บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ…ความอึดอัดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ดวงตาคู่งามหลุบมองสตรีผู้นั้นเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดหลบเลี่ยง นางเอ่ยเสียงหวาน “วันนี้ข้าเดินทางไกลนัก…ยามนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยรีบจัดเตรียมเรือนนอนให้มารดาพักผ่อนเสีย” โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ดวงตาคมกริบเพ่งมองนางตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน…เซินลี่ฮวา” ไฉนเลยเข้าจะรู้…ว่าสตรีผู้นี้กลับมาเพราะเหตุใด แล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก! “กลับไป…ข้าควรกลับไปที่ใดหรือสามี” นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ ใบหน้าคนงามเรียบเฉยไร้ความเกรงกลัวใดๆ “เซินลี่ฮวา! เจ้ามิสิทธิ์กลับมาเหยียบที่นี่อีก ตั้งแต่วันนั้น…เมื่อสามปีก่อน!” น้ำเสียงทุ้มตะคอกก้องดังลั่นไปทั่วด้วยความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่คะบอกจนยากเกินจะควบคุม เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลางหัวเราะเบา ๆ เหอะ!...บุรุษผู้นี้โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ “ข้าเป็นภรรยาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้…มิอาจหย่าขาดได้ตามใจ” นางกล่าวออกมาอย่างเนิบช้าแต่ทุกถ้อยคำกลับเฉือนลึกยิ่งกว่าคมมีด “และหากข้าไร้สิทธิ์อันใด คงไม่เสียเวลาบากหน้าเหยียบที่แห่งนี้ให้แปดเปื้อนเท้าเป็นแน่” เหตุใดนางจะไม่มีสิทธิ์อันใดในจวนสกุลโม่กันเล่า…!? หนังสือหย่านางยังมิทันได้ลงนาม ยิ่งกว่านั้น…นี่เป็นสมรสมิสามารถหย่าขาดได้ตามใจชอบ ครานั้นหากมิใช่เพราะโม่เหยียนซวี่ออกศึกนำชัยชนะกลับ มาเมืองหลวงได้...นางก็คงไม่ต้องการกลายเป็นสตรีรางวัลที่ฝ่าบาทมอบให้แก่บุรุษผู้นี้ เช่นนั้น…ต่อให้ต้องตายลงโรงอย่างโดดเดี่ยวนางก็ไม่มีทาง ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกลับโม่เหยียนซวี่แน่ นางสาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว ดวงตาคู่งามกระจ่างจับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่งก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างดูแคลน “อย่าคิดว่าข้าจะยอมท่านอีก…โม่เหยียนซวี่!” โม่เหยียนซวี่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันอย่างโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา “เจ้าต้องการอันใดกันแน่” “ทวงคืนของของข้าอย่างไร” เสียงกลองศึกดังกึกก้องทั่วไปทั่วแคว้น ขบวนทัพที่นำโดยแม่ทัพโม่เหยียนซวี่กลับสู่เมืองหลวงอีกครั้งหลังได้รับชัยชนะกลับมาจากการทำศึกที่เหนือชายแดนตะวันตกอยู่นานหลายเดือน เหล่าชาวบ้านต่างมากมายออกมาต้อนรับเต็มสองข้างทางด้วยความภาคภูมิใจ เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง “แม่ทัพ!” “แม่ทัพโม่เหยียนซวี่!” ชัยชนะครานี้นับว่าสำคัญไม่น้อย หากพ่ายแพ้ก็คงไม่พ้นถูกยกเป็นนักโทษเชลยศึกมีลมหายใจไปวันๆ เท่านั้น มิหนำซ้ำ…ยามนี้ในวังหลวงยังจัดการเลี้ยงต้อนรับผู้นำทัพและเหล่าทหารกล้าด้วยความยินดีปรีดา เทียนฮ่องเต้สวมใส่อาภรณ์ปักลวดลายดิ้นมังกรอย่างประณีตนั่งอยู่บนแท่นสูงสุด ใบหน้าระบายยิ้มกว้างด้วยความอารมณ์ดีอย่างปิดไม่มิด พร้อมทั้งมีราชโองการพระราชทานรางวัลแก่เหล่าทหารผ่านศึกทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่แม่ทัพโม่เหยียนซวี่… ‘แม่ทัพโม่เหยียนซวี่…ทหารกล้าของแผ่นดิน มีความชอบในการศึกอย่างหาที่เปรียบมิได้ เจิ้นขอมอบรางวัลตอบแทนด้วยตำแหน่งและทรัพย์สินทองมีค่าเหล่านี้พร้อมราชสมรสแก่บุตรสาวตระกูลเซิน…เซินลี่ฮวา’ โม่เหยียนซวี่ในยามนั้นแม้ไม่อยากจะรับเอาไว้แต่จะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน วันนี้นับเป็นฤกษ์มงคลยิ่งกว่าคราใดในรอบปี บรรยากาศอบอวลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยครึกครื้น และกลิ่นหอมของกำยานอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นตามสายลมมา ราวกับสวรรค์ก็ร่วมอวยพรให้พิธีสมรสครั้งนี้ราบรื่นไร้เคราะห์ร้าย เซินลี่ฮวาสวมใส่ชุดอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงเพลิงอย่างงดงาม ใบหน้าคนงามซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนบางสีชาด มือเรียวทั้งสองยกขึ้นประสานกันสง่างามตามคำแนะนำของแม่สื่อซึ่งยืนอยู่บนแท่นพิธี นางช้อนสายตามองบุรุษตรงหน้าทว่าเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางเท่านั้น “หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน” “…” เซินลี่ฮวาค่อยๆ โค้งกายลงเล็กน้อยตามพิธี การแต่งงานครั้งนี้ นางไม่อาจปริปากพูดอันใดออกไปได้ทั้งที่ไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้เช่นกัน