คฤหาสน์สกุลเติ้ง“นายท่าน”คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย เมื่อเห็นความกังวลบนสีหน้าของพ่อบ้าน“ว่าอย่างไร” แล้วหันไปอุ้มภรรยาลงจากรถม้า ไม่ได้สนใจต่อสายตาของบ่าวไพร่แต่อย่างใด ผิดกับคนถูกอุ้มที่หน้าแดงก่ำ“มีสตรีมาจากเมืองหลวง นางบอกว่าเป็น..” พ่อบ้านรอจนเขาอุ้มฮูหยินลงจากรถม้าเรียบร้อยแล้วจึงรายงาน“พูดมา” เห็นท่าทางอ้ำอึ้งผิดนิสัยของพ่อบ้านก็ยิ่งอยากรู้“นางบอกว่าเป็นคนรู้ใจของนายท่าน” พ่อบ้านลดเสียงลงเป็นกระซิบเพราะไม่อยากให้ฮูหยินได้ยิน“คนรู้ใจของข้าหรือ..ผู้ใดกัน” ถามกลับด้วยความแปลกใจ ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “หมี่มี่หรือ”“ใช่” แล้วชี้ไปที่รถม้าที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงมุมกำแพงคฤหาสน์เขามองตามนิ้วมือของพ่อบ้าน คิ้วที่เพิ่งคลายปมขมวดเข้าหากันใหม่ เมื่อเห็นเกวียนหลายคันที่จอดอยู่“ขนมาขนาดนั้น จะมาอยู่ถาวรเลยหรือไร”“นางว่าอย่างนั้น”เขาเพียงแค่ถามประชด แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้หงุดหงิดไปเลย“ข้าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว จะให้นางมาอยู่ด้วยได้อย่างไร”“บ้านท่านออกจะใหญ่โต ให้นางอยู่ด้วยสักคนคงไม่เป็นไร”คำพูดบาดหูที่ดังอยู่ใกล้ ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา ทำให้เขาขุ่นเคืองใจทันที นี่นางไม่ไ
ซินซินมองบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวคำพูดตรงไปตรงมาของตนจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจูเกอรู้ดีว่าถึงเวลาที่เขาต้องพูดแล้ว เขามองบุตรสาวของสหายรักในอดีต ส่งสายตาปลอบโยนว่าไม่เป็นไร เขาจะช่วยนางเอง“เจ้าบ่าวในวันนั้นคือท่านเติ้ง ข้าเป็นพยานได้”จูอินแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำพูดของสามี โมโหจนชี้นิ้วที่สั่นเทาใส่หน้าเขา“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า!”“อย่ามาชี้นิ้วใส่ข้า” จูเกอใช้สายตากับน้ำเสียงเย็นยะเยือก“เจ้าเห็นมันดีกว่าข้าเสมอ คอยปกป้องมันตลอด ไม่เห็นข้ากับหนี่เอ๋อร์อยู่ในสายตาเลย เจ้ารักมันหลงมัน!!” ความโกรธทำให้ความกริ่งเกรงสามีลดลง ชี้นิ้วใส่เขาราวคนขาดสติเพล้ง!“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไรอาอิน แม้แต่กับลูกเจ้ายังริษยาได้เช่นนี้ เจ้าเป็นแม่แบบไหนกัน”“นางไม่ใช่ลูกของข้า!!”“เจ้าเป็นคนคลอดนางออกมา เจ้าแบกท้องนางอยู่หลายเดือนข้าก็เห็น”“แต่ข้าเกลียดมันเหมือนที่เกลียดพ่อของมันนั่นแหละ ข้าสาปแช่งมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ตายตามพ่อมันไป ถูกข้าทรมานสารพัดก็ยังหัวแข็งอยู่มาจนโต จนมาตอนนี้ข้าหวังจะให้มันได้แต่งกับตาเฒ่ามักมาก ให้ถูกโขกสับจากบรรดาเมีย ๆ ลูก ๆ ของเขา แต่มันก็ยังมาแย
เติ้งอี้เทียนมองคนข้าง ๆ อมยิ้มกับความงามที่อาจจะไม่ได้งามล่มเมืองล่มแคว้น แต่ก็งามบาดใจจนเป็นแผลฉกรรจ์ได้เลยการแสดงออกของเขาไม่รอดพ้นสายตาของจูอิน“ข้าคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าลูกเขยเสิ่นมาด้วย” จูอินเริ่มเปิดบทสนทนาระหว่างมื้ออาหาร“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มา” อี้เทียนตอบยิ้ม ๆ คีบเนื้อปลาต้มหวาน อาหารจานที่ดีที่สุดบนโต๊ะ ใส่ถ้วยข้าวให้สตรีข้างกายอยากบอกให้นางทนกินอาหารรสชาติแย่ กับเนื้อปลาที่ไม่ได้เรื่องนี้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปกินของอร่อยที่บ้านเรา แต่ก็ต้องสำรวมอาการเอาไว้อ้ายเหม่ยปวดใจกับความใส่ใจของอี้เทียน โกรธเกลียดซินซินจนตัวสั่น แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ได้แต่กำมือข่มกลั้นเอาไว้จูอินอยากจะตำหนิการกระทำของอี้เทียนด้วยถ้อยคำรุนแรง ที่เขาทำตัวไร้ยางอาย เห็นเมียชาวบ้านดีกว่าลูกสาวของนางจูก่านต้งเองก็ตกใจกับการกระทำของอี้เทียน แต่พอมองไปทางบิดาและเห็นท่านยังนิ่ง จึงได้แต่นั่งกินไปเงียบ ๆ“หัวอกของคนเป็นแม่ก็แบบนี้ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ห่วงใยเขาเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ อีกคน”
