หากต้องการเป็นเพียงแค่สหาย ข้าก็ไม่ขัดข้องอันใด ข้ายอมแล้วจริงหนึ่งชาติที่รอคอยข้าพอแล้ว แต่ใยยังมาตามติดอีกเล่า ท่านแม่ทัพท่านบ้าไปแล้วหรือ
View Moreบทที่1 ชะตาหวนคืน
ร่างบางที่มีใบหน้างดงามแต่ก็มิได้งดงามถึงขนาดล่มเมืองถึงเพียงนั้น นั่งเหม่อลอยด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นางจับใบหน้าที่ยังสวยสดงดงามไม่ได้แก่ชราไปตามกาลเวลาก่อนหน้านี้
ตั้งแต่บิดาเสียชีวิตในสนามรบเพียงไม่ถึงเดือนก็ได้รับ สมรสพระราชทานที่นำมาจากเมืองหลวง ให้แต่งงานกับท่านแม่ทัพ ‘เฉินโม่เหยียน’ที่ประจำการอยู่ที่ ‘เมืองเป่ยฉิน’ ในทิศตะวันตก
ท่านแม่ทัพเฉิน ขึ้นมาเป็นแม่ทัพแทนท่านพ่อของนาง แต่ท่านแม่ทัพมีนางในดวงใจแล้วที่เมืองหลวงถึงจะไม่อยากแต่งงานแต่ก็ขัดราชโองการไม่ได้ จนเมื่อแต่งงานนางยังคงทำหน้าที่ กุนซือต่อในกองทัพ ด้วยพยายามขอร้องสามี เพียงหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดด้วยคิดว่าสักวันหนึ่ง สามีที่มีใบหน้าหล่อเหลาร่างสูงกำยำองอาจดั่งนักรบ อาจจะยอมรับนางจนเกิดความรักขึ้นมาได้ แต่เรื่องราวหาเป็นเช่นนั้น ถึงจะอยู่ใกล้ชิดเพียงใด สามีก็ไม่เคยสนใจ ในฐานะภรรยาแม้แต่น้อยเพียงแต่ให้เกียรตินางเหมือนกับเป็นสหายเสียมากกว่า กับสามีไม่ได้มีบุตรถึงจะถูกกดดันเรื่องการสืบทายาท เฉินโม่เหยียนก็ไม่สนใจ และนางเองก็ต้องปล่อยไปเพียงเพราะทำอันใดไม่ได้ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต สามีก็ได้ลาออกจากการเป็นแม่ทัพด้วยวัยห้าสิบแปดปี และนางอายุห้าสิบเจ็ดปีและได้เสียชีวิตในวัยห้าสิบเก้าปี
และใช่นางคือ ‘โจวฟางหลิน’ ที่ทั้งชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารเพียงแค่ต้องการจะใกล้ชิดสามีที่เย็นชา แต่ใช้เวลามาทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะละลายน้ำแข็งในใจบุรุษผู้นี้ได้เลย
“ฮูหยินเจ้าคะ ทำไมถึงนั่งเหม่อหรือเจ้าคะ ไม่สบายรึไม่ ให้ซุนหงไปตามท่านหมอดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ร่างบางมองใบหน้าสาวรับใช้ที่อยู่ใกล้ชิดนางมาตลอดตั้งแต่ชาติที่แล้ว ซุนหงได้อยู่กับนางจนวาระสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่นางลาออกจากกองทัพในฐานะกุนซือ สายตาที่มองบ่าวผู้นี้จึงอ่อนโยนยิ่งขึ้นด้วยความเอ็นดู บัดนี้นางไม่ใช่สตรีแรกรุ่นอีกแล้ว นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี เจอะเจอผู้คนล้มตายทั้งจากสงครามและความอดอยาก เมื่อได้กลับมาอีกครั้งเด็กสาวเช่นซุนหงจึงดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ช่วงนี้เป็นฤดูไหนและปีไหนรึ” โจวฟางหลิน ยังไม่แน่ใจนักว่านางกลับมาช่วงเวลาไหน
