บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ…ความอึดอัดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ดวงตาคู่งามหลุบมองสตรีผู้นั้นเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดหลบเลี่ยง นางเอ่ยเสียงหวาน “วันนี้ข้าเดินทางไกลนัก…ยามนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยรีบจัดเตรียมเรือนนอนให้มารดาพักผ่อนเสีย” โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ดวงตาคมกริบเพ่งมองนางตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน…เซินลี่ฮวา” ไฉนเลยเข้าจะรู้…ว่าสตรีผู้นี้กลับมาเพราะเหตุใด แล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก! “กลับไป…ข้าควรกลับไปที่ใดหรือสามี” นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ ใบหน้าคนงามเรียบเฉยไร้ความเกรงกลัวใดๆ “เซินลี่ฮวา! เจ้ามิสิทธิ์กลับมาเหยียบที่นี่อีก ตั้งแต่วันนั้น…เมื่อสามปีก่อน!” น้ำเสียงทุ้มตะคอกก้องดังลั่นไปทั่วด้วยความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่คะบอกจนยากเกินจะควบคุม เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลางหัวเราะเบา ๆ เหอะ!...บุรุษผู้นี้โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ “ข้าเป็นภรรยาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้…มิอาจหย่าขาดได้ตามใจ” นางกล่าวออกมาอย่างเนิบช้าแต่ทุกถ้อยคำกลับเฉือนลึกยิ่งกว่าคมมีด “และหากข้าไร้สิทธิ์อันใด คงไม่เสียเวลาบากหน้าเหยียบที่แห่งนี้ให้แปดเปื้อนเท้าเป็นแน่” เหตุใดนางจะไม่มีสิทธิ์อันใดในจวนสกุลโม่กันเล่า…!? หนังสือหย่านางยังมิทันได้ลงนาม ยิ่งกว่านั้น…นี่เป็นสมรสมิสามารถหย่าขาดได้ตามใจชอบ ครานั้นหากมิใช่เพราะโม่เหยียนซวี่ออกศึกนำชัยชนะกลับ มาเมืองหลวงได้...นางก็คงไม่ต้องการกลายเป็นสตรีรางวัลที่ฝ่าบาทมอบให้แก่บุรุษผู้นี้ เช่นนั้น…ต่อให้ต้องตายลงโรงอย่างโดดเดี่ยวนางก็ไม่มีทาง ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกลับโม่เหยียนซวี่แน่ นางสาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว ดวงตาคู่งามกระจ่างจับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่งก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างดูแคลน “อย่าคิดว่าข้าจะยอมท่านอีก…โม่เหยียนซวี่!” โม่เหยียนซวี่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันอย่างโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา “เจ้าต้องการอันใดกันแน่” “ทวงคืนของของข้าอย่างไร” เสียงกลองศึกดังกึกก้องทั่วไปทั่วแคว้น ขบวนทัพที่นำโดยแม่ทัพโม่เหยียนซวี่กลับสู่เมืองหลวงอีกครั้งหลังได้รับชัยชนะกลับมาจากการทำศึกที่เหนือชายแดนตะวันตกอยู่นานหลายเดือน เหล่าชาวบ้านต่างมากมายออกมาต้อนรับเต็มสองข้างทางด้วยความภาคภูมิใจ เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง “แม่ทัพ!” “แม่ทัพโม่เหยียนซวี่!” ชัยชนะครานี้นับว่าสำคัญไม่น้อย หากพ่ายแพ้ก็คงไม่พ้นถูกยกเป็นนักโทษเชลยศึกมีลมหายใจไปวันๆ เท่านั้น มิหนำซ้ำ…ยามนี้ในวังหลวงยังจัดการเลี้ยงต้อนรับผู้นำทัพและเหล่าทหารกล้าด้วยความยินดีปรีดา เทียนฮ่องเต้สวมใส่อาภรณ์ปักลวดลายดิ้นมังกรอย่างประณีตนั่งอยู่บนแท่นสูงสุด ใบหน้าระบายยิ้มกว้างด้วยความอารมณ์ดีอย่างปิดไม่มิด พร้อมทั้งมีราชโองการพระราชทานรางวัลแก่เหล่าทหารผ่านศึกทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่แม่ทัพโม่เหยียนซวี่… ‘แม่ทัพโม่เหยียนซวี่…ทหารกล้าของแผ่นดิน มีความชอบในการศึกอย่างหาที่เปรียบมิได้ เจิ้นขอมอบรางวัลตอบแทนด้วยตำแหน่งและทรัพย์สินทองมีค่าเหล่านี้พร้อมราชสมรสแก่บุตรสาวตระกูลเซิน…เซินลี่ฮวา’ โม่เหยียนซวี่ในยามนั้นแม้ไม่อยากจะรับเอาไว้แต่จะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน วันนี้นับเป็นฤกษ์มงคลยิ่งกว่าคราใดในรอบปี บรรยากาศอบอวลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยครึกครื้น และกลิ่นหอมของกำยานอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นตามสายลมมา ราวกับสวรรค์ก็ร่วมอวยพรให้พิธีสมรสครั้งนี้ราบรื่นไร้เคราะห์ร้าย เซินลี่ฮวาสวมใส่ชุดอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงเพลิงอย่างงดงาม ใบหน้าคนงามซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนบางสีชาด มือเรียวทั้งสองยกขึ้นประสานกันสง่างามตามคำแนะนำของแม่สื่อซึ่งยืนอยู่บนแท่นพิธี นางช้อนสายตามองบุรุษตรงหน้าทว่าเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางเท่านั้น “หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน” “…” เซินลี่ฮวาค่อยๆ โค้งกายลงเล็กน้อยตามพิธี การแต่งงานครั้งนี้ นางไม่อาจปริปากพูดอันใดออกไปได้ทั้งที่ไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้เช่นกัน นี่คือสมรสพระราชทาน…สำหรับบุตรสาวที่ดีแล้ว ย่อมต้องกตัญญูรู้คุณตอบแทนบิดามารดา เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งกับบุรุษผู้ที่เป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกรย่อมถือเป็นเกียรติสูงสุดของสกุลเซิน “สอง…คำนับบิดา มารดา” “…” เสียงพูดของแม่สื่อยื่นอยู่บนแท่นบิดาเอ่ยออกมาเสียงดังก้องท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะพูดคุยเมื่อครู่ถูกกลืนหายไป เซินลี่ฮวาค่อยๆ หมุนกายไปยังที่ทางบิดามารดา มือทั้งสองประสานแน่นราวกับกำลังข่มความสั่นไหว จากนั้นจึงค่อยโค้งหัวลงเล็กน้อยตามพิธีการ ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น…ดวงตาคู่งามสั่นระริก ความรู้สึกมากมายพลันปะทุขึ้นจนคับอก แม่สื่อเอ่ยขึ้นอีกคราเป็นครั้งสุดท้าย “สาม…คำนับซึ่งกันและกัน” ทันใดนั้น เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นเพื่อแสดงความยินดี กับคู่บ่าวสาวสมรสพระราชทาน นางมิได้ต้องการและไม่ได้ปรารถนาจะกลายเป็นภรรยาของผู้ใดทั้งสิ้น ทว่ากลับมิสามารถปริปากเอ่ยพูดอันใดไปมากกว่านี้ บุรุษผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่…ไหนเลยจะพึงพอใจมีสตรีหลังจวนแค่เพียงผู้เดียวกัน เซินลี่ฮวายกยิ้มเยาะภายในผ้าคลุมผืนนั้นอย่างข่มขื่น นางกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “วางใจเถอะ…ข้าจะเป็นภรรยาที่ดี” ทว่ากลับนางนึกไม่ถึง…ว่าเขาจะได้ยิน เพียงชั่วพริบตานั้น น้ำเสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นใกล้หู ราบเรียบแต่หนักแน่น “ข้าเองก็เป็นสามีผู้อื่นครั้งแรก…ได้โปรดฮูหยินชี้แนะด้วยเถิด” นางชะงักเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจและพูดออกมา “หากท่านดีต่อข้า…ข้ารับปากว่าจะเป็นภรรยาที่ดี” เซินลี่ฮวาพลันหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อยเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะละสายตาจากบุรุษตรงหน้า นางปรายสายตาหันไปมองกวาดทั่วทั้งเรือนอันคุ้นตาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังสังเกต “นี่เป็นเรือนของข้า…มิใช่หรือ” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าใบหน้าคนงามจะปรากฏรอยยิ้มจางๆ ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่งกลับฉายแววไม่พอใจ “แม้ว่าข้าจะไม่อยู่หรือต่อให้ข้าจะตายกลายเป็นผีแต่หากข้าไม่เอ่ยปากยกให้ผู้ใด…เรือนนี้ก็ยังคงเป็นของข้า” สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านบานหน้าต่างเปิดกว้าง ผ้าโปร่งสีขาวพลิ้วไหวเช่นเดียวกับชายแขนเสื้อของนางที่สะบัดเบา