ธีร์รันสลัดความคิดทั้งหมดออกไป ก่อนจะใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน ก็เดินลงมาที่ใต้ถุนบ้านเพื่อมาหาป้าสายที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
“คุณป้ามีอะไรให้รันช่วยไหมครับ”
หญิงวัยกลางคนหยุดสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พร้อมกับหันมามองเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
“มื้อนี้ป้าสิเฮ็ดแกงไก่ใส่หน่อไม้ส้มสู่กิน น้องรันไปเก็บบักพริกในสวนมาตำให้ป้ากะได้ลูก” (วันนี้ป้าจะทำแกงไก่ใส่หน่อไม้ดองให้กิน น้องรันไปเก็บพริกในสวนมาโขลกให้ป้าก็ได้ลูก)
“ได้ครับ”
คนเด็กกว่ารับคำ แล้วเดินออกจากห้องครัวผ่านใต้ถุนไปยังหลังบ้าน ซึ่งมีแปลงผักสวนครัวขนาดย่อมอยู่
ธีร์รันมาอยู่ที่นี่ได้สองวันแล้ว ตนอาศัยอยู่กับลุงบุญและป้าสาย ซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของคุณแม่ บ้านที่เขาพักอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างเปิดโล่งแต่มีส่วนที่ต่อเติมเป็นห้องครัว ถัดไปอีกหน่อยเป็นโต๊ะนั่งสำหรับทานข้าว ชั้นบนมีระเบียงสำหรับนั่งรับลม พื้นที่รอบ ๆ บ้าน ถูกตกแต่งด้วยสวนที่มีต้นไม้ใหญ่และพรรณไม้ ที่ช่วยเพิ่มความร่มรื่นได้เป็นอย่างดี
ในสวนผักหลังบ้านของป้าสาย มีผักปลอดสารอยู่หลายชนิด มีทั้งที่ธีร์รันรู้จักและไม่รู้จัก เนื่องจากตอนอยู่ที่กรุงเทพ ตนก็ไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเลย แต่พอมาอยู่ที่นี่ ธีร์รันจึงต้องปรับตัวหลายอย่าง เพราะกว่าจะได้กลับก็อีกนานโข
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ธีร์รันจึงนำพริกไปล้างแล้วมานั่งโขลกอยู่ข้าง ๆ ป้าสาย
“น้องรัน มื้อนี่กินข้าวแล้ว ป้าสิให้ไปช่วยงานอ้ายแดนเด้อลูก” (น้องรันวันนี้กินข้าวเสร็จ ป้าจะให้ไปช่วยงานพี่แดนนะลูก)
“อ้ายแดน...อ้ายแดนคือใครครับ”
ธีร์รันทำหน้าตางุนงง เพราะชื่อที่เพิ่งได้ยินครั้งแรก เนื่องจากตั้งแต่ตนมาก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย
“อ้ายแดนดิน ลูกพ่อใหญ่คำเมือง”
“พ่อใหญ่คำเมืองที่เป็นผู้ใหญ่บ้านน่ะหรือครับ” ธีร์รันพอจะรู้จักพ่อใหญ่คำเมืองอยู่บ้าง เพราะแกแวะเวียนมาหาลุงบุญอยู่บ่อย ๆ
แต่ถึงกระนั้นธีร์รันก็ได้รับยิ้มจากป้ายสายแทนคำตอบ ก่อนที่จะรีบเตรียมกับข้าวต่อ เพราะตอนนี้ก็สายโด่งแล้ว
หลังจากทานข้าวเสร็จ คนตัวเล็กก็ได้มานั่งรับลมอยู่ใต้ถุนบ้าน บรรยากาศที่ลมพัดมาเอื่อย ๆ บวกกับทานข้าวมาอิ่ม ๆ ทำให้เขารู้สึกเคลิ้มไปกับบรรยากาศ ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์กำลังเลี้ยวเข้ามาภายในบ้าน
“บรื๊น...บรื๊น”
แดนดินขี่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของตัวเองเข้ามาจอดภายในบ้านอย่างนุ่มนวล เสียงเครื่องยนต์ค่อย ๆ แผ่วลงก่อนจะเงียบสนิท…
ธีร์รันได้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก ลักษณะใส่กางเกงยีนขาดตรงเข่า ใส่เสื้อแขนยาวสีน้ำเงินที่น่าจะแถมจากการซื้อปุ๋ยพร้อมกับสวมหมวกฟาง รูปร่างกำยำสมส่วน ดูแข็งแรง โครงหน้าได้สัดส่วน จมูกโด่งสันชัดเจน จนธีร์รันนั่งจ้องอยู่พักหนึ่ง เพราะถือว่าหล่อเหลาอยู่พอสมควร
“สวัสดีครับน้าสาย ใสคนสิให้ไปช่วยงานอยู่ใสครับ” (สวัสดีครับน้าสาย ไหนคนที่จะให้ไปช่วยงานอยู่ไหนครับ)