ยามซื่อเค่อที่หกจูอ้ายเหม่ยถึงกับชักสีหน้าด้วยความริษยา เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตัวเองเกลียด เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับบิดาแต่ไกล“ท่านแม่ ทำไมนางถึงดูดีมีสง่าราศีเพียงนั้น ไม่เห็นเหมือนกับที่ท่านเคยบอกข้าไว้เลย” ท่านแม่บอกว่านางได้ติดสินบนอนุของผู้เฒ่าเสิ่นไว้หลายคน ให้ข่มเหงรังแกซินซินให้มาก อย่าให้นางได้อยู่อย่างสุขสบายแต่ที่เห็นในตอนนี้มันห่างไกลจากคำนั้นมาก คนละขั้วดั่งหยินกับหยาง ดำกับขาว ร้อนกับเย็น ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกันเลยบนศีรษะของนางมีเครื่องประดับที่งดงาม มองห่าง ๆ แบบนี้ยังดูออกว่าเป็นของดีมีราคา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดีกว่าชุดที่แพงที่สุดที่ตนใส่ในตอนนี้ ทุกอย่างในตัวนางล้วนดูดีดูแพงไปหมดแม้แต่กลิ่นตัวที่เคยมีแต่กลิ่นแป้ง บัดนี้ยืนห่างเป็นจั้งยังหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมชั้นดีหน้าตาที่เคยจืดชืดและมอมแมมไปด้วยแป้ง ตอนนี้มีแต่ความผุดผ่องเกลี้ยงเกลา สวยสะดุดตาแทบจำไม่ได้“ท่านแม่! นางเพิ่งแต่งงานได้แค่สามวัน แต่ทำไมถึงดูดีขนาดนั้น” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขัดใจ“อยู่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ ดูท่าทีนางไ
เรือนใหญ่ “เมื่อวานตอนที่ทำพิธี ทำไมซินเอ๋อร์ถึงไม่เห็นญาติผู้ใหญ่ของท่านเลย” มือที่จับตะเกียบชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะถูกถามแบบนี้ “เพราะข้าย้ายมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนพวกเขาล้วนอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงกันหมด งานแต่งงานก็ต้องปิดเป็นความลับจากแม่เจ้า ถ้าบอกให้พวกเขารู้คงเอิกเกริกปิดไม่มิด จึงต้องเชิญแค่คนสำคัญไม่กี่คนในเมืองนี้เพื่อให้เป็นพยาน” “อ้อ..แบบนี้ท่านคงเหงาแย่สินะ” “ไม่เหงาหรอก ข้าชอบอยู่แบบนี้มากกว่า สงบดี” “แล้วท่านไม่คิดถึงพวกเขาบ้างหรือ” “เราติดต่อกันทางจดหมายตลอด ถ้ามีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเมืองหลวง ไปทำความรู้จักกับพวกเขานะ” เขาไม่ได้อยากไปเยี่ยมญาติหรอก แต่ตั้งใจจะพานางไปพบกับครอบครัวของบิดานางต่างหาก “เจ้าค่ะ ตั้งแต่เกิดมาซินเอ๋อร์ก็ไม่เคยได้ออกนอกหมู่บ้านสักครั้ง ซินเอ๋อร์จะตั้งใจรอนะเจ้าคะ” “แล้วเคยไปเที่ยวงานเทศกาลต่าง ๆ บ้างไหม” “ไม่เคยหรอกเจ้าค่ะ กว่าซินเอ๋อร์จะทำงานเสร็จงานก็เลิกหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย” “เคยไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างเล่า
เช้าวันใหม่ไป๋ซินซินสะดุ้งสุดตัว เมื่อลืมตาแล้วเห็นความสว่างทั่วทั้งห้อง“ข้าสายแล้ว!” อุทานด้วยความตกใจ เพราะกลัวจะโดนมารดาลงโทษ.. แต่เมื่อเห็นเตียงและผ้าม่านที่ปิดล้อมเอาไว้ ก็นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในบ้านของสกุลจูแล้ว“ตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มกังวาลที่ดังขึ้นทำให้รู้สึกเขินอายในทันที เมื่อคืนเขากลับเข้าห้องมาตอนไหน ทำไมนางถึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดนี่นางหลับเอาเป็นเอาตายเลยหรือโธ่! น่าขายหน้านัก“นายท่าน ข้าน้อยนอนหลับลึกไปหน่อย นายท่านอย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ”มือใหญ่รูดผ้าม่านไปผูกกับเสาเตียง เพราะอยากเห็นใบหน้ายามตื่นนอนของนาง เมื่อคืนหลังจากจบงานเลี้ยงเขาก็กลับมาที่ห้อง แต่กลายเป็นว่าเจ้าสาวของเขานอนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ จึงทำได้แค่ดูนางนอนหลับจนเผลอหลับตามไปเมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นนางยังนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม จึงรีบตรวจดู พอเห็นว่ายังหายใจก็นึกขันกับความขี้เซาของนางที่นางเป็นเช่นนี้ก็คงเพราะทุกข์ใจ จนทำให้นอนไม่ค่อยหลับมาหลายวัน หรืออาจจะเป็นเพราะทั้งชีวิตไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลยสักวัน ไม่เคยได้นอนบนที่นอนดี ๆ ที่ทำให้หลับสบายแบบนี้แต่ยิ่งมองก็ยิ่งใจสั่น ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู แล้วก็เผล