หึ! คิดว่านางจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรอกหรือ…!? เซินลี่ฮวาพลางหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยแต่เยือกเย็นดุจก้อนน้ำแข็ง โม่เหยียนซวี่ได้ยินดังนั้นก็พลันแค่นเสียงเย้ยหยันออกมา สายตาคมกริบช้อนมองสตรีตรงหน้าด้วยความเหยียดหยาม เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทีละน้อยก่อนที่น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาทีละคำอย่างเย็นชา “จวนสกุลโม่เป็นของข้า เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์อันใดถึงกล้ากลับมาแผ่อำนาจเช่นนี้” มารดามันเถอะ! โม่เหยียนซวี่ กลับมาแผ่อำนาจอย่างงั้นหรือ…!? เซินลี่ฮวาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายตั้งสติ นางแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบมีด “อำนาจยังเป็นของข้าอยู่มิใช่รึ…ข้าหย่ากับท่านไปตั้งแต่เมื่อใดกันโม่เหยียนซวี่” นางเคยกล่าวไว้แล้วมิใช่หรือ… หากเขาดีต่อนาง…นางก็จะเป็นภรรยาที่ดีแต่ความรู้สึกที่เคยมีกลับสิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว โม่เหยียนซวี่ได้ยินแล้วพูดไม่ออก เขาถลึงตามองสตรีตรง หน้าอย่างโกรธเกรี้ยว มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูด “อวดดีนัก!” เขาตวาดลั่น ภายในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ไฉนเลยเขาไม่เคยคาดคิดว่า…เพียงแค่สามปีผ่านที่ผ่านมานี้ สตรีที่เคยอ่อนหวานและสงบเสงี่ยมราวกับผ้าพับไว้จะแปรเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ราวกับเป็นคนละคนก็ไม่ปาน นางเดินทางมาไกลนัก ยามนี้ก็เหนื่อยล้าเต็มทีสิ่งที่ต้องการมีเพียงการพักผ่อนเท่านั้น เซินลี่ฮวาค่อยๆ ละสายตาจากบุรุษตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วกล่าวว่า “ของที่มิใช่ของข้าเก็บออกไปให้หมด” “เซินลี่ฮวา...เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน!” “โม่เหยียนซวี่…หรือท่านลืมไปแล้วว่า ข้าคือภรรยาที่ได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทโดยชอบธรรม”ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.)บรรยากาศภายในจวนเริ่มตึงเครียดจนสัมผัสได้ เหล่าบ่าวรับใช้พากันหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงคนผู้หนึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ใจร้อนดั่งเปลวเพลิง เย็นชาเหมือนสายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้และแปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู…ส่วนอีกคนก็หาได้ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ดูแข็งกร้าวราว เกรงว่าต่อให้มีคมดาบจ่อคอก็ไม่คิดจะถอยกระมังพวกบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอย่างหวาดหวั่น คาดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างจึงรีบพากันตรงดิ่งไปยังเรือนหลัก หวังว่าภรรยาอีกคนของนายท่านจะช่วยห้ามทัพได้บ้าง!ทว่าตอนเช้าเช่นนี้ ไหนเลยไป๋หรูอี๋จะลืมตาตื่นได้หากยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดลงกลางหัวเสียก่อน…นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ไม่หยุด ราวกับว่าหากไม่ตื่นขึ้นมาเปิด…เสียงเคาะนั่นก็คงไม่เลิกราไปง่ายๆไป๋หรูอี๋ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิดแท้จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนักหนา แต่ในความคิดของนาง…หากไม่มีใครตายก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปลุกนางให้ตื่นในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ได้แน่!ไป๋หรูอี๋สะบัดผ้าห่มลุกขึ้นด้วย
