Share

บทที่ 57 ครอบครัวที่แท้จริง

Penulis: BigM00N
last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-06 21:40:19

นิ่งอันโหวกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว เขาไม่เพียงไม่ตายอย่างที่ทุกคนเข้าใจแต่การศึกที่ชายแดนในยามนี้ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว คนทั่วไปต่างเข้าใจกันว่าการที่เขาเร่งรีบกลับเข้าเมืองหลวงมาก่อนก็เพื่อต้องการกลับมาแจ้งข่าวเรื่องการรอดชีวิตให้ฝ่าบาททรงทราบด้วยตนเอง มีเพียงเขาและคนแค่เพียงไม่กี่คนที่รู้ดีว่าสาเหตุที่เขาอยู่ในเมืองหลวงในยามนี้เพราะเหตุใด

“ท่านไม่ตายเช่นนี้คนที่ปองร้ายท่านคงจะต้องหาหนทางลงมืออีกแน่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้า

“ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ส่วนเรื่องฝ่าบาทคงจะต้องพึ่งความสามารถขององค์ชายรองแล้วว่าจะสามารถทำให้ฝ่าบาททรงย้ายความหวาดระแวงไปที่สกุลเหยียนได้หรือไม่” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็อดถามเขาตามตรงไม่ได้

“ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่านักฆ่าที่ลงมือกับท่านคือคนของสกุลเหยียน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ยิ้มออกมา

“นักฆ่าฝีมือดีมีอยู่ไม่มาก ข้ามักจะชื่นชอบและชื่นชมคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก หากเคยเห็นพวกเขาลงมือหรือว่าหากเคยได้ประมือกับพวกเขาสักครั้งข้าก็จะสามารถจดจำได้ไม่ลืมเลือน ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าคนที่ลงมือกับข้าคือมือกระบี่ของจวนไหวกั๋วกง” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่จึงได้พยักหน้า ซ่งเหวินจิ้งมองท่าทีของนางแล้วก็ยิ้มออกมา

“แล้วเจ้าเล่า เรื่องที่คุณหนูสามจวนสกุลสุ่ยพกยาพาเข้ามาในจวนหวังจะใส่ร้ายป้ายสีเจ้า ตีสีใส่ไข่ทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ร้ายที่คิดจะทำร้ายนาง แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมีแผนการอยู่ในใจ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยความสงสัยว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ซ่งเหวินจิ้งจึงได้เอ่ยกับนางพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

“จ้าวรุ่ยกับจ้าวหรงเล่าให้ข้าฟังน่ะ ว่าเจ้าอย่างกับมีตาทิพย์สามารถหยั่งรู้ความคิดของคุณหนูสามแถมยังรู้ด้วยว่านางพกยาพิษติดตัวมา” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า

“ข้าไม่ได้มีตาทิพย์อะไรอย่างที่พวกเขาว่า ข้าก็แค่ลองถามนางเพื่อหยั่งเชิงเพียงเท่านั้นคิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับออกมาง่ายๆ ส่วนเรื่องที่ว่านางพกพายาพิษมาด้วยข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องปกติ หลังจากที่ข้ามีเงินข้าก็พกพาขวดใส่ยาสมุนไพรขวดเล็กๆ ติดตัวอยู่หลายใบ ส่วนสรรพคุณยาสมุนไพรเหล่านั้นท่านก็อย่าได้ถามเลย รับรองได้ว่ามีอานุภาพรุนแรงกว่าที่คุณหนูสามสกุลสุ่ยพกมาอย่างแน่นอน” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งไม่ได้รู้สึกกังขาเลยสักนิด สตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ทัพโม่เขาย่อมไม่กล้าดูแคลนอยู่แล้ว

“ข้าไปหาลูกๆ ก่อนนะ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมาในทันที

“พวกเขาย่อมจะต้องมีท่าทีเมินเฉยต่อท่านแน่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า

“ไม่เป็นไรหรอกข้าถูกมารดาของพวกเขาเมินเฉยใส่จนชาชินไปเสียแล้ว กับอีแค่ลูกๆ เย็นชาใส่ข้าย่อมจะรับมือได้อยู่แล้ว” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางขยับกายลุกขึ้น ส่วนโม่ชิงเยว่แค่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา เมื่อซ่งเหวินจิ้งเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางเขาก็หัวเราะออกมาแล้วจึงได้เดินไปที่เรือนพักของลูกๆ ของเขา

