Masukตอนที่ 8
การรักษาผ่านไปด้วยดี ในตอนนั้นเองที่ทำให้โจวจวงจื่อพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เวลานี้ซูอวี้หนิงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เพราะตนเองมัวแต่ตกใจกับเรื่องของเสี่ยวเถา เมื่อจัดการเก็บของเสร็จ นางจึงรีบเข้าครัวเพื่อทำอาหารง่าย ๆ ให้อีกฝ่ายได้กินอย่างรวดเร็ว
ทำให้ตอนนี้ด้านนอกเรือนมีเพียงซูอวี้หนิงและโจวจื่อเฉียง อยู่กันตามลำพังเพียงสองคน
ซูอวี้หนิงยกน้ำชาที่ยังอุ่น ๆ ขึ้นมาจิบ เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของโจวจื่อเฉียงที่มองมาที่นางด้วยความสงสัย เพราะเมื่อผ่านเหตุการณ์น่าตกใจเมื่อครู่มาได้ โจวจื่อเฉียงก็เริ่มนึกสงสัยพฤติกรรมของนางขึ้นมาได้
เพราะไม่เพียงแค่ซูอวี้หนิงรักษาเจ้าเสี่ยวเถาได้สำเร็จ แต่ท่าทางของนางนั้นกลับชำนาญราวกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้
แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามนาง ลุงโจวที่ไม่รู้ว่าไปที่ใดมา ก็กลับเข้ามาในลานด้านหน้าอีกครั้ง ทำให้โจวจื่อเฉียงไม่ได้ถามออกไป
ซูอวี้หนิงที่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นางจะหนีออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ นางจึงเดินเข้าไปหาโจวจวงจื่อที่ห้องครัวด้านหลัง และเลือกที่จะนั่งกินอาหารเช้าที่ห้องครัวง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปพบกับสายตาของอีกฝ่าย
ข่าวเรื่องอาการป่วยของซูอวี้หนิงที่หายเป็นปกติแล้ว ถูกพูดถึงกับเป็นวงกว้างอย่างเงียบ ๆ ทั้งภายในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนที่อยากรู้ว่าหญิงสาวหายจากอาการเป็นบ้าใบ้จริงหรือไม่ พวกเขาบางคนถึงกับจงใจเดินผ่านหน้าบ้านของนางเพื่อตรวจสอบดู
ตลอดหลายวันมานี้ ซูอวี้หนิงเริ่มติดตามโจวจวงจื่อเข้าไปในหมู่บ้านบ่อยขึ้น ทั้งเพื่อช่วยซื้อของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ และเพื่อพบปะพูดคุยกับหญิงสาวในหมู่บ้าน นางเริ่มหัดทำอาหารและซักเสื้อผ้าด้วยตนเอง แม้ในตอนแรกจะทำได้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนโจวจวงจื่อต้องคอยสอน แต่เมื่อทำบ่อยเข้า ซูอวี้หนิงก็เริ่มรู้สึกเพลิดเพลิน
กลิ่นควันไฟจากเตาในครัวเช้าตรู่ทำให้นางนึกถึงภาพครอบครัวในอดีตที่เลือนรางอย่างประหลาด ความอบอุ่นเช่นนี้นางไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
โจวจวงจื่อเองก็เริ่มยิ้มมากขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวค่อย ๆ เรียนรู้วิถีชีวิตในหมู่บ้านอย่างตั้งใจ
ซูอวี้หนิงนั่งอยู่ที่ลานบ้านของครอบครัวโจว ขณะยกผ้าขี้ริ้วขึ้นเช็ดมือหลังจากซักผ้าเสร็จ ก็เห็นลุงโจวเดินเข้ามาจากประตูรั้วด้านหน้า