“น้องรันมานี่ลูก...นี่อ้ายแดนดิน มื้อนี่ไปช่วยงานอ้ายเขาเด้อลูก” (น้องรันมานี่ลูก...นี่พี่แดนดิน วันนี้ไปช่วยงานพี่เขานะลูก)
“แดน...นี่น้องธีร์รัน น้าฝากน้องนำเด้อ มีหยังกะค่อยบอกค่อยสอนน้องเอา” (แดน...นี่น้องธีร์รันน้าฝากน้องด้วยนะ มีอะไรก็ค่อยสอนน้องนะ)
พ่อใหญ่คำเมืองกับลุงบุญเป็นเพื่อนรักกัน ด้วยเหตุที่ลุงบุญกับป้าสายไม่มีลูก จึงได้แดนดินมาช่วยงานอยู่บ่อย ๆ ทำให้ทั้งคู่รักแดนดินเหมือนกับลูกชายแท้ ๆ คนหนึ่ง
“ปะ ขึ้นรถ”
คนเด็กกว่าทำตามอย่างว่าง่าย พอทั้งคู่เคลื่อนรถออกไป ทำให้ป้าสายมองตามอย่างห่วง ๆ แต่เพราะคำขอร้องจากธีร์รัน ที่อยากจะทำอะไรเพื่อคนที่นี่บ้าง ไม่ว่างานแบบไหนตนก็พร้อมที่จะทำ เพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไร เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแดนดิน ซึ่งเขาก็พร้อมจะช่วยสอนอย่างเต็มใจ
“นี่เราจะไปไหนกันเหรอ” คนเด็กกว่าหลังจากซ้อนรถมาสักพักก็ได้เอ่ยถามอย่างสงสัย
“อ้ายสิพาไปซ่อมรั้ว” (พี่จะพาไปซ่อมรั้ว)
“ซ่อมรั้ว เราไม่เคยทำนะ ยากมั้ย”
“บ่ยากดอก จับดี ๆ มันสิตกรถ” (ไม่อยากหรอก จับดี ๆ เดี๋ยวตกรถ) ว่าพลางร่างสูงก็ขับรถให้ส่ายไปส่ายมาเพื่อแกล้งคนน้อง
คนเด็กกว่าตกใจก่อนที่จะยื่นมือไปจับเสื้อคนพี่เบา ๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ยนิด ๆ แดนดินที่เหลือบมองคนน้องผ่านกระจกมองข้างก็เผลอยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ
ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่สองชั้นที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่ตอนนี้เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วเหลือเพียงผืนนาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี ใต้ถุนบ้านมีเปลผูกติดเสาไว้ รอบ ๆ บ้านถูกตกแต่งด้วยต้นไม้หลายชนิด ให้ความรู้สึกร่มรื่นเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก
“นี่บ้านใครเหรอ น่าอยู่จัง”
“เฮียนอ้ายนี่หล่ะ” (บ้านพี่นี่แหละ)
“อยู่กับผู้ใหญ่บ้านสองคนเหรอ”
“บ่...อ้ายออกมาอยู่คนเดียว” (ไม่...พี่ออกมาอยู่คนเดียว)
“ฟ่าวมามันสิฮ้อน อย่าคาแต่ถาม” (รีบมาก่อนจะร้อน อย่ามัวแต่ถาม)
แดนดินว่าพลางเดินไปในบ้านเพื่อหาของบางอย่าง ก่อนจะเดินออกมาหาคนที่ยืนหน้าหงิกอยู่พร้อมกับเสื้อที่ถือติดมือมาด้วย
“เอ๋าใส่เสื้ออ้ายก่อน มันสิฮ้อน” (นี่ใส่เสื้อพี่ก่อน มันจะร้อน)
“มาเฮ็ดเวียกอิหยังหมวกกะบ่มี เสื้อแขนยาวกะบ่เอามา” (มาทำงานอะไรหมวกก็ไม่มี เสื้อแขนยาวก็ไม่เอามา)
แดนดินบ่นอุบอิบก่อนยื่นเสื้อแถมจากการซื้อปุ๋ยให้คนน้อง พลางถอดหมวกที่ตัวเองใส่ลงบนหัวเล็ก ๆ ของธีร์รัน
“ใส่ไว้” จัดแจงคนน้องเสร็จก็หันมาหยิบผ้าขาวม้ามาโพกหัวตัวเองเพื่อป้องกันความร้อน
ทั้งคู่จัดแจงตัวเองอยู่สักพัก แดนดินก็ได้เอากล่องอุปกรณ์ในการซ่อมรั้วมาให้คนน้องถือ ก่อนที่จะซ้อนรถกันออกไป
ทั้งคู่ขับรถเข้ามาในหมู่บ้านไม่นานก็มาเจอกับบ้านของยายบัว แกอาศัยอยู่คนเดียว ด้วยนิสัยของแดนดินที่เป็นคนขยันเป็นทุนเดิม จึงได้อาสามาซ่อมรั้วให้
“ยาย...ยายบัว อยู่บ้านบ่ครับ” (ยาย...ยายบัว อยู่บ้านไหมครับ)
“ยาย...ผมมาซ่อมรั้วให้ครับ” แดนดินเอ่ยต่อ เมื่อเห็นว่ายายบัวกำลังเดินมาทางตน
