หากเป็นเมื่อสามปีก่อน เซินลี่ฮวาคงมิได้มีความกล้าเท่านี้ เพียงแค่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่...หยาดน้ำตาใสก็พลันไหลรินอาบแก้มทันที
เซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว นางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับในอกที่รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว...แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาดต่างหาก หลังจากที่โม่เหยียนซวี่ไล่นางออกจากจวนไปแล้ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสตรีผู้นั้นอย่างมีความสุข...โดยไม่รู้สึกผิดใดเลยเชียวหรือ!? หึ...นางอยากเห็นนักว่าเขาจะทำหน้าเช่นไร เมื่อภรรยาที่เคยขับไล่ราวกับสิ่งไร้ค่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง! พอนึกแล้ว…เซินลี่ฮวาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ “รีบไปกันเถอะผิงอัน…ข้าคิดถึงสามียิ่งนัก” เดิมทีบรรยากาศยามนี้ก็มืดครึ้มด้วยหมอกเมฆตั้งเค้าราวกับพายุใหญ่กำลังจะกระหน่ำลงมา ทว่าดูเหมือนว่า...จวนสกุลโม่คงเผชิญเข้ากับพายุลูกใหญ่เข้าให้จริงๆ แล้ว เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าจวน ต่างจับจ้องแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ที่กำลังย่างเท้าเข้าไปด้านใน…บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความตึงเครียด แล้วรีบแซงหน้าอีกฝ่ายไปอย่างร้อนรน อย่างไรแล้วเรื่องนี้ต้องรีบไปแจ้งนายท่าน...ว่าฮูหยินกลับมาแล้ว! ในขณะที่ข่าวลือแว่วไปทั่วทั้งจวน โม่เหยียนซวี่กลับกำลังเอนกายนอนนิ่งอยู่บนเตียง ภายในอ้อมแขนเขาคือร่างบอบบางของไป๋หรูอี๋ที่ยังอิดโรยและอ่อนแรงจากการแท้งบุตรเมื่อสองสามวันก่อนหน้านั้น แขนแกร่งตวัดโอบกอดนางไว้หลวมๆ อย่างอ่อนโยนราวกับต้องการปลอบประโลมหัวใจที่แตกสลายของอีกฝ่ายให้สงบลง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ไป๋หรูอี๋ซุกใบหน้าไว้ที่แผ่นอกแกร่งของเขา นัยน์ตาเมล็ดซิ่ง แดงก่ำจากการร้องไห้มากอย่างหนัก นางปรายสายตามองบุรุษข้างกายอย่างเลื่อนลอย ริมฝีปากซีดเซียวขยับเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “เป็นเพราะข้า…นี่เป็นความผิดของข้าที่ไม่ดูแลให้ดีจึงต้องสูญเสียเขาไป…” โม่เหยียนซวี่กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาเงียบอยู่นานครู่หนึ่งราวกับกำลังกลืนความเจ็บปวดลงลึกไปในใจ “มิใช่ความผิดของเจ้า…หรูอี๋” น้ำเสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบา พลางลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน ไป๋หรูอี๋เม้มปากแน่น ข่มกลั้นเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร “อย่าโทษตัวเองอีกเลย” โม่เหยียนซวี่กล่าว เรื่องนี้เขาเองก็เสียใจไม่น้อย…ทว่าจะโทษผู้ใดผู้หนึ่งเพียงลำพังได้อย่างไรกัน หากมีวาสนาต่อกัน วันหนึ่งก็อาจได้กลับมาเป็นบุตรของเขาอีกครั้ง…ทว่าอย่างไรเสีย โม่เหยียนซวี่...