วันนี้ท่าทางของเขาผิดไปจากทุกครั้ง ขาเขายกสูงไม่ถนัด และการก้าวเดินสั้นจนดูชัดว่าบาดเจ็บ เขาใช้ไม้เท้าค้ำตัวมากกว่าปกติ ทำให้เสียงปลายไม้เท้ากระทบพื้นดังถี่และหนัก
ซูอวี้หนิงกับโจวจวงจื่อที่เห็นดังนั้นจึงรีบวางของในมือแล้ววิ่งเข้าไปพยุงแขนเขา
“ท่านพ่อ! วันนี้ท่านไปทำอะไรมา ทำไมเดินถึงได้ลำบากขนาดนี้?” โจวจวงจื่อถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ลุงโจวส่ายหน้าเบา ๆ สีหน้าแฝงความเหนื่อยล้า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาเจ็บเก่ากำเริบ… วันนี้ต้องเดินทางไกลกว่าปกติ เลยทำให้ปวดขึ้นมาอีก”
ซูอวี้หนิงประคองเขาไปนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ ก่อนจะย่อตัวลงตรวจดูที่ขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเธอสัมผัสเบา ๆ ลุงโจวก็เผลอสะดุ้งเล็กน้อย
“ขาอักเสบจนร้อน น่าจะเป็นเพราะใช้แรงมากเกินไป” ซูอวี้หนิงเอ่ยเสียงนิ่ง
“ท่านลุง ท่านช่วยเปิดบาดแผลเก่าของท่านให้ข้าดูได้หรือไม่?” ซูอวี้หนิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย
ลุงโจวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอของซูอวี้หนิง แววตาเขาเต็มไปด้วยความลังเล แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาจริงจังของหญิงสาว เขาก็ถอนหายใจยาวเหมือนยอมแพ้
“เจ้าจะไม่ตกใจรึ?” เขาถามเสียงต่ำ
ซูอวี้หนิงส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้น ลุงโจวจึงค่อย ๆ พับขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นขาข้างซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า รอยหนึ่งเด่นชัดที่สุด เป็นรอยยาวพาดตั้งแต่เหนือเข่าลงมาถึงน่อง คล้ายถูกของมีคมฟันลึกจนแทบขาดจากกัน
รอยแผลเป็นนั้นขรุขระผิดปกติ ผิวหนังที่เชื่อมกันไม่เรียบตึง บางช่วงยุบลึกจนเห็นได้ชัดว่าเส้นเอ็นภายในเคยขาดและต่อกันไม่สมบูรณ์
ซูอวี้หนิงนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเวทนา ก่อนจะยื่นมือไปแตะเบา ๆ เพื่อคลำดูแนวของเส้นเอ็นใต้ผิวหนัง ลุงโจวสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็อดทนไม่ขยับหนี
“นี่เป็นบาดแผลเก่าที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก” นางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เส้นเอ็นที่ขาดตอนนั้นคงไม่ได้รับการเย็บหรือจัดให้เข้าที่ ทำให้เมื่อสมานกันแล้วเกิดพังผืดเกาะ จึงทำให้ท่านปวดเรื้อรังทุกครั้งที่เดินมากเกินไป”
โจวจวงจื่อที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจแทน “ตอนนั้นหมอที่หมู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ?”
ลุงโจวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “ข้าถูกฟันกลางป่าตอนออกไปตัดฟืนตั้งแต่หนุ่ม ๆ ตอนนั้นเลือดไหลไม่หยุด กว่าจะมีคนไปตามหมอมาก็เกือบจะสายแล้ว หมอเพียงแค่หยุดเลือดให้ข้าเท่านั้น”
แค่รอดชีวิตมาได้ก็ประเสริฐมากแล้ว ลุงโจวคิดในใจ
ซูอวี้หนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแน่วแน่ “ก่อนหน้านี้ข้าอ่านเจอ ตำรับยาขี้ผึ้งชนิดหนึ่ง เอาไว้ทาลดอาการปวด หากท่านลุงไม่รังเกียจ ข้าจะทำมันให้ท่าน เอาไว้ทาก่อนนอนดีหรือไม่เจ้าคะ" ซูอวี้หนิงถามอีกฝ่าย
แต่แทนที่ลุงโจวจะกังวลว่ายาที่หญิงทำขึ้นอาจจะเป็นอันตรายได้ เขากลับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับว่าต่อให้นางเอายาพิษมาให้เขากิน เขาก็จะยิ้มรับมันดื่มเข้าไป…
เพราะเหตุใดกัน?…
หากเป็นซูอวี้หนิงคนก่อนอาจไม่คิดอะไร… แต่นางที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมายมาแล้วชีวิตหนึ่ง ย่อมมองออกถึงความผิดปกตินี้
“เอาสิ ลุงจะลองใช้ดู” ลุงโจวกล่าวกับซูอวี้หนิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ช่วยโจวจวงจื่อทำงานบ้านเสร็จ ซูอวี้หนิงก็จัดรายการสมุนไพรลงบนแผ่นไม้เขียนด้วยถ่าน พร้อมทั้งระบุสัดส่วนที่ต้องการอย่างชัดเจน ก่อนจะยื่นให้โจวจื่อเฉียงที่กำลังจะเข้าเมือง
“พี่จื่อเฉียง หากวันนี้ท่านเข้าเมืองได้ ช่วยหาสมุนไพรเหล่านี้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ” ซูอวี้หนิงยื่นแผ่นไม้ให้ น้ำเสียงสุภาพแต่จริงจัง
โจวจื่อเฉียงรับมาอ่าน ไล่ตามตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือที่ค่อนข้างอ่านยากของนาง “เถาวัลย์เถื่อน ขมิ้นป่า รากเจียวกู่ และน้ำมันงา?” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้านี่รู้จักสมุนไพรพวกนี้ได้ยังไงกัน?”
ซูอวี้หนิงยิ้มบาง ๆ “ข้าเคยอ่านตำราอยู่บ้างเจ้าค่ะ สมุนไพรพวกนี้เมื่อบดรวมกันจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดข้อได้ ข้าอยากลองทำให้ท่านลุงใช้ดู”
โจวจื่อเฉียงพยักหน้า แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ได้ซักต่อ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ ข้าจะลองหามาให้”
ระหว่างทางเข้าเมือง เขาอดนึกไม่ได้ว่าหญิงสาวที่เคยเงียบงันอย่างคนไร้สติ กลับรู้จักสมุนไพรและการปรุงยาดีขนาดนี้ ถึงขั้นเขียนสัดส่วนและวิธีการมาให้เขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อโจวจื่อเฉียงกลับมาในช่วงบ่ายพร้อมห่อสมุนไพร ซูอวี้หนิงก็ขอบคุณเขาอย่างจริงใจ ก่อนจะขอตัวไปจัดการในครัว นางนำสมุนไพรที่ได้มาล้างให้สะอาด ตากหมาด ๆ แล้วตำรวมกับน้ำมันงาและน้ำร้อนเล็กน้อยจนกลายเป็นเนื้อยาข้น กลิ่นหอมฉุนอ่อน ๆ ของสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่วครัวในบ้านของนาง
โจวจวงจื่อที่เดินผ่านถึงกับชะงัก “กลิ่นสมุนไพรแรงขนาดนี้เชียว?”
ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ใช่ ข้าจะทำยาทาให้ท่านลุง ลองดูสักหน่อยว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้หรือไม่”
ตกเย็น หลังมื้ออาหาร นางจึงนำยาที่ทำเสร็จแล้วออกมาให้ลุงโจว พร้อมสาธิตวิธีนวดให้ถูกทิศทาง เพื่อให้ตัวยาแทรกซึมเข้าเส้นเอ็นได้ดีขึ้น ลุงโจวเพียงมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ราวกับรู้สึกซาบซึ้งอยู่ลึก ๆ
โจวจื่อเฉียงยืนพิงเสาเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับครุ่นคิดหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในยามดึก ค่ำคืนนั้นบ้านของตระกูลโจวเงียบสงัดกว่าปกติ ลมเย็นเอื่อย ๆ พัดกลิ่นหอมของสมุนไพรจาง ๆ จากขี้ผึ้งที่ซูอวี้หนิงทำยังคงอบอวลอยู่ในเรือน
ลุงโจวซึ่งปกติแล้วมักจะนอนพลิกตัวไปมาด้วยความปวดหน่วงที่ขา กลับหลับสนิทตั้งแต่หัวค่ำ เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอจนผิดสังเกต
โจวซื่อซึ่งตื่นมาดื่มน้ำกลางดึก นางถึงกับชะงักเมื่อหันกลับไปมองสามีของตนที่นอนอยู่ด้านข้าง
แสงตะเกียงสลัวในห้องเผยให้เห็นร่างของลุงโจวที่นอนหงายหลับสนิท ขาข้างที่ปกติจะกระตุกเพราะความปวดก็สงบนิ่งผิดปกติ
โจวซื่อกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือแตะที่จมูกของสามีเบา ๆ เพื่อดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ นางถึงได้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นั่งลงบนขอบเตียง มองใบหน้าที่ดูผ่อนคลายของสามีอย่างแปลกใจ
“หลายปีแล้วที่ข้าไม่เคยเห็นท่านหลับสนิทเช่นนี้…” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
โจวซื่ออดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองขี้ผึ้งสมุนไพรที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง กลิ่นหอมยังอวลอยู่ชัดเจน นางเผลอยกยิ้มบาง ๆ ขึ้นมาอย่างขอบคุณในใจ
เช้าวันถัดมา ลุงโจวตื่นขึ้นด้วยสีหน้าสดชื่นกว่าทุกครั้ง ก้าวเดินออกจากห้องได้โดยไม่ต้องพยุงไม้เท้าแน่นเหมือนก่อน
“ท่านพ่อ! วันนี้ท่านเดินได้ดีขึ้นมากเลยนะ!” โจวจวงจื่อร้องอย่างตื่นเต้น
“เมื่อคืนข้าหลับสนิททั้งคืน ไม่ตื่นเลยสักครั้ง ข้ารู้สึกว่าขาเบากว่าที่เคย” ลุงโจวหัวเราะเบา ๆ สีหน้าดูผ่อนคลาย
ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ในลานบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะทำเพิ่มให้ท่านใช้ต่ออีกสองสามวัน หากอาการดีขึ้น อาจช่วยให้ท่านเดินทางได้สะดวกขึ้นเรื่อย ๆ”
ลุงโจวมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนอีกครั้ง “อย่าปล่อยให้ตนเองเหนื่อยล่ะ หากเป็นงานหนักเจ้าบอกให้จวงจื่อคอยช่วย เจ้าพึ่งหายป่วยอย่าหักโหม”
“เจ้าค่ะ” ซูอวี้หนิงยิ้มให้อีกฝ่าย
……………………
ตอนที่ 18“ลองกล่าวมา เห็นด้วยหรือไม่ข้าจะตัดสินเอง” โจวต้าซานกล่าวเสียงแข็ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้เขาเองก็มองไม่เห็นทางออกใด ๆ ได้เลยเช่นกัน“ตอนนี้เสี่ยวซูเองก็อยู่วัยต้องออกเรือนแล้ว มิสู้ใช้เรื่องนี้ ให้เสี่ยวซูออกเรือนไปกับเฟิ่งอวี่เซียน…”ปัง!!“เจ้าจะบ้าหรือ!!” ยังไม่ทันที่หลี่เจิ้นกัวจะกล่าวจบ เยี่ยหลัวก็ตวาดขึ้นทันทีใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วพร้อมทำสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน“แต่ข้ากลับเห็นด้วยกับเจิ้นกัว” ยังไม่ทันที่บรรยากาศภายในกระท่อมจะสงบ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าประตู เสียงนั้นแม้ไม่ดังนัก ทว่ากลับแฝงพลังหนักแน่นจนทุกคนเงียบกริบ เงาร่างในผ้าคลุมก้าวเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าเบาราวกับลมพัด แต่ละก้าวกลับทำให้บรรยากาศภายในกระท่อมแปรเปลี่ยนไปในทันใด“ท่านหมอหู…” โจวต้าซานเอ่ยออกมาช้า ๆ ดวงตาเผยแววตื่นตระหนก เพราะน้อยครั้งนักที่หูเทียนเหิงจะเข้าร่วมพูดคุยในที่ลับเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของนายหญิงเท่านั้นที่จะสั่งการเขาได้ แต่การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องที่เกี่ยวกับนายหญิงที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอนหูเทียนเหิงเข้
ตอนที่ 17กลางดึก ฟ้ามืดสนิทราวกับผืนผ้าไหมดำ เงาเมฆบดบังแสงจันทร์จนทั่วทั้งป่าดูลึกลับน่าหวาดหวั่น เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาดังก้องอยู่ไกล ๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่าดั่งเสียงกระซิบภายในกระท่อมไม้หลังเล็กกลางป่าลึก แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องแสงวาบวับ เผยให้เห็นเงาร่างของคนสิบกว่าคนในชุดอาภรณ์ดำที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พวกเขานั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้เก่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกเขาว่า โจวต้าซาน หรือท่านลุงโจวโจวจื่อเฉียงยืนอยู่ด้านหลังของบิดาด้วยทีท่าสงบ ไม่มีท่าทางขี้เล่นเหมือนที่แล้วมาแต่อย่างใด ทุกคนที่อยู่ภายในกระท่อมต่างทำความเคารพทั้งสองคนชุดดำที่เห็นว่าทั้งสองคนพ่อลูกเดินทางมาถึงแล้วพวกเขาก็ต่างถอดผ้าคุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านใน หากคนภายในหมู่บ้านเห็นคนเหล่านี้ ทุกคนจะรู้จักพวกเขาทั้งหมด เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน เป็นชาวบ้านทั่วไป จนคนในหมู่บ้านต่างหลงลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่นที่มาอาศัยภายในหมู่บ้านนี้เพียงสิบกว่าปีนี้เท่านั้น“เรื่องข่าวลือจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไ
ตอนที่ 16เพียงไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็แพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง จากปากของชาวบ้านที่อยู่ริมธาร ทั้งหมู่บ้านต่างพูดถึงเรื่อง “หญิงวิปลาสที่กล้าจูบศพชายที่ลอยน้ำมา”ซูอวี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเพื่อเฝ้าดูอาการเขาอย่างเงียบงันไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่านี้เลยแม้แต่น้อย เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เบา ๆ กลิ่นยาสมุนไพรยังลอยคลุ้งในอากาศ ชายที่อยู่บนเตียงยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าดูสงบขึ้นมาก ชีพจรสม่ำเสมอขึ้นทีละน้อย“ซูอวี้หนิง!”เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านนอกก่อนร่างของ ลุงโจว จะปรากฏที่หน้าประตู สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับเคร่งขรึมและไม่สบอารมณ์นัก และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โจวจวงจื่อจะเห็นสีหน้าของบิดาที่มักจะอ่อนโยนต่อซูอวี้หนิงอยู่เสมอ แสดงสีหน้าน่ากลัวเช่นนี้ซูอวี้หนิงเงยหน้าขึ้นไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ต่างจากโจวจวงจื่อที่ตอนนี้กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของซูอวี้หนิงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตกใจจนหน้าซีดเผือดลุงโจวเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างชายแปลกหน้าที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าซู