“เซี่ยจี้ รัชศกที่15 สมัยฮ่องเต้หม่าจิ้งเทียนเจ้าค่ะ”ซุนหงเอ่ยตอบพร้อมกับจับจ้องใบหน้าของฮูหยินที่นางทั้งรักและเคารพด้วยความเป็นห่วง พลางคิดว่านายหญิงสติฟั่นเฟือนจนเลอะเลือนไปแล้วรึ จึงถามเช่นนี้
โจวฟางหลินรู้แล้วนางได้ย้อนเวลามาช่วงอายุยี่สิบปี หลังจากแต่งงานได้สองปี และพยายามที่จะขอร้องสามีติดตามไปค่ายทหารเพื่อเป็นกุนซือเช่นเดิม จนสุดท้ายสามีทนความรบเร้าไม่ไหวจึงรับปากให้นางได้กลับไปเป็นกุนซือกองทัพอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะไม่มีทางทำเช่นนั้นอีกแล้ว นางจะใช้ชีวิตด้วยความอิสระ จะไม่ยึดติดขอความรักจากสามีเช่นชาติก่อน ชาติที่แล้วช่างทุกข์ใจเหลือจะกล่าว ชาตินี้นางพอแล้ว
“ฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบเจ้าค่ะ” บ่าวด้านนอกได้แจ้งถึงสิ่งที่เจ้านายสั่งมา
“รอสักครู่ ข้าจะตามไป”ร่างบางเอ่ยเพื่อที่จะได้เตรียมตัว ฮูหยินผู้เฒ่าตลอดระยะเวลาที่นางแต่งงานเข้ามา เอ็นดูนางหรือจะเพราะสงสารที่สามีไม่รักก็ไม่รู้เช่นกัน แต่โดยรวมก็ปฏิบัติต่อนางก็ไม่เลวนัก ต่างจากแม่สามีและผู้อื่นที่มักจะมีสายตาที่ดูถูก ด้วยบิดาของนางได้เสียชีวิตไปแล้ว กระทั่งตระกูลก็มีเพียงแต่สตรี จึงไม่อาจหนุนหลังสามีได้ จึงเป็นที่ดูถูกเป็นธรรมดา
“คำนับท่านย่า ท่านแม่ และอี้เหนียง เจ้าค่ะ” โจวฟางหลินเอ่ยทักทายทุกคนที่อยู่ภายในห้องด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เจ้ามาแล้วรึ พอดีจะมีเรื่องพูดคุยกับเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเพ่งพิศพิจารณา หลานสะใภ้ผู้นี้วันนี้ช่างมีกิริยามารยาทที่แปลกไป ดูสง่างามหลังตั้งตรง สายตาที่เย็นเยียบเหมือนดั่งคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนไม่สนใจสิ่งรอบตัวอีกแล้ว คนเราจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางภายในระยะเวลาอันสั้นได้เช่นนี้เลยรึ ถึงจะเป็น กุนซือในกองทัพมาก่อนแต่เมื่อแต่งงานมาที่ตระกูลเฉินกลับมีนิสัยที่อ่อนโยนร่าเริงและการเอาอกเอาใจสามี เพียงแต่หลานชายของนางก็ช่างเย็นชายิ่งนัก
โจวฟางหลินนั่งลงตรงโต๊ะที่ถัดไปจากอี้เหนียงซุนอิงหลัน ด้วยใบหน้าเรียบเฉยมีเพียงมุมปากที่กดลึกคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม จนคนภายในห้องรู้สึกถึงความมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก
“อีกไม่กี่วัน โม่เหยียน จะกลับมาจากค่ายทหาร เวลานี้เจ้าก็แต่งงานกันมาจะครบสองปีแล้ว”ฮูหยินหยุดถอนใจด้วยจะพูดต่อเพื่อกดดันหรือจะเช่นไรต่อก็ยังไม่แน่ใจ
“ท่านย่าถ้าข้าไม่สามารถมีบุตรได้ ท่านย่าจะหาภรรยารองให้ท่านพี่ก็แล้วแต่พิจารณาของท่านย่าเจ้าค่ะ” ร่างบางคาดไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ ด้วยนางก็แต่งงานเข้ามาก็นานพอมควร เสมือนแม่ไก่ออกไข่ไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่จะมีภรรยาเพียงคนเดียว