ก็สนใจความรู้สึกของนางมากกว่าสิ่งใด ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำของเขาซ้ำๆ ไป๋หรูอี๋นอนนิ่งหายใจหอบถี่ด้วยแรงรั้งจากความเจ็บปวดอยู่ในอ้อมแขนเขา ใบหน้าคนงามซีดเผือดไร้สีเลือดฝาด หยาดเหงื่อเย็นเยียบผุดพรายเต็มหน้าผากและขมับ ทั้งริมฝีปากยังแห้งเหือดหรืออาภรณ์ที่เปียกโชกไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่มีทางลืมเหตุการณ์ในวันนั้นไปได้จริงๆ โม่เหยียนซวี่พลางโน้มจุมพิตบนหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา แววตาแข็งกร้าวของแม่ทัพใหญ่กลับฉายแววอ่อนแรงเพียงชั่วขณะ “อย่าคิดอะไร...ยามนี้เจ้าสำคัญที่สุดรู้หรือไม่ไป๋หรูอี๋” ยิ่งเห็นนางเสียใจเช่นนี้ หน้าอกข้างซ้ายของเขาก็พลันบีบรัดแน่นปวดหนึบคล้ายหายใจไม่ออก ในขณะเดียวกันนั้น…จู่ๆ กลับมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบบนระเบียงหน้าห้องดังขึ้น ก่อนที่บานประตูไม้จะถูกผลักเปิดออกอย่างร้อนรนโดยไร้มารยาท สาวใช้ผู้นั้นหอบหายใจถี่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยทั้งใบหน้ายังซีดเผือดราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน โม่เหยียนซวี่หันขวับไปมองตาขวางทันที น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาดังลั่น “ไร้มารยาท!...มีผู้ใดตายกันงั้นหรือ” “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ!” นางรู้ว่ายามนี้ผู้เป็นนายโมโหไม่น้อย ทว่า…นางก็ไร้หนทางเช่นกัน “ฮูหยิน…ฮูหยินกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” !!! และเพียงชั่วพริบตาเดียว...พอสิ้นสุดถ้อยคำนั้นบรรยากาศ บรรยากาศภายในห้องพลันถูกความเงียบงันแผ่ปกคลุมไปทั้งห้องอย่างรวดเร็วทันที ทั้งยังเย็นยะเยือกแทบหายใจไม่ออก ร่างของโม่เหยียนซวี่แข็งทื่อไปทันที ดวงตาคมกริบค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าวขึ้นมา “นางกลับมาหรือ…” น้ำเสียงทุ้มพึมพำพูดแผ่วเบา ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วหัวคิ้วเรียวพลางขมวดมุ่นขึ้นมาอย่างทันที จู่ๆ หางขวาของนางกระตุกระริกราวกับเป็นลางบอกเหตุ น้ำเสียงหวานกล่าว “หมายความว่าอย่างไรกัน…พี่หญิงกลับจวนมาแล้วงั้นหรือ?” สาวใช้พยักหน้าหงึกๆ “เจ้าค่ะ!...ฮูหยินใหญ่กลับมาแล้ว” เรือนหลังนี้…เคยเป็นของนางมาก่อน เกรงว่า นางก้าวเท้าออกไปยังไม่ทันพ้นขอบประตูจวนก็คงมีผู้ดีใจระริกระจนต้องรี้รีบย้ายเข้ามาอยู่อย่างรวดเร็วกระมัง เซินลี่ฮวายืนนิ่งอยู่หน้าประตูเรือน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเบื้องหน้านิ่งๆ ราวกับย้อนหวนไปยังวันวานที่ยังคงวนอยู่ในความทรงจำก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทุกอย่างในยามนี้มาไกลเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว… ทันใดนั้น กลิ่นของยาสมุนไพรตลบอบอวลจนต้องย่นคิ้ว นางเบือนหน้าหันหนี แววตาฉายแววความรังเกียจแวบหนึ่ง ยามนี้ภายในห้องเงียบงัน…เงียบเสียจนได้เสียงลมหายใจ ดวงตาเรียวคมกริบของโม่เหยียนซวี่หรี่ลงแทบจะในทันทีที่เห็นสตรีผู้นั้นปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาพลางลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจ “…” “หึ! เหตุใดถึงทำหน้าเหมือนกับเห็นผีกันเล่า” เซินลี่ฮวายิ้มกว้าง นางพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อยราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน โม่เหยียนซวี่หยุดยืนตรงหน้านาง ดวงตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่บนลงล่าง ราวกับต้องการจะตอกย้ำว่า เขาไม่ได้ตาฝาดไปเอง “กลับไปที่ของเจ้าซะ” เขากดเสียงต่ำแฝงออกคำสั่ง เขาไม่รู้เพราะเพราะเหตุใดจู่ๆ สตรีผู้นี้ถึงกลับมา…!? ดวงตาคมกริบถลึงมองอีกฝ่ายราวกับกำลังข่มขู่ ทว่าเซินลี่ฮวาได้ฟังแล้วถึงกลับหลุดหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน นางละสายตาจากบุรุษตรงหน้าก่อนจะกวาดไปอีกทาง จากนั้นจึงหยุดนิ่งที่ร่างบอบบางที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนเตียงอย่างอิดโรย “ข้าได้ยินว่าไป๋หรูอี๋แท้งบุตรจึงแวะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเพียงเท่านั้น” “เซินลี่ฮวา!” โม่เหยียนซวี่กัดฟันกรอด มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดพอง สายตาเพ่งมองนางราวกับจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ ไป๋หรูอี๋ที่นอนอยู่บนเตียงถึงกับเบิกตากว้างด้วยความคับแค้นในอก เมื่อสามปีก่อน นางยังจำความสุขของวันที่สตรีตรงหน้าถูกขับไล่ออกจากจวนได้ไม่ลืม แต่ไฉนวันนี้…อีกฝ่ายกลับมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเช่นนี้! นางฝืนยกตัวขึ้นเล็กน้อย แม้เสียงหวานจะแผ่วเบาแต่ก็ไม่อาจปิดบังความโกรธเคืองได้ “พี่หญิง…ขอได้โปรดระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งสูญเสียบุตรไปจะให้กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีได้อย่างไรกัน” เซินลี่ฮวายิ้มอ่อน “งั้นหรอกหรือ…” นางหันไปหาผิงอันสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามเสียงเรียบท่าทางงุนงง “ผิงอัน…เจ้าว่าข้าพูดผิดตรงไหนหรือไม่” ผิงอันพลางยอบกายลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างรู้งาน “สูญเสียบุตรไปทั้งคน…ย่อมต้องแสดงความเสียใจเจ้าค่ะฮูหยิน” เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะร้องอุทานออกมาอย่างกระจ่างแจ้งทันที “อืม…เช่นนี้เอง” ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ ทว่าดวงตาคู่งามกลับเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เซินลี่ฮวาเอ่ยด้วยเสียงเบาราวกระซิบแต่กลับก้องไปทั่วทั้งห้อง “บุตรชายที่แม่ทัพโม่เฝ้าใฝ่ฝันนักหนา…ว่ากันว่าแม้แต่เทพเซียนก็ยังต้องสั่นสะเทือนเมื่อจัดส่งวิญญาณลงมาเกิดให้แต่สุดท้ายกลับเลือกครรภ์ผิดเสียแล้วกระมัง” คำพูดของสตรีตรงหน้าเปรียบเสมือนมีดคมเฉือนใจ ไป๋หรูอี๋กัดริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว “…” โม่เหยียนซวี่ได้เลยจะทนฟังได้อีก ขมับของเขาเต้นตุบๆ จนปวดหัวไม่น้อย เขาสูดลมหายใจคล้ายกำลังตั้งสติอดกลั้นโทสะที่คับอกไม่ให้ปะทุออกมา น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา “กลับไปที่ของเจ้าซะ..เซินลี่ฮวา” นางระบายยิ้มกว้าง ดวงตาคู่งามเจือไปด้วยความเย้ยหยัน หาได้รู้สึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย “เข้าใจแล้ว…ข้าเพียงแค่มาทวงของคืนเท่านั้น แม่ทัพโม่ใจเย็นก่อนเถิดอย่าเพิ่งร้อนรนไปนัก”ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า