ตอนที่15ซูอวี้หนิงโน้มตัวลงโดยไม่ลังเล มือทั้งสองประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้หงายขึ้น ดวงตาเธอแน่วแน่ไร้ความลังเลใด ๆ“จวงจื่อ รีบหาผ้ามาซับตัวเขาไว้ก่อน แผลตรงหัวไหล่ห้ามให้โดนน้ำอีก!”เสียงสั่งนั้นหนักแน่นและเฉียบขาดจนอีกฝ่ายรีบทำตามโดยไม่กล้าซักถาม ซูอวี้หนิงยกคางชายผู้นั้นขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วตรวจโพรงปากอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่ามีสิ่งใดขวางอยู่หรือไม่ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโน้มตัวลงริมฝีปากอุ่นสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบของชายแปลกหน้า นางเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ สลับกับกดหน้าอกตามจังหวะที่คำนวณไว้ในใจ เสียงน้ำที่หยดลงจากปลายผมของนางผสมกับเสียงลมหายใจที่เป่ารัว ๆ กลายเป็นจังหวะที่เร่งเร้าทุกคนที่ยืนดูอยู่เงียบกริบ บ้างก็เอามือปิดปาก บ้างก็หันหน้าหนีไปทางอื่น ความตกใจและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง“นาง... นางกำลังทำอะไรกับศพนั้นกัน?!”“บาปหนา! นางเป็นบ้าไปแล้ว!”คำพูดของชาวบ้านที่มาที่ริมลำธารต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง แต่ซูอวี้หนิงไม่ได้ยินสักคำ เสียงในหัวนางมีเพียงจังหวะชีพจรที่พยายามตามหา ความเงียบงันในวินาทีนั้นยาวนานราวนิรันดร์จนกระทั่ง —“แค่ก! แค่ก แค่กกก!”เ
ตอนที่ 14แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านยอดไม้เข้ามาในลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านของซูอวี้หนิง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรที่ถูกต้มไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าโชยคลุ้งไปทั่ว เรื่องที่มีคนถูกหมาป่ากัดเมื่อคืนนี้เองก็รับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนถูกหมาป่ากัด!"“ใช่ ๆ ว่ากันว่าเลือดไหลแทบหมดตัว แต่ซูอวี้หนิงใช้วิธีแปลก ๆ เย็บแผลเอาไว้จนยังมีชีวิตอยู่” “เย็บแผล? ใช่หรือไม่ที่ว่ากันว่าเหมือนเอาเข็มร้อยผ้าของหญิงสาวมาใช้กับร่างคน!”“ข้าบอกแล้วว่านางเป็นหญิงบ้าคนหนึ่ง จะมาเป็นหมอได้อย่างไร?”เสียงซุบซิบเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดกระทบผนังไม้ไม่หยุดหย่อน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความสงสัย แต่ปนด้วยความกลัวและรังเกียจ“ได้ยินมาว่า นางเย็บเนื้อคนเข้าด้วยกันจริง ๆ!”“ข้าเห็นกับตาเมื่อคืน เลือดเต็มมือ เหมือนพวกวิปลาสเลยต่างหาก!”“หากวันหนึ่งนางถือมีดไปปาดคอผู้อื่น ใครจะรับผิดชอบ!”ซูอวี้หนิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อคืนกว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางเสียแล้ว นางได้นอนพักสายตาชั่วครู่ ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดูอาการของผู้ป่วยก่อน แ
ตอนที่ 13ยามดึกคืนนั้น แสงจันทร์ข้างแรมสาดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักของซูอวี้หนิง นางเพิ่งจะวางแผ่นไม้ไผ่ที่จดบันทึกตำราสมุนไพรลงบนโต๊ะ กำลังเตรียมจะดับตะเกียงเพื่อพักผ่อน ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากลานด้านหน้าเสียงฝีเท้าหนักรีบร้อนดังขึ้นพร้อมเสียงของโจวจวงจื่อ“เสี่ยวซู! เร็วเข้า! มีคนเจ็บ ถูกหมาป่ากัด”ประตูไม้ถูกเคาะแรง ๆ สามครั้ง ซูอวี้หนิงรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป เห็นโจวจวงจื่อใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนด้านหลัง โจวจื่อเฉียงกำลังประคองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่แขนขวาถูกกัดจนเนื้อฉีก เห็นได้ชัดว่าถูกหมาป่าฉีกกระชาก เลือดสดไหลทะลักจนชุ่มเสื้อผ้าแต่แทนที่ซูอวี้หนิงจะตื่นตกใจ นางกลับใจเย็นอย่างที่สองพี่น้องโจวไม่เคยเห็นมาก่อน“พาเข้ามาในเรือนด้านหน้าก่อน แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอหู!” เสียงนางเด็ดขาดโดยไม่ลังเล“ข้าให้คนไปตามแล้ว” โจวจื่อเฉียงที่หามคนเจ็บมากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มไม่นาน หมอหูก็มาถึงด้านหน้าเรือนของซูอวี้หนิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลที่แขนชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลลึกมาก หากเสียเลือดมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่รอดถึงรุ







