บทที่1 ชะตาหวนคืน
ร่างบางที่มีใบหน้างดงามแต่ก็มิได้งดงามถึงขนาดล่มเมืองถึงเพียงนั้น นั่งเหม่อลอยด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นางจับใบหน้าที่ยังสวยสดงดงามไม่ได้แก่ชราไปตามกาลเวลาก่อนหน้านี้
ตั้งแต่บิดาเสียชีวิตในสนามรบเพียงไม่ถึงเดือนก็ได้รับ สมรสพระราชทานที่นำมาจากเมืองหลวง ให้แต่งงานกับท่านแม่ทัพ ‘เฉินโม่เหยียน’ที่ประจำการอยู่ที่ ‘เมืองเป่ยฉิน’ ในทิศตะวันตก
ท่านแม่ทัพเฉิน ขึ้นมาเป็นแม่ทัพแทนท่านพ่อของนาง แต่ท่านแม่ทัพมีนางในดวงใจแล้วที่เมืองหลวงถึงจะไม่อยากแต่งงานแต่ก็ขัดราชโองการไม่ได้ จนเมื่อแต่งงานนางยังคงทำหน้าที่ กุนซือต่อในกองทัพ ด้วยพยายามขอร้องสามี เพียงหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดด้วยคิดว่าสักวันหนึ่ง สามีที่มีใบหน้าหล่อเหลาร่างสูงกำยำองอาจดั่งนักรบ อาจจะยอมรับนางจนเกิดความรักขึ้นมาได้ แต่เรื่องราวหาเป็นเช่นนั้น ถึงจะอยู่ใกล้ชิดเพียงใด สามีก็ไม่เคยสนใจ ในฐานะภรรยาแม้แต่น้อยเพียงแต่ให้เกียรตินางเหมือนกับเป็นสหายเสียมากกว่า กับสามีไม่ได้มีบุตรถึงจะถูกกดดันเรื่องการสืบทายาท เฉินโม่เหยียนก็ไม่สนใจ และนางเองก็ต้องปล่อยไปเพียงเพราะทำอันใดไม่ได้ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต สามีก็ได้ลาออกจากการเป็นแม่ทัพด้วยวัยห้าสิบแปดปี และนางอายุห้าสิบเจ็ดปีและได้เสียชีวิตในวัยห้าสิบเก้าปี
และใช่นางคือ ‘โจวฟางหลิน’ ที่ทั้งชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารเพียงแค่ต้องการจะใกล้ชิดสามีที่เย็นชา แต่ใช้เวลามาทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะละลายน้ำแข็งในใจบุรุษผู้นี้ได้เลย
“ฮูหยินเจ้าคะ ทำไมถึงนั่งเหม่อหรือเจ้าคะ ไม่สบายรึไม่ ให้ซุนหงไปตามท่านหมอดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ร่างบางมองใบหน้าสาวรับใช้ที่อยู่ใกล้ชิดนางมาตลอดตั้งแต่ชาติที่แล้ว ซุนหงได้อยู่กับนางจนวาระสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่นางลาออกจากกองทัพในฐานะกุนซือ สายตาที่มองบ่าวผู้นี้จึงอ่อนโยนยิ่งขึ้นด้วยความเอ็นดู บัดนี้นางไม่ใช่สตรีแรกรุ่นอีกแล้ว นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี เจอะเจอผู้คนล้มตายทั้งจากสงครามและความอดอยาก เมื่อได้กลับมาอีกครั้งเด็กสาวเช่นซุนหงจึงดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ช่วงนี้เป็นฤดูไหนและปีไหนรึ” โจวฟางหลิน ยังไม่แน่ใจนักว่านางกลับมาช่วงเวลาไหน
“เซี่ยจี้ รัชศกที่15 สมัยฮ่องเต้หม่าจิ้งเทียนเจ้าค่ะ”ซุนหงเอ่ยตอบพร้อมกับจับจ้องใบหน้าของฮูหยินที่นางทั้งรักและเคารพด้วยความเป็นห่วง พลางคิดว่านายหญิงสติฟั่นเฟือนจนเลอะเลือนไปแล้วรึ จึงถามเช่นนี้
