นางส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนใจเป็นพยักหน้ายอมรับ“ซินเอ๋อร์ทั้งตื่นเต้นและกลัวนิดหน่อย ซินเอ๋อร์ขอแก้ตัวอีกครั้งได้ไหม ซินเอ๋อร์จะพยายาม”แววตาที่เกือบจะมีน้ำตาของนางทำให้เขารู้สึกผิด เขาคงต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ ค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับนางไปทีละน้อย เขาลูบแก้มนวลเบา ๆ ด้วยความถนอม“ไม่เป็นไร เราจะค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป วันนี้พอแค่นี้ก่อน”“เจ้าค่ะ ซินเอ๋อร์เชื่อท่าน” เห็นทีนางต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับอาซาเสียแล้ว“เด็กดีของข้า” แล้วฉกจูบเบา ๆ ลงบนกลีบปากนุ่ม “วันนี้ข้าขอแค่นี้พอ”หญิงสาวเอียงอายนจนต้องรีบลุกขึ้น “เหล่ากงนอนพักสักหน่อยเถิด”เขารีบดึงมือนางไว้ “แล้วเจ้าจะไปไหน”“ซินเอ๋อร์จะเข้าครัวทำซาลาเปากับขนมจีบให้แม่นางหมี่สักหน่อย”“ไม่ต้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของห้องครัวเขาไปเถิด ส่วนอาหารฝีมือเจ้าเก็บไว้ทำให้ข้ากินคนเดียวก็พอ”“แต่นางเป็นแขกคนสำคัญของท่านนะ”“นางไม่ได้สำคัญกับข้าขนาดนั้น.. ข้าแต่งเจ้ามาเป็นเมีย หน้าที่ของเมียข้าคือแต่งตัวให้งดงามก็พอ”“ซินเอ๋อร์โชคดีนักที่ได้แต่งงานกับท่าน” มือเล
ไป๋ซินซินมองสามี คิดตามไม่ทันว่าเขาพูดจริงหรือโกหก เพราะนางก็เพิ่งแต่งเข้ามาได้แค่สามวัน ยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับที่นี่สักอย่าง“ขอบคุณฮูหยิน” หมี่มี่จำใจต้องย่อกายให้สตรีที่เด็กกว่า เขาเจตนายกย่องภรรยา สื่อให้รู้ว่านางเป็นเพียงแค่แขกคนหนึ่งเท่านั้น“แม่นางหมี่ไม่ต้องเกรงใจ” แล้วหันไปมองสามี “เหล่ากง นาน ๆ ท่านจะได้เจอกับเพื่อนเก่า อยู่คุยกันตามสบายเถิด ข้าไม่รบกวนแล้ว”อี้เทียนขัดใจกับความหวังดีของภรรยา แต่ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้นางเพราะถูกใจคำว่าเหล่ากง“นางเพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ ให้นางพักผ่อนก่อนดีกว่า.. พ่อบ้าน พานางไปพักที่เรือนรับรองแขก” ตอบภรรยาแล้วหันไปมองพ่อบ้าน“ขอรับ เชิญแม่นางหมี่”“เย็นนี้ค่อยมากินข้าวพร้อมหน้ากัน” เขาบอกกับนางก่อนจะแยกย้าย“ก็ดีเหมือนกัน”“ต้องการอะไรก็บอกคนของข้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”“ขอบคุณ เย็นนี้เจอกัน”เมื่อหมี่มี่เดินไปกับพ่อบ้านแล้ว เขาจึงใช้ไม้เท้าค่อย ๆ พยุงตัวจะลุกขึ
คฤหาสน์สกุลเติ้ง“นายท่าน”คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย เมื่อเห็นความกังวลบนสีหน้าของพ่อบ้าน“ว่าอย่างไร” แล้วหันไปอุ้มภรรยาลงจากรถม้า ไม่ได้สนใจต่อสายตาของบ่าวไพร่แต่อย่างใด ผิดกับคนถูกอุ้มที่หน้าแดงก่ำ“มีสตรีมาจากเมืองหลวง นางบอกว่าเป็น..” พ่อบ้านรอจนเขาอุ้มฮูหยินลงจากรถม้าเรียบร้อยแล้วจึงรายงาน“พูดมา” เห็นท่าทางอ้ำอึ้งผิดนิสัยของพ่อบ้านก็ยิ่งอยากรู้“นางบอกว่าเป็นคนรู้ใจของนายท่าน” พ่อบ้านลดเสียงลงเป็นกระซิบเพราะไม่อยากให้ฮูหยินได้ยิน“คนรู้ใจของข้าหรือ..ผู้ใดกัน” ถามกลับด้วยความแปลกใจ ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “หมี่มี่หรือ”“ใช่” แล้วชี้ไปที่รถม้าที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงมุมกำแพงคฤหาสน์เขามองตามนิ้วมือของพ่อบ้าน คิ้วที่เพิ่งคลายปมขมวดเข้าหากันใหม่ เมื่อเห็นเกวียนหลายคันที่จอดอยู่“ขนมาขนาดนั้น จะมาอยู่ถาวรเลยหรือไร”“นางว่าอย่างนั้น”เขาเพียงแค่ถามประชด แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้หงุดหงิดไปเลย“ข้าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว จะให้นางมาอยู่ด้วยได้อย่างไร”“บ้านท่านออกจะใหญ่โต ให้นางอยู่ด้วยสักคนคงไม่เป็นไร”คำพูดบาดหูที่ดังอยู่ใกล้ ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา ทำให้เขาขุ่นเคืองใจทันที นี่นางไม่ไ
ซินซินมองบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวคำพูดตรงไปตรงมาของตนจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจูเกอรู้ดีว่าถึงเวลาที่เขาต้องพูดแล้ว เขามองบุตรสาวของสหายรักในอดีต ส่งสายตาปลอบโยนว่าไม่เป็นไร เขาจะช่วยนางเอง“เจ้าบ่าวในวันนั้นคือท่านเติ้ง ข้าเป็นพยานได้”จูอินแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำพูดของสามี โมโหจนชี้นิ้วที่สั่นเทาใส่หน้าเขา“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า!”“อย่ามาชี้นิ้วใส่ข้า” จูเกอใช้สายตากับน้ำเสียงเย็นยะเยือก“เจ้าเห็นมันดีกว่าข้าเสมอ คอยปกป้องมันตลอด ไม่เห็นข้ากับหนี่เอ๋อร์อยู่ในสายตาเลย เจ้ารักมันหลงมัน!!” ความโกรธทำให้ความกริ่งเกรงสามีลดลง ชี้นิ้วใส่เขาราวคนขาดสติเพล้ง!“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไรอาอิน แม้แต่กับลูกเจ้ายังริษยาได้เช่นนี้ เจ้าเป็นแม่แบบไหนกัน”“นางไม่ใช่ลูกของข้า!!”“เจ้าเป็นคนคลอดนางออกมา เจ้าแบกท้องนางอยู่หลายเดือนข้าก็เห็น”“แต่ข้าเกลียดมันเหมือนที่เกลียดพ่อของมันนั่นแหละ ข้าสาปแช่งมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ตายตามพ่อมันไป ถูกข้าทรมานสารพัดก็ยังหัวแข็งอยู่มาจนโต จนมาตอนนี้ข้าหวังจะให้มันได้แต่งกับตาเฒ่ามักมาก ให้ถูกโขกสับจากบรรดาเมีย ๆ ลูก ๆ ของเขา แต่มันก็ยังมาแย
เติ้งอี้เทียนมองคนข้าง ๆ อมยิ้มกับความงามที่อาจจะไม่ได้งามล่มเมืองล่มแคว้น แต่ก็งามบาดใจจนเป็นแผลฉกรรจ์ได้เลยการแสดงออกของเขาไม่รอดพ้นสายตาของจูอิน“ข้าคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าลูกเขยเสิ่นมาด้วย” จูอินเริ่มเปิดบทสนทนาระหว่างมื้ออาหาร“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มา” อี้เทียนตอบยิ้ม ๆ คีบเนื้อปลาต้มหวาน อาหารจานที่ดีที่สุดบนโต๊ะ ใส่ถ้วยข้าวให้สตรีข้างกายอยากบอกให้นางทนกินอาหารรสชาติแย่ กับเนื้อปลาที่ไม่ได้เรื่องนี้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปกินของอร่อยที่บ้านเรา แต่ก็ต้องสำรวมอาการเอาไว้อ้ายเหม่ยปวดใจกับความใส่ใจของอี้เทียน โกรธเกลียดซินซินจนตัวสั่น แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ได้แต่กำมือข่มกลั้นเอาไว้จูอินอยากจะตำหนิการกระทำของอี้เทียนด้วยถ้อยคำรุนแรง ที่เขาทำตัวไร้ยางอาย เห็นเมียชาวบ้านดีกว่าลูกสาวของนางจูก่านต้งเองก็ตกใจกับการกระทำของอี้เทียน แต่พอมองไปทางบิดาและเห็นท่านยังนิ่ง จึงได้แต่นั่งกินไปเงียบ ๆ“หัวอกของคนเป็นแม่ก็แบบนี้ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ห่วงใยเขาเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ อีกคน”
ยามซื่อเค่อที่หกจูอ้ายเหม่ยถึงกับชักสีหน้าด้วยความริษยา เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตัวเองเกลียด เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับบิดาแต่ไกล“ท่านแม่ ทำไมนางถึงดูดีมีสง่าราศีเพียงนั้น ไม่เห็นเหมือนกับที่ท่านเคยบอกข้าไว้เลย” ท่านแม่บอกว่านางได้ติดสินบนอนุของผู้เฒ่าเสิ่นไว้หลายคน ให้ข่มเหงรังแกซินซินให้มาก อย่าให้นางได้อยู่อย่างสุขสบายแต่ที่เห็นในตอนนี้มันห่างไกลจากคำนั้นมาก คนละขั้วดั่งหยินกับหยาง ดำกับขาว ร้อนกับเย็น ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกันเลยบนศีรษะของนางมีเครื่องประดับที่งดงาม มองห่าง ๆ แบบนี้ยังดูออกว่าเป็นของดีมีราคา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดีกว่าชุดที่แพงที่สุดที่ตนใส่ในตอนนี้ ทุกอย่างในตัวนางล้วนดูดีดูแพงไปหมดแม้แต่กลิ่นตัวที่เคยมีแต่กลิ่นแป้ง บัดนี้ยืนห่างเป็นจั้งยังหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมชั้นดีหน้าตาที่เคยจืดชืดและมอมแมมไปด้วยแป้ง ตอนนี้มีแต่ความผุดผ่องเกลี้ยงเกลา สวยสะดุดตาแทบจำไม่ได้“ท่านแม่! นางเพิ่งแต่งงานได้แค่สามวัน แต่ทำไมถึงดูดีขนาดนั้น” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขัดใจ“อยู่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ ดูท่าทีนางไ