“มากับไผล่ะนั่น คือหน้าตาดีแท้...ลูกไผล่ะหล่า” (มากับใครนั่น หน้าตาดีจัง...ลูกใครเหรอ)
“หลานน้าสายมาตะกรุงเทพครับ” (หลานน้าสายมาจากกรุงเทพครับ)
“พากันกินข้าวกินน้ำไป่ล่ะหล่า*” (พากันกินข้าวกินน้ำหรือยังล่ะ)
“เรียบร้อยแล้วครับ...ผมไปซ่อมรั้วก่อนเด้อยาย” (เรียบร้อยแล้วครับ...ผมไปซ่อมรั้วก่อนนะยาย)
ธีร์รันที่เดินตามแดนดิน หันมายกมือไหว้ก่อนจะส่งยิ้มจาง ๆ ให้คนแก่กว่า ไม่ว่าตนจะเจอใครที่นี่ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ดูใจดีกันทั้งนั้น
เดินมานิดหน่อยก็เจอกับรั้วไม้ไผ่ที่เรียงกันเป็นระเบียบ มีบางส่วนที่ผุพังตามกาลเวลา และข้างกันมีกองไม้ไผ่ที่แดนดินเป็นคนจัดเตรียมไว้สำหรับซ่อมรั้วครั้งนี้ ซึ่งเดิมทีเขาสามารถซ่อมรั้วคนเดียวได้สบาย ๆ แต่เพราะน้าสายที่ฝากให้เขาเป็นคนสอนงานต่าง ๆ ให้คนน้อง จึงได้พาคนเมืองกรุงติดมาด้วย
“จับไม้ไว้...อ้ายสิตอกตะปู”
คนเด็กกว่าเดินมาจับไม้ไผ่ผ่าครึ่งไว้อย่างทุลักทุเล เพราะไม้ไผ่มีขนาดที่หนักพอสมควรสำหรับคนที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเลยอย่างธีร์รัน
“เอ๊อะ” (โอ๊ย)
ไม่นานแดนดินก็ต้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะธีร์รันที่จับไม้ไผ่อยู่ ดันปล่อยให้ร่วงลงมาทับเท้าของเขานั่นเอง
“เราขอโทษ...ก็มันหนัก แขนเราไม่ไหวแล้ว” ธีร์รันพูดพลางสายตาหลุบต่ำมองพื้น เพราะกลัวคนพี่จะดุ
“บ่ไหวคือบ่บอกอ้าย...มาตอกตะปูอ้ายสิจับเอง” (ไม่ไหวทำไมไม่บอกพี่...มาตอกตะปูเดี๋ยวพี่จับเอง)
“ได้...สบายมาก”
“ตอกตะปูเด้อ...บ่แม่นตอกมือจะของ” (ตอกตะปูนะ...ไม่ใช่ตอกมือตัวเอง)
“ชิ...รู้แล้วน่า”
คนเด็กกว่าหันไปมองค้อนใส่คนพี่ ก่อนหันมาหยิบค้อนและตะปูที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาตั้งท่าเตรียม โดยมีแดนดินยืนจับไม้มองอยู่ใกล้ ๆ
“โอ๊ย...” และเป็นอย่างที่แดนดินคิด เมื่อธีร์รันได้ใช้ค้อนตอกพลาดลงไปที่นิ้วมือของตัวเอง ใบหน้าขาวบางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งจากความร้อนและความเจ็บ และดวงตาสองข้างก็เริ่มที่จะมีน้ำมาคลอเบ้า
“นั่น ๆ อ้ายวาแล้ว ใส...เป็นหยังหลายบ่” (นั่น ๆ พี่ว่าแล้ว ไหน...เป็นอะไรมากไหม)
แดนดินดึงมือคนน้องขึ้นมาดู พบว่ามือเล็กบางเป็นรอยแดงที่บริเวณนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ จึงได้เดินไปขอน้ำเย็นจากยายบัว แล้วใช้ผ้าขาวม้าที่โพกหัวตนเองอยู่ มาห่อกับขวดน้ำเย็นเพื่อให้คนน้องประคบนิ้วลดอาการปวด
“นั่งถ่าอ้ายอยู่นี่ เดี๋ยวอ้ายเฮ็ดเองดอก” (นั่งรอพี่อยู่นี่ เดี๋ยวพี่ทำเอง) ว่าพลางจัดที่ให้ธีร์รันนั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ก่อนกลับไปจัดการซ่อมรั้วที่สุดท้ายแล้วก็คงไม่พ้นมือเขาอยู่ดี...
“ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข
บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข
บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ
สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ
ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง
“ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”






![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