“ลูกสะใภ้นี่ช่างเข้าใจอะไรง่ายดีนะเจ้าคะท่านแม่”ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยท่าทียิ้มเยาะ
โจวฟางหลิน ตวัดสายตามองมารดาของสามีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้วยท่าทางที่นิ่งของลูกสะใภ้ เฉาเหม่ยอิง ถึงกับขนลุกโดยไม่รู้ตัว สายตาที่ดูรู้ทันทุกความคิด ไม่สนใจว่าใครจะคิดเห็นต่อนางเยี่ยงไรเช่นนี้ช่างไม่ใช่กิริยาของสตรีแรกรุ่นที่น่าจะมีความอ่อนโยนมากกว่านี้
อนุซุนอิงหลัน ลอบมองรู้สึกว่านั่งนิ่งๆเฉยๆ เป็นการทำถูกแล้ว สายตาและท่าทางของโจวฟางหลินช่างดูมีอำนาจแปลกๆกิริยาท่าทางก็ต่างออกไปจากเมื่ิอก่อนดูเย็นชาไม่ได้อ่อนโยนเช่นแต่ก่อน
“เรื่องนี้ ท่านย่ากับท่านแม่ตัดสินใจได้เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้จะโต้แย้งอันใด ข้าเคารพการตัดสินของผู้ใหญ่ที่ต้องมองการณ์ไกลกว่าแน่นอน” ฟางหลินเอ่ยเพื่อจะตัดจบบทสนทนาที่น่าเบื่อเช่นนี้เสียที นางไม่ขัดนั่นถูกต้องแล้ว เพราะนางเองก็ไม่คิดจะไปตามตอแยอะไรสามีน้ำแข็งนั้นอีกแล้วเช่นกัน ยังมีเรื่องให้ทำอีกมากมายไม่คิดจะมาเสียเวลาเรื่องรักๆใคร่ๆเช่นนี้อีก
“เจ้าช่างเป็นคนมีเหตุมีผลเสียจริง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดูหลานสะใภ้ ที่ช่างเข้าใจอะไรง่ายดายนักไม่คิดหึงหวงจนน่ามืดตามัวจนไม่สนการสืบทอดทายาทของตระกูลที่มีความจำเป็นมากสำหรับสืบทอดวงค์ตระกูลต่อไป
“เจ้าเข้าใจง่ายเช่นนั้นก็ดี ข้าก็พอมีคุณหนูบางคนที่จะแต่งเข้ามาเหมือนกัน” ฮูหยินใหญ่เอ่ยปากพลางมองใบหน้าลูกสะใภ้ ว่าจะไม่สนใจเช่นที่แสดงออกจริงหรือไม่
“แล้วแต่ท่านแม่เห็นสมควรเจ้าค่ะ”ร่างบางแอบถอนหายใจ ว่ายังไม่จบอีกรึ เสียเวลาของนางเสียจริง เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นจะดีกว่านี้เสียอีก
“แล้วเจ้าสนใจผู้ใดอยู่รึ”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามลูกสะใภ้ด้วยอยากรู้ว่าได้ถูกใจคุณหนูตระกูลใดไว้บ้าง
โจวฟางหลินแทบจะเหลือบสายตามองบนฟ้า จะปรึกษาหารือกันก็ให้นางกลับออกไปก่อนได้รึไม่ นางไม่ต้องการจะรู้ว่าจะให้ใครมาเป็นภรรยารองของสามี หรือจะให้หย่าขาดจากกันก็ย่อมได้ ถึงอย่างไร หัวเมืองทางเหนือก็อยู่ไกลพระราชวังเป็นพันลี้ ยังไงต่อให้เป็นสมรสพระราชทานแล้วอย่างไร แค่ปล่อยข่าวว่านางทำผิดเจ็ดขับก็สามารถหย่าขาดจากกันได้แล้ว