นี่คือสมรสพระราชทาน…สำหรับบุตรสาวที่ดีแล้ว ย่อมต้องกตัญญูรู้คุณตอบแทนบิดามารดา เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งกับบุรุษผู้ที่เป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกรย่อมถือเป็นเกียรติสูงสุดของสกุลเซิน “สอง…คำนับบิดา มารดา” “…” เสียงพูดของแม่สื่อยื่นอยู่บนแท่นบิดาเอ่ยออกมาเสียงดังก้องท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวเราะพูดคุยเมื่อครู่ถูกกลืนหายไป เซินลี่ฮวาค่อยๆ หมุนกายไปยังที่ทางบิดามารดา มือทั้งสองประสานแน่นราวกับกำลังข่มความสั่นไหว จากนั้นจึงค่อยโค้งหัวลงเล็กน้อยตามพิธีการ ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น…ดวงตาคู่งามสั่นระริก ความรู้สึกมากมายพลันปะทุขึ้นจนคับอก แม่สื่อเอ่ยขึ้นอีกคราเป็นครั้งสุดท้าย “สาม…คำนับซึ่งกันและกัน” ทันใดนั้น เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นเพื่อแสดงความยินดี กับคู่บ่าวสาวสมรสพระราชทาน นางมิได้ต้องการและไม่ได้ปรารถนาจะกลายเป็นภรรยาของผู้ใดทั้งสิ้น ทว่ากลับมิสามารถปริปากเอ่ยพูดอันใดไปมากกว่านี้ บุรุษผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่…ไหนเลยจะพึงพอใจมีสตรีหลังจวนแค่เพียงผู้เดียวกัน เซินลี่ฮวายกยิ้มเยาะภายในผ้าคลุมผืนนั้นอย่างข่มขื่น นางกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “วางใจเถอะ…ข้าจะเป็นภรรยาที่ดี” ทว่ากลับนางนึกไม่ถึง…ว่าเขาจะได้ยิน เพียงชั่วพริบตานั้น น้ำเสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นใกล้หู ราบเรียบแต่หนักแน่น “ข้าเองก็เป็นสามีผู้อื่นครั้งแรก…ได้โปรดฮูหยินชี้แนะด้วยเถิด” นางชะงักเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจและพูดออกมา “หากท่านดีต่อข้า…ข้ารับปากว่าจะเป็นภรรยาที่ดี” เซินลี่ฮวาพลันหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อยเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะละสายตาจากบุรุษตรงหน้า นางปรายสายตาหันไปมองกวาดทั่วทั้งเรือนอันคุ้นตาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังสังเกต “นี่เป็นเรือนของข้า…มิใช่หรือ” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าใบหน้าคนงามจะปรากฏรอยยิ้มจางๆ ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่งกลับฉายแววไม่พอใจ “แม้ว่าข้าจะไม่อยู่หรือต่อให้ข้าจะตายกลายเป็นผีแต่หากข้าไม่เอ่ยปากยกให้ผู้ใด…เรือนนี้ก็ยังคงเป็นของข้า” สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านบานหน้าต่างเปิดกว้าง ผ้าโปร่งสีขาวพลิ้วไหวเช่นเดียวกับชายแขนเสื้อของนางที่สะบัดเบา หึ! คิดว่านางจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรอกหรือ…!? เซินลี่ฮวาพลางหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยแต่เยือกเย็นดุจก้อนน้ำแข็ง โม่เหยียนซวี่ได้ยินดังนั้นก็พลันแค่นเสียงเย้ยหยันออกมา สายตาคมกริบช้อนมองสตรีตรงหน้าด้วยความเหยียดหยาม เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทีละน้อยก่อนที่น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาทีละคำอย่างเย็นชา “จวนสกุลโม่เป็นของข้า เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์อันใดถึงกล้ากลับมาแผ่อำนาจเช่นนี้” มารดามันเถอะ! โม่เหยียนซวี่ กลับมาแผ่อำนาจอย่างงั้นหรือ…!? เซินลี่ฮวาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่คล้ายตั้งสติ นางแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบมีด “อำนาจยังเป็นของข้าอยู่มิใช่รึ…ข้าหย่ากับท่านไปตั้งแต่เมื่อใดกันโม่เหยียนซวี่” นางเคยกล่าวไว้แล้วมิใช่หรือ… หากเขาดีต่อนาง…นางก็จะเป็นภรรยาที่ดีแต่ความรู้สึกที่เคยมีกลับสิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว โม่เหยียนซวี่ได้ยินแล้วพูดไม่ออก เขาถลึงตามองสตรีตรง หน้าอย่างโกรธเกรี้ยว มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูด “อวดดีนัก!” เขาตวาดลั่น ภายในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ไฉนเลยเขาไม่เคยคาดคิดว่า…เพียงแค่สามปีผ่านที่ผ่านมานี้ สตรีที่เคยอ่อนหวานและสงบเสงี่ยมราวกับผ้าพับไว้จะแปรเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ราวกับเป็นคนละคนก็ไม่ปาน นางเดินทางมาไกลนัก ยามนี้ก็เหนื่อยล้าเต็มทีสิ่งที่ต้องการมีเพียงการพักผ่อนเท่านั้น เซินลี่ฮวาค่อยๆ ละสายตาจากบุรุษตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วกล่าวว่า “ของที่มิใช่ของข้าเก็บออกไปให้หมด” “เซินลี่ฮวา...เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน!” “โม่เหยียนซวี่…หรือท่านลืมไปแล้วว่า ข้าคือภรรยาที่ได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทโดยชอบธรรม”ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า