แม้ว่า เซินลี่ฮวาจะได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทให้แต่งกับโม่เหยียนซวี่…ทว่าก็มิใช่ว่านางจะต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ว่ากันตามตรงแล้ว เซินลี่ฮวานับเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้มีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังเพียบพร้อมในทุกด้านนางหาใช่สตรีสามัญธรรมดาไม่…แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์โดยแท้มิหนำซ้ำด้วยสถานะของเซินลี่ฮวา ไม่เพียงแค่เป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก..นางยังเป็นหลานสาวของพระสนมในวังหลวงอีกด้วยยังจะมีผู้ใดกล้าหมิ่นเกียรติได้ง่ายๆเพียงเพราะโม่เหยียนซวี่หาได้มีใจรักใคร่ต่อนางอย่างลึกล้ำ เขาจึงหันไปคว้าสตรีต่ำต้อยจากหอนางโลมข้ามหน้าข้ามตานางไป ไม่สนใจไยดีและไม่แม้แต่จะเห็นความไม่ยุติธรรมที่นางได้รับหึ! ยามนี้มารดากลับมาสะสางความแค้นแล้วหากเขาคิดจะผลักไสนางเช่นนี้…ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอมหลีกทางให้อีกต่อไป!“คิดจะทิ้งนางเพื่อไปยกย่องสตรีใดก็เชิญเถิด...แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองความสงบสุขไปตลอด”ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นแฝงความเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้แต่เถ้าแก่โรงไม้มองเห็นแล้วยังต้องสะดุ้งและกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากเหตุใดเพียงแค่มองแวบเดียว
วันนี้เพียงแค่ฮูหยินใหญ่กลับมาถึงจวนได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทว่าทุกสิ่งภายในจวนสกุลโม่กลับแปรเปลี่ยนไปราวกับผ่านไปนานนับสิบปีโม่เหยียนซวี่ค่อยๆ ประคองร่างของไป๋หรูอี๋วางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เขาก้มตัวถอดรองเท้าให้นางด้วยมือของตนเองก่อนจะจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงยกผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีทะนุถนอมราวกับกลัวว่านางเจ็บระบมไป๋หรูอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าแขนเขาไว้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่หม่นแสงเงยขึ้นสบสายตาบุรุษตรงหน้าอย่างสงสาร“เป็นความผิดของข้าเอง…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ราวกับว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ“หึ! นี่หาใช่ความผิดของเจ้า” เขากัดฟันกรอดตอบออกมายามนี้ภายในใจของโม่เหยียนซวี่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นรุนแรงราวจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ สตรีผู้นั้น…นางกล้าดียิ่งนักไม่เพียงแต่ย่างเท้ากลับมาจวนหน้าตาเฉย ยังบังอาจอวดดีแสดงอำนาจเหนือผู้ใดในฐานะภรรยาพระราชทานนางคิดหรือว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้งั้นรึ!?สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายแววกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เสมือนกับพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในพริบตาเดียว“…”ไป๋หรูอี๋มองสามีตาปริบๆ พอเห็นท่าที
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ…ความอึดอัดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วบริเวณเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ดวงตาคู่งามหลุบมองสตรีผู้นั้นเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดหลบเลี่ยงนางเอ่ยเสียงหวาน “วันนี้ข้าเดินทางไกลนัก…ยามนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยรีบจัดเตรียมเรือนนอนให้มารดาพักผ่อนเสีย”โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ดวงตาคมกริบเพ่งมองนางตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน…เซินลี่ฮวา”ไฉนเลยเข้าจะรู้…ว่าสตรีผู้นี้กลับมาเพราะเหตุใด แล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก!“กลับไป…ข้าควรกลับไปที่ใดหรือสามี” นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ ใบหน้าคนงามเรียบเฉยไร้ความเกรงกลัวใดๆ“เซินลี่ฮวา! เจ้ามิสิทธิ์กลับมาเหยียบที่นี่อีก ตั้งแต่วันนั้น…เมื่อสามปีก่อน!” น้ำเสียงทุ้มตะคอกก้องดังลั่นไปทั่วด้วยความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่คะบอกจนยากเกินจะควบคุมเซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลางหัวเราะเบา ๆเหอะ!...บุรุษผู้นี้โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ“ข้าเป็นภรรยาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้…มิอาจหย่าขาดได้ตามใจ” นางกล่
หากเป็นเมื่อสามปีก่อน เซินลี่ฮวาคงมิได้มีความกล้าเท่านี้ เพียงแค่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่...หยาดน้ำตาใสก็พลันไหลรินอาบแก้มทันทีเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว นางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับในอกที่รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว...แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาดต่างหากหลังจากที่โม่เหยียนซวี่ไล่นางออกจากจวนไปแล้ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสตรีผู้นั้นอย่างมีความสุข...โดยไม่รู้สึกผิดใดเลยเชียวหรือ!?หึ...นางอยากเห็นนักว่าเขาจะทำหน้าเช่นไร เมื่อภรรยาที่เคยขับไล่ราวกับสิ่งไร้ค่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง!พอนึกแล้ว…เซินลี่ฮวาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์“รีบไปกันเถอะผิงอัน…ข้าคิดถึงสามียิ่งนัก”เดิมทีบรรยากาศยามนี้ก็มืดครึ้มด้วยหมอกเมฆตั้งเค้าราวกับพายุใหญ่กำลังจะกระหน่ำลงมา ทว่าดูเหมือนว่า...จวนสกุลโม่คงเผชิญเข้ากับพายุลูกใหญ่เข้าให้จริงๆ แล้วเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าจวน ต่างจับจ้องแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ที่กำลังย่างเท้าเข้าไปด้านใน…บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความตึงเครียด แล้วรีบแซงหน้าอีกฝ่ายไปอย่างร้อนรนอย่
วันนี้ตลอดทั้งวันท้องฟ้าแจ่มใสมีแสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณจนร้อนอบอ้าวแต่เพียงชั่วพริบตาเมื่อยามพลบค่ำ เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดมิดสนิทราวกับพายุกำลังจะพัดพาฝนห่าใหญ่มาสาดกระหน่ำสายลมแรงพัดกระหน่ำจนทุกสิ่งจนปลิวว่อน เสียงลากล้อรถม้าค่อยๆ ลากตามพื้นมาดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ อย่างน่าหวาดกลัวจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลโม่สาวใช้พลางเร่งรีบลงจากลงม้าก่อนจะยื่นมือออกไปประคองผู้เป็นนายหญิงอย่างรวดเร็วเซินลี่ฮวาในชุดผ้าไหมสีครามเข้มประดับด้วยลวดลายดอกเหมย นางก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังโดยมีสาวใช้คอยประคองเอาไว้สตรีที่ถูกสามีทอดทิ้ง ไฉนคิดว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้อารมณ์ฉายออกมาแต่ดวงตาคู่งามกลับสื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงอดีตที่ปวดร้าวและความโกรธที่รอวันสะสางเอาคืนหึ! สามีที่ดีไหนเลยจะทอดทิ้งภรรยาแล้วยกย่องสตรีอื่นทันทีที่ได้เห็น คนงานชายเฝ้าหน้าประตูพลางเบิกตาโพลงกว้างทันที ท่าทางประหนึ่งว่ากำลังเห็นผีก็ไม่ปาน“นั่นคือฮูหยิน...ภรรยาของแม่ทัพโม่ใช่หรือไม่”เมื่อสาวใช้ของเซินลี่ฮวาได้ฟังแล้ว ผิงอันพลางหันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวางทันที นางส่งเสียงฮึดฮ