เป็นอย่างที่โม่ชิงเยว่เอ่ยเตือนเอาไว้ ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ต่างก็พากันทำเป็นเมินเฉยกับเขา แต่ก็เป็นอย่างที่ซ่งเหวินจิ้งเคยเอ่ยกับโม่ชิงเยว่เอาไว้ เขาชินชาจากการถูกภรรยาเช่นนางเมินเฉยแล้ว เขาจำได้ดีตั้งแต่วันแรกที่นางแต่งเข้าจวนมาท่าทีของนางที่มีต่อเขาล้วนเต็มไปด้วยความเย็นชา ยิ่งยามที่ได้เห็นว่าสุ่ยอี้โหรวเฝ้าตามติดเขาโม่ชิงเยว่ก็ทำตัวราวกับก้อนน้ำแข็งที่แผ่กำจายความหนาวเย็นที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บออกมา เมื่อก่อนเขาก็ไม่เข้าใจว่านางเป็นอะไร แต่ยามที่เขาได้เห็นว่าเหยียนเซียวพยายามเข้าใกล้นางเขาก็เริ่มจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดนางจึงได้ทำเย็นชาใส่เขาเช่นนั้น

“เย็นมากแล้ว พวกเจ้ารีบเข้าไปในเรือนเถิดพ่อก็จะกลับแล้ว” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางขยับตัวลุกขึ้น เขามานั่งมองเด็กๆ ฝึกซ้อมฟันดาบกับจ้าวรุ่ยและจ้าวหรงได้พักหนึ่งแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าอยากจะลงมือสอนให้ลูกๆ ของเขาด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นท่าทีของเด็กๆ ที่มีต่อเขาแล้วทำให้เขาคิดว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

“จ้าวหรง จ้าวรุ่ย พวกเจ้าอย่าได้สอนเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้ลูกๆ ของข้าเชียว”

“นายท่านโปรดวางใจ พวกข้าไม่กล้าทำนอกเหนือจากคำสั่งของท่านแน่นอน” จ้าวหรงเอ่ยพลางยิ้มออกมา เรื่องที่เขาและจ้าวรุ่ยทำตอนที่เจ้านายของพวกเขาขี่ม้าเข้าเมืองพวกเขาทำอย่างเต็มที่ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้านายของพวกเขามีโทสะได้มากถึงขนาดนั้น

“จดจำเอาไว้ก็ดี” เมื่อเอ่ยจบซ่งเหวินจิ้งก็เดินกลับเรือนของตนเอง ระหว่างทางที่เขาเดินกลับเรือนก็ได้แต่มองรอบๆ แล้วทอดถอนใจออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างภายในจวนโหวแห่งนี้มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก มีเพียงแค่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้เพียงเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ก่อนจะไปชายแดน ครอบครัวของเขายังมีทั้งมารดา น้องสาวและภรรยาของเขา แต่ยามนี้ทั้งมารดาและน้องสาวก็ต่างไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

พอคิดถึงมารดาซ่งเหวินจิ้งก็หันไปมองยังทิศที่เรือนเหมันต์ตั้งอยู่ ตอนที่เขายังเด็กเขามักจะลักลอบหลบหนีไปหาสตรีผู้นั้นที่เรือนเหมันต์อยู่เสมอ แม้ว่าในใจจะรับรู้ว่านางคือมารดาที่คลอดเขาออกมาแต่เขาก็ไม่เคยกล้าเรียกนางว่าแม่เลยสักคำ จวบจนนางตายไปแล้วเขาก็ยังไม่เคยกล้าเอ่ยคำนั้นออกมา

เขาให้เกียรติสตรีที่ชุบเลี้ยงเขามาจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้กระทั่งตอนที่รู้แน่ชัดว่านางไม่ได้ทำลายแค่เพียงชีวิตของแม่ผู้ให้กำเนิดเขา แต่ยังคิดจะทำร้ายภรรยาและลูกๆ ของเขาด้วย เขาจึงได้เพิกเฉยตอนที่โม่ชิงเยว่ลงมือกับนาง ผู้คนรายล้อมรอบเรือนคิมหันต์ถึงขนาดนั้นแต่ข่าวการตายของเขากลับสามารถแพร่ไปถึงหูของนางได้มีเพียงฝีมือของโม่ชิงเยว่เพียงเท่านั้น

“ท่านโหวจะรับมื้อเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อสาวใช้เอ่ยถามเขาเช่นนี้เขาก็มองไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่

“สั่งให้คนตั้งโต๊ะที่เรือนของฮูหยินก็แล้วกัน ส่งคนไปเชิญคุณหนูใหญ่และซื่อจื่อด้วย” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ก็รับคำแล้วไปจัดการตามคำสั่งเขา ดังนั้นเย็นนี้จึงเป็นมื้อแรกที่เขาได้กินข้าวพร้อมหน้าครอบครัว ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองโม่ชิงเยว่ตักอาหารให้บุตรชายและบุตรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน นี่คือครอบครัวที่แท้จริงของเขาและเขาสัญญากับตนเองอยู่ในใจว่าต่อไปนี้เขาจะปกป้องดูแลคนในครอบครัวของเขาให้ดี จะไม่ทำให้คนในครอบครัวของเขาต้องได้รับความยากลำบากอีก

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status