“ข้าคิดว่าคุณหนู ‘ จูอินหลัน’ก็ใช้ได้นะเจ้าคะ เป็นบุตรสาวของคหบดีที่มีร้านค้ามากมายกระจายไปถึงเมืองหลวง รูปร่างก็ดูอรชรอ้อนแอ้นใบหน้าก็งดงาม กิริยามารยาทก็อ่อนหวาน” ฮูหยินเฉาเสวี่ยนหลง เมื่อเอ่ยจบได้ชำเรืองมองลูกสะใภ้ด้วยท่าทีเย้ยหยัน ขนาดภรรยาที่นางจะให้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้รองยังมีอำนาจหนุนหลังมากกว่านางที่เป็นสะใภ้ใหญ่เสียอีก
โจวฟางหลินนั่งนิ่งๆไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ใบหน้าที่ราบเรียบมิบ่งบอกถึงอารมณ์ จึงดูขัดหูขัดตาแม่สามียิ่งนัก
“ก็ดีนะเจ้าคะ ท่านแม่ข้าว่าคุณหนูจู ก็มีใจให้กับโม่เหยียนของเราไม่น้อย” อี้เหนียงที่นั่งฟังมานานจึงเริ่มออกความคิดเห็นบ้าง
“หรือจะเป็นคุณหนูซุยซูอวิ๋น บุตรคนรองของเจ้ากรม ก็คงยินดีที่จะแต่งเข้ามาด้วยนางเองก็ดูชมชอบโม่เหยียบของเราเช่นกัน”
โจวฟางหลินถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้นับ เพียงแค่คิดว่าเมื่อไหร่จะปรึกษากันจบเสียที นางต้องการกลับพักผ่อนเพื่อที่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ถ้าจะให้มาอยู่เฉยๆแบบนี้คงไม่ได้
“แล้วเจ้าหล่ะ ฟางเอ๋อ คิดเห็นเป็นเช่นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าได้เอ่ยถามหลานที่สะใภ้ ที่ยังนั่งนิ่งไม่ออกความเห็นใดๆด้วยความสงบนิ่งเหมือนกับเรื่องนื้ไม่เกี่ยวกับนางเสียอย่างนั้น
“คุณหนูจูอิงหลันก็ดีเจ้าค่ะ ทั้งงดงามอ่อนหวานเบื้องหลังก็มีบิดาที่่มีเส้นสายทั้งในหัวเมืองและเมืองหลวง คงจะส่งเสริมท่านแม่ทัพได้ไม่น้อย” โจวฟางหลินไม่ได้ใส่ใจนักจึงเอ่ยส่งๆไป เพราะสตรีที่ว่ามาต่างก็มีภูมิหลังที่ดี อีกคนถึงแม้ไม่ได้มาจากข้าราชการแต่สามารถกดข่มผูุ้คนได้เช่นกันด้วยอำนาจเงินที่มี ส่วนอีกคนก็มีบิดาเป็นถึงรองเจ้ากรมคงส่งเสริมกันได้ในด้านติดต่อขอกำลังทหารจากเมืองหลวงได้รวดเร็วยามศึกสงคราม
“ ในเมื่อรู้จักที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา ส่งเสริมสามีเยี่ยงนี้ก็ดี” ฮูหยินใหญ่ยังคิดจะเหน็บลูกสะใภ้เพียงเพราะไม่ชอบหน้า ที่บุตรชายต้องมาแต่งงานกับสตรีที่ไม่มีภูมิหลังส่งเสริมสามีได้เช่นนี้
“อาหล่ะ วันนี้ก็คงจะพอกันแค่นี้ก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้ โม่เหยียนกลับมาค่อยปรึกษากันอึกที ต้องถามความคิดเห็นของโม่เหยียนด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้นิสัยของหลานชายดีว่าดื้อรั้นขนาดไหน ถ้าไม่คิดจะทำตามก็จะไม่ยอมเสียโดยง่าย ดูจากที่แต่งหลานสะใภ้ผู้นี้มาร่วมสองปี ยังไม่เคยร่วมหอสักครัั้งเอาแต่หนีไปค่ายทหารอ้างแต่มีงานเยอะจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้ แค่กำลังจะกลับมาหลังจากไปอยู่ค่ายทหารเกือบหกเดือน
“ข้าลาเจ้าค่ะ” โจวฟางหลิน ย่อตัวทำความเคารพกับทุกคนและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหนีปีศาจ แต่แท้จริงคือนางเมื่อยมากจากที่นั่งฟังเรื่องราวไร้สาระนับชั่วยาม
ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อเห็นหลานสะใภ้ออกไปไกลแล้ว จึงได้เอ่ยตำหนิสะใภ้ใหญ่ ที่ไม่เก็บอาการที่ถากถางเยาะเย้ยลูกสะใภ้อยู่ตลอดเวลา
“เรื่องราวก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเจ้าจะมารังเกียจรังงอนอะไรกับลูกสะใภ้อีก นางก็ถูกสมรสพระราชทานมาเช่นกัน นางก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ดี เพียงแต่บุตรชายของเจ้าเสียอีกที่ไม่สนใจนางเลยด้วยซ้ำ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยยความหงุดหงิดใจในความไร้เหตุผลของสะใภ้ใหญ่ จึงได้บอกให้แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเสีย นางกลุ้มใจกับสะใภ้ผู้นี้เสียจริง นางเองถึงแม้จะมีภูมิหลังที่ดีแต่ใช่ตระกูลของนางจะมาช่วยเหลือมากมายเสียเมื่อไหร่
ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ🙏❤️
อย่าลืมกดเข้าชั้นเพื่อจะได้ไม่พลาดตอนใหม่ๆด้วยนะคะ
#นางเอกไรท์ค่อนข้างโหดนิสนึงนะคะ#
ชื่อเสียงของแม่ทัพเฉินโม่เหยียนและฮูหยินของแม่ทัพโจวฟางหลินที่้เป็นกุนซือของกองทัพร่ำลือจนมาถึงเมืองหลวงนับวันยิ่งเป็นที่ยกย่องของประชาชน ด้วยถ้าแผ่นดินนี้ยังมีทั้งสองคนนี้แผ่นดินย่อมสงบสุขเป็นแน่ กลบความเชื่อมั่นต่อโอรสสวรรค์จนเบาบางลง ทำให้มีความรู้สึกถึงความคุกคามต่อความเชื่อมั่นในราชสำนัก ความหวาดระแวงเพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก ความผิดพลาดที่ส่งหอกอันแหลมคมไปให้แม่ทัพแดนเหนือจึงได้อัดอั้นจนยากจะบรรยาย ถ้วงรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้พระองค์จะให้นางเข้าวังเป็นสนมเสียยังดีกว่าปล่อยนางไปเสริมเขี้ยวเล็บให้กับผู้อื่นเช่นนี้ “ฝ่าบาทบัดนี้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อราชสำนักช่างสั่นคลอนยิ่งนักพะย่ะค่ะ” กงกงเฒ่าทำให้รู้สึกกังวลที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อราชสำนักลดลงอย่างมากไปแห่งหนใดก็จะมีแต่คำกล่าวยกย่องต่อแม่ทัพแดนเหนือและกุนซือเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดนักเล่านิทานยังเอาไปเล่ากันอย่างออกรสออกชาติ “ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก เรากลับยื่นดาบที่แหลมคมให้กับแม่ทัพเฉินเสียอย่างนั้น” ฮ่องเต้หนักพระทัยที่มิทรงจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรถึงจะดี จะยื่นราชโองการหย่าร้างก็จะทำให้ประชาชนกล่าวขานในทางที่ไม่ดี
เมื่อได้กลับออกมาจากคฤหาสน์ของท่านเหลียว จึงได้มุ่งหน้าไปอีกหนึ่งที่ ที่มีความสำคัญในเส้นทางการค้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่บุคคลคนนี้