โจวฟางหลินรู้แล้วนางได้ย้อนเวลามาช่วงอายุยี่สิบปี หลังจากแต่งงานได้สองปี และพยายามที่จะขอร้องสามีติดตามไปค่ายทหารเพื่อเป็นกุนซือเช่นเดิม จนสุดท้ายสามีทนความรบเร้าไม่ไหวจึงรับปากให้นางได้กลับไปเป็นกุนซือกองทัพอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะไม่มีทางทำเช่นนั้นอีกแล้ว นางจะใช้ชีวิตด้วยความอิสระ จะไม่ยึดติดขอความรักจากสามีเช่นชาติก่อน ชาติที่แล้วช่างทุกข์ใจเหลือจะกล่าว ชาตินี้นางพอแล้ว
“ฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบเจ้าค่ะ” บ่าวด้านนอกได้แจ้งถึงสิ่งที่เจ้านายสั่งมา
“รอสักครู่ ข้าจะตามไป”ร่างบางเอ่ยเพื่อที่จะได้เตรียมตัว ฮูหยินผู้เฒ่าตลอดระยะเวลาที่นางแต่งงานเข้ามา เอ็นดูนางหรือจะเพราะสงสารที่สามีไม่รักก็ไม่รู้เช่นกัน แต่โดยรวมก็ปฏิบัติต่อนางก็ไม่เลวนัก ต่างจากแม่สามีและผู้อื่นที่มักจะมีสายตาที่ดูถูก ด้วยบิดาของนางได้เสียชีวิตไปแล้ว กระทั่งตระกูลก็มีเพียงแต่สตรี จึงไม่อาจหนุนหลังสามีได้ จึงเป็นที่ดูถูกเป็นธรรมดา
“คำนับท่านย่า ท่านแม่ และอี้เหนียง เจ้าค่ะ” โจวฟางหลินเอ่ยทักทายทุกคนที่อยู่ภายในห้องด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เจ้ามาแล้วรึ พอดีจะมีเรื่องพูดคุยกับเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเพ่งพิศพิจารณา หลานสะใภ้ผู้นี้วันนี้ช่างมีกิริยามารยาทที่แปลกไป ดูสง่างามหลังตั้งตรง สายตาที่เย็นเยียบเหมือนดั่งคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนไม่สนใจสิ่งรอบตัวอีกแล้ว คนเราจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางภายในระยะเวลาอันสั้นได้เช่นนี้เลยรึ ถึงจะเป็น กุนซือในกองทัพมาก่อนแต่เมื่อแต่งงานมาที่ตระกูลเฉินกลับมีนิสัยที่อ่อนโยนร่าเริงและการเอาอกเอาใจสามี เพียงแต่หลานชายของนางก็ช่างเย็นชายิ่งนัก
โจวฟางหลินนั่งลงตรงโต๊ะที่ถัดไปจากอี้เหนียงซุนอิงหลัน ด้วยใบหน้าเรียบเฉยมีเพียงมุมปากที่กดลึกคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม จนคนภายในห้องรู้สึกถึงความมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก
“อีกไม่กี่วัน โม่เหยียน จะกลับมาจากค่ายทหาร เวลานี้เจ้าก็แต่งงานกันมาจะครบสองปีแล้ว”ฮูหยินหยุดถอนใจด้วยจะพูดต่อเพื่อกดดันหรือจะเช่นไรต่อก็ยังไม่แน่ใจ
“ท่านย่าถ้าข้าไม่สามารถมีบุตรได้ ท่านย่าจะหาภรรยารองให้ท่านพี่ก็แล้วแต่พิจารณาของท่านย่าเจ้าค่ะ” ร่างบางคาดไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ ด้วยนางก็แต่งงานเข้ามาก็นานพอมควร เสมือนแม่ไก่ออกไข่ไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่จะมีภรรยาเพียงคนเดียว
“ลูกสะใภ้นี่ช่างเข้าใจอะไรง่ายดีนะเจ้าคะท่านแม่”ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยท่าทียิ้มเยาะ
โจวฟางหลิน ตวัดสายตามองมารดาของสามีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้วยท่าทางที่นิ่งของลูกสะใภ้ เฉาเหม่ยอิง ถึงกับขนลุกโดยไม่รู้ตัว สายตาที่ดูรู้ทันทุกความคิด ไม่สนใจว่าใครจะคิดเห็นต่อนางเยี่ยงไรเช่นนี้ช่างไม่ใช่กิริยาของสตรีแรกรุ่นที่น่าจะมีความอ่อนโยนมากกว่านี้
อนุซุนอิงหลัน ลอบมองรู้สึกว่านั่งนิ่งๆเฉยๆ เป็นการทำถูกแล้ว สายตาและท่าทางของโจวฟางหลินช่างดูมีอำนาจแปลกๆกิริยาท่าทางก็ต่างออกไปจากเมื่ิอก่อนดูเย็นชาไม่ได้อ่อนโยนเช่นแต่ก่อน
“เรื่องนี้ ท่านย่ากับท่านแม่ตัดสินใจได้เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้จะโต้แย้งอันใด ข้าเคารพการตัดสินของผู้ใหญ่ที่ต้องมองการณ์ไกลกว่าแน่นอน” ฟางหลินเอ่ยเพื่อจะตัดจบบทสนทนาที่น่าเบื่อเช่นนี้เสียที นางไม่ขัดนั่นถูกต้องแล้ว เพราะนางเองก็ไม่คิดจะไปตามตอแยอะไรสามีน้ำแข็งนั้นอีกแล้วเช่นกัน ยังมีเรื่องให้ทำอีกมากมายไม่คิดจะมาเสียเวลาเรื่องรักๆใคร่ๆเช่นนี้อีก
“เจ้าช่างเป็นคนมีเหตุมีผลเสียจริง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดูหลานสะใภ้ ที่ช่างเข้าใจอะไรง่ายดายนักไม่คิดหึงหวงจนน่ามืดตามัวจนไม่สนการสืบทอดทายาทของตระกูลที่มีความจำเป็นมากสำหรับสืบทอดวงค์ตระกูลต่อไป
“เจ้าเข้าใจง่ายเช่นนั้นก็ดี ข้าก็พอมีคุณหนูบางคนที่จะแต่งเข้ามาเหมือนกัน” ฮูหยินใหญ่เอ่ยปากพลางมองใบหน้าลูกสะใภ้ ว่าจะไม่สนใจเช่นที่แสดงออกจริงหรือไม่
“แล้วแต่ท่านแม่เห็นสมควรเจ้าค่ะ”ร่างบางแอบถอนหายใจ ว่ายังไม่จบอีกรึ เสียเวลาของนางเสียจริง เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นจะดีกว่านี้เสียอีก
“แล้วเจ้าสนใจผู้ใดอยู่รึ”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามลูกสะใภ้ด้วยอยากรู้ว่าได้ถูกใจคุณหนูตระกูลใดไว้บ้าง
โจวฟางหลินแทบจะเหลือบสายตามองบนฟ้า จะปรึกษาหารือกันก็ให้นางกลับออกไปก่อนได้รึไม่ นางไม่ต้องการจะรู้ว่าจะให้ใครมาเป็นภรรยารองของสามี หรือจะให้หย่าขาดจากกันก็ย่อมได้ ถึงอย่างไร หัวเมืองทางเหนือก็อยู่ไกลพระราชวังเป็นพันลี้ ยังไงต่อให้เป็นสมรสพระราชทานแล้วอย่างไร แค่ปล่อยข่าวว่านางทำผิดเจ็ดขับก็สามารถหย่าขาดจากกันได้แล้ว
“ข้าคิดว่าคุณหนู ‘ จูอินหลัน’ก็ใช้ได้นะเจ้าคะ เป็นบุตรสาวของคหบดีที่มีร้านค้ามากมายกระจายไปถึงเมืองหลวง รูปร่างก็ดูอรชรอ้อนแอ้นใบหน้าก็งดงาม กิริยามารยาทก็อ่อนหวาน” ฮูหยินเฉาเสวี่ยนหลง เมื่อเอ่ยจบได้ชำเรืองมองลูกสะใภ้ด้วยท่าทีเย้ยหยัน ขนาดภรรยาที่นางจะให้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้รองยังมีอำนาจหนุนหลังมากกว่านางที่เป็นสะใภ้ใหญ่เสียอีก
โจวฟางหลินนั่งนิ่งๆไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ใบหน้าที่ราบเรียบมิบ่งบอกถึงอารมณ์ จึงดูขัดหูขัดตาแม่สามียิ่งนัก
“ก็ดีนะเจ้าคะ ท่านแม่ข้าว่าคุณหนูจู ก็มีใจให้กับโม่เหยียนของเราไม่น้อย” อี้เหนียงที่นั่งฟังมานานจึงเริ่มออกความคิดเห็นบ้าง
“หรือจะเป็นคุณหนูซุยซูอวิ๋น บุตรคนรองของเจ้ากรม ก็คงยินดีที่จะแต่งเข้ามาด้วยนางเองก็ดูชมชอบโม่เหยียบของเราเช่นกัน”
โจวฟางหลินถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้นับ เพียงแค่คิดว่าเมื่อไหร่จะปรึกษากันจบเสียที นางต้องการกลับพักผ่อนเพื่อที่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ถ้าจะให้มาอยู่เฉยๆแบบนี้คงไม่ได้
“แล้วเจ้าหล่ะ ฟางเอ๋อ คิดเห็นเป็นเช่นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าได้เอ่ยถามหลานที่สะใภ้ ที่ยังนั่งนิ่งไม่ออกความเห็นใดๆด้วยความสงบนิ่งเหมือนกับเรื่องนื้ไม่เกี่ยวกับนางเสียอย่างนั้น
“คุณหนูจูอิงหลันก็ดีเจ้าค่ะ ทั้งงดงามอ่อนหวานเบื้องหลังก็มีบิดาที่่มีเส้นสายทั้งในหัวเมืองและเมืองหลวง คงจะส่งเสริมท่านแม่ทัพได้ไม่น้อย” โจวฟางหลินไม่ได้ใส่ใจนักจึงเอ่ยส่งๆไป เพราะสตรีที่ว่ามาต่างก็มีภูมิหลังที่ดี อีกคนถึงแม้ไม่ได้มาจากข้าราชการแต่สามารถกดข่มผูุ้คนได้เช่นกันด้วยอำนาจเงินที่มี ส่วนอีกคนก็มีบิดาเป็นถึงรองเจ้ากรมคงส่งเสริมกันได้ในด้านติดต่อขอกำลังทหารจากเมืองหลวงได้รวดเร็วยามศึกสงคราม
“ ในเมื่อรู้จักที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา ส่งเสริมสามีเยี่ยงนี้ก็ดี” ฮูหยินใหญ่ยังคิดจะเหน็บลูกสะใภ้เพียงเพราะไม่ชอบหน้า ที่บุตรชายต้องมาแต่งงานกับสตรีที่ไม่มีภูมิหลังส่งเสริมสามีได้เช่นนี้
“อาหล่ะ วันนี้ก็คงจะพอกันแค่นี้ก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้ โม่เหยียนกลับมาค่อยปรึกษากันอึกที ต้องถามความคิดเห็นของโม่เหยียนด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้นิสัยของหลานชายดีว่าดื้อรั้นขนาดไหน ถ้าไม่คิดจะทำตามก็จะไม่ยอมเสียโดยง่าย ดูจากที่แต่งหลานสะใภ้ผู้นี้มาร่วมสองปี ยังไม่เคยร่วมหอสักครัั้งเอาแต่หนีไปค่ายทหารอ้างแต่มีงานเยอะจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้ แค่กำลังจะกลับมาหลังจากไปอยู่ค่ายทหารเกือบหกเดือน
“ข้าลาเจ้าค่ะ” โจวฟางหลิน ย่อตัวทำความเคารพกับทุกคนและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหนีปีศาจ แต่แท้จริงคือนางเมื่อยมากจากที่นั่งฟังเรื่องราวไร้สาระนับชั่วยาม
ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อเห็นหลานสะใภ้ออกไปไกลแล้ว จึงได้เอ่ยตำหนิสะใภ้ใหญ่ ที่ไม่เก็บอาการที่ถากถางเยาะเย้ยลูกสะใภ้อยู่ตลอดเวลา
“เรื่องราวก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเจ้าจะมารังเกียจรังงอนอะไรกับลูกสะใภ้อีก นางก็ถูกสมรสพระราชทานมาเช่นกัน นางก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ดี เพียงแต่บุตรชายของเจ้าเสียอีกที่ไม่สนใจนางเลยด้วยซ้ำ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยยความหงุดหงิดใจในความไร้เหตุผลของสะใภ้ใหญ่ จึงได้บอกให้แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเสีย นางกลุ้มใจกับสะใภ้ผู้นี้เสียจริง นางเองถึงแม้จะมีภูมิหลังที่ดีแต่ใช่ตระกูลของนางจะมาช่วยเหลือมากมายเสียเมื่อไหร่
ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ🙏❤️
อย่าลืมกดเข้าชั้นเพื่อจะได้ไม่พลาดตอนใหม่ๆด้วยนะคะ
#นางเอกไรท์ค่อนข้างโหดนิสนึงนะคะ#
ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มาลียา จากสตรีสูงศักดิ์เมื่อได้ถูกส่งกลับด้วยชื่อเสียงที่อื้อฉาว มือเรียวที่บัดนี้ไม่ได้อ่อนนุ่มเช่นเดิมอีกแล้ว ท่าทีที่หยิ่งยะโสไม่มีให้เห็นเช่นแต่ก่อน บัดนี้ต้องมาทำงานทุกอย่างภายในบ้านที่บิดาส่งนางแต่งงานกับพ่อค้าที่มักจะเดินทางมารับหนังสัตว์บ่อยๆ ตั้งแต่เดินทางมาถึงบิดาที่รักใคร่นางเมินเฉยเย็นชาไม่ใส่ใจสักนิดว่านางจะเป็นเช่นไร จึงได้กระจ่างแจ้งรู้ว่าบุตรสาวก็เป็นเพียงสิ่งที่เอาแลกกับผลประโยชน์ถ้าหมดประโยชน์ก็จะโยนทิ้งไปเสียลายาแม่นมที่เลี้ยงดูมาลียาก็ถูกโบยจนตายด้วยไม่สามารถสั่งสอนนางให้ทำตามแผนการได้สำเร็จ โชคชะตาก็เป็นเช่นนี้สินะโจวฟางหลินได้ฟังเรื่องราวผ่านพ่อค้าผู้หนึ่งที่เคยรับรู้ว่า องค์หญิงผู้นี้เคยแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองของตระกูลเฉิน ได้เล่าเรื่องราวที่ได้รับรู้มาให้ได้ฟัง นางไม่ได้สงสารผู้ใด ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นจะผิดก็เพียงแค่ องค์หญิงเป็นเพียงหมากที่หมดประโยชน์แล้วก็เท่านั้น ถ้านางทำสำเร็จความรุ่งโรจน์ ก็จะเกิดกับนาง แล้วตนเองเล่าจะเป็นเช่นไรถ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ชุนหงได้เขียนจดหมายมาหาได้บอกเล่าถึงเรื่องที่นางตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว หนานกงก็ดู
ลายาบ่าวผู้ภักดีถึงกับอ้าปากค้าง ด้วยไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ แล้วผู้ใดที่อยู่กับองค์หญิงของนางทั้งคืน ซ้ำเสียงน่าอายนี้ก็ได้ยินกันทั่ว แล้วจะแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างไร“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของสตรีที่ยังมีเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยกลิ่นโลกีย์ยังคละคลุ้งอบอวลอยู่ในห้อง บัดนี้นางได้สติแตกจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยยังรับกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้ นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แผนการทุกอย่างพังลงไม่เป็นท่า ต่อให้กลับไปเผ่าหลี่เจียงบิดานางยังจะโปรดปรานนางอยู่รึ “องค์หญิงใจเย็นก่อนเพคะ” ลายาเข้าไปโอบกอดร่างงามที่เวลานี้ไม่สามารถระงับอารมณ์ตนเองได้อีกเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความตื่นกลัวมาลียาพลางเหลือบไปมองชายที่ลุกขึ้นมาจากเตียงที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับท่านแม่ทัพมาก จึงได้โผไปจะทำร้ายชายตรงหน้าด้วยความเคียดแค้นที่ทำให้นางมามีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้“ข้าจะฆ่าเจ้าใยถึงมาอยู่ที่เตียงข้าได้ เจ้ามันน่าขยะแขยงสิ้นดี” ร่างบอบบางได้โผเข้าไปดึงทึ้งและทุบตีด้วยความแค้นใจ“เมื่อคืนไม่เห็นจะเอ่ยวาจาเช่นนี้มีแต่เร่งเร้าให้ข้าต้องหมดแรงตลอดทั้งคืน”ชายร่างสูงกำยำได้ลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ยเหยียดหยาม ค่ำคืนกับร้
สองสามีภรรยาถึงเวลาเดินทางกลับจวนเสียที หลังได้จัดการการค้าทุกอย่างได้เรียบร้อยคงถึงเวลาได้กลับมาเก็บกวาดปัญหาเสียที นางเป็นเพียงองค์หญิงนอกด่านที่ยังไม่ได้เห็นโลกกว้าง การใช้เล่ห์กลที่สตรีนิยมใช้กันทั่วไปเพื่อผูกมัดบุรุษส่วนมากไม่ได้ผลเท่าใดนัก ถึงจะได้ร่วมอภิรมย์แต่ก็หาได้ใจบุรุษไม่ แผนการทุกอย่างของนางได้ถูกรายงานมาตั้งแต่วันแรกที่วางแผนกันแล้ว บางทีโจวฟางหลินก็นึกสงสัยว่า นางเป็นถึงกุนซือของกองทัพนับแสน มีกลศึกที่โจมตีศัตรูที่มีจำนวนคนมหาศาลจนแตกพ่าย ใยจึงคิดได้ว่าจะมาพ่ายแพ้ต่อเล่ห์กลเด็กๆ เช่นนี้ได้ ดูถูกกันจนเกินไปรึไม่องค์หญิงมาลียาที่แกล้งป่วยโดยกินยาที่ทำให้ร่างกายร้อนผ่าวราวกับจับไข้ ถึงมีหมอมาตรวจก็เชื่อว่าได้มีไข้เป็นแน่ และนอนด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรงรอเวลาสามีกลับเข้ามาในจวนจะได้รวบรัดทำตามแผนการเสียทีฮูหยินผู้เฒ่าได้มาเยี่ยมเยียนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เฉามารดาของสามี ได้เข้ามาในห้องเพื่อดูอาการป่วยไข้ของสะใภ้รอง ด้วยให้หมอมาตรวจแล้วว่าเป็นความจริงถ้าไม่มาเสียเลยจะดูแล้งน้ำใจ ชาวบ้านจะนำไปนินทาได้ ว่ากลั่นแกล้งสะใภ้ใหม่จนป่วยไข้“เป็นอันใดบ้างทุเลาลงบ้างรึไม่”ฮูหยินผู้เฒ่าเ
สารทฤดูที่มีอากาศอบอุ่นขึ้นใบไม้ร่วงหล่นจนแลดูคล้ายพรมหลากสีสัน สามีภรรยาที่พักผ่อนด้วยเหนื่อยอ่อนจากความวุ่ยวายในงานแต่งงานรับภรรยารองเข้ามา ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสเมื่อได้พักผ่อนมาทั้งคืน ต่างจากอีกฟากของห้องหอที่มีบรรยากาศอึมครึมแต่เช้าตรู่ ที่ร่างงดงามพึ่งจะได้หลับตาลงเพียงไม่ถึงสองชั่วยามจะต้องตื่นขึ้นมาตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแคว้นเว่ยด้วยจะต้องไปยกน้ำชาให้กับผู้หลักผู้ใหญ่รวมถึงภรรยาเอกด้วย“ออกไปให้พ้นข้าจะนอนอย่างมารบกวนข้า” ร่างงดงามตวาดออกไปด้วยความหงุดหงิดนางพึ่งจะได้นอนก็มาปลุกเสียแล้ว“องค์หญิงท่านต้องไปยกน้ำชานะ มันคือธรรมเนียมของแคว้นเว่ยถ้าไม่ทำจะดูไม่ดีนะเพคะ” ลายาเอ่ยเตือนองค์หญิงที่นางรักใคร่เหมือนบุตรสาวด้วยนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด“ประเพณีอันใดที่เผ่าของเราไม่เห็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้น่าเบื่อเสียจริง” นางยังแค้นที่เจ้าบ่าวมาทิ้งให้นางต้องนอนเดียวดายในห้องหอ เช่นนี้แล้วนางยังจะมีอำนาจอันใดในจวนแห่งนี้ การแสดงออกของสามีย่อมแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับนาง บ่าวไพร่จะดูถูกนางถึงเพียงไหน“เราต้องคำนึงถึงว่าเรามาที่นี่เพราะเรื่องอันใดนะเพค
ภายในรถม้าที่ตกแต่งอย่างสมเกียรติมีสตรีที่มีใบหน้างดงามราวปีศาจจำแลง ทรวดทรงองค์เอวช่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม ผิดกับนิสัยที่เย่อหยิ่งจองหอง ด้วยเติบโตมาในทุ่งหญ้าที่มีแต่คนพะเน้าพะนอ ยกยอปอปั้นจนนางมั่นใจว่าไม่มีสตรีใดจะงดงามไปกว่านางอีกแล้ว การที่จำต้องเดินทางมาแต่งเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นใหญ่อย่างแคว้นเว่ย และเป็นเพียงภรรยารองจึงได้แต่อาละวาดมาตลอดทางด้วยต้องการระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัว นางเป็นถึงองค์หญิงของเผ่าหลี่เจียงที่เป็นเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้กลับต้องมาแต่งเป็นภรรยารอง เพียงเพราะมหาข่านที่เป็นเสด็จพ่อของนางได้ตัดสินใจแล้วว่าต้องเป็นนางถึงจะทำให้แผนการครั้งนี้สำเร็จได้โดยง่ายโดยที่ไม่ต้องเปิดศึกรบ เพียงทำให้แม่ทัพใหญ่เฉินโม่เหยียนของแดนเหนือ รักใคร่หลงใหลในตัวนางก็จะสามารถชักจูงให้ยอมรับเปิดทางให้เผ่าหลี่เจียงได้แทรกซึมเข้าไปยึดดินแดนในรอบนอกได้ง่ายๆ และที่สำคัญการค้าในมือตระกูลเฉินมีมูลค่ามหาศาล ถ้ายึดมาเป็นของเราได้ก็จะยิ่งส่งเสริมกำลังทั้งในด้านอาวุธและเงินทองไปด้วย ใยจะไม่คุ้มค่ากับการแต่งงานในครั้งนี้เล่า“องค์หญิงจะต้องมัดใจท่านราชบุตรเขยให้ได้นะเพคะ ครั้งนี้ถ้าทำสำเร็จมห
โจวฟางหลินครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องที่มีราชโองการมาแบบนี้ และส่วนหนึ่งที่พยายามสุมไฟกองนี้ให้ใหญ่ขึ้นย่อมเป็นโอรสสวรรค์ผู้นี้เป็นแน่ นางไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมารักใคร่นางจนต้องการครอบครองถึงเพียงนั้น แต่อำนาจและเงินตราในมือนางต่างหากเล่าที่พระองค์ต้องการ“จริงๆ แล้วการที่เผ่าหลี่เจียงนำองค์หญิงผู้นี้มาแต่งเชื่อมสัมพันธ์ย่อมเป็นเพียงหมากที่ส่งมาเพียงเท่านั้น” โจวฟางหลินเริ่มวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงในเรื่องนี้“อย่างไรรึ” ฮูหยินใหญ่เฉาได้เอ่ยปากเป็นครั้งแรกหลังจากยังตระหนกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น“เผ่าหลี่เจียงอยู่ไกลจากแคว้นเว่ยมากนัก แต่ทำไมถึงมุ่งเป้ามาที่ท่านพี่ คงมีความคิดว่าถ้าได้แต่งมาเป็นภรรยารองและสามารถทำให้ท่านพี่หลงในในตัวนางได้_”เอ่ยไม่ทันจบสามีก็ร้อนรนเสียแล้ว“ข้าไม่มีทางจะแตะต้องนางเป็นแน่ข้าขอสาบานต่อเจ้า”เฉินโม่เหยียนรีบเอ่ยออกมาอย่างตกใจกับการคาดเดาของภรรยา“ท่านพี่นี่คือการคาดการณ์เพียงเท่านั้น ถ้านางสามารถทำสำเร็จก็จะสามารถสร้างความวุ่นวายและให้ท่านพี่และข้าได้หย่าขาดจากกัน เผ่าหลี่เจียงคงจะอยากได้สมาคมการค้าที่อยู่ในมือข้าเพื่อไปสนับสนุนเผ่าของตนเอง และท่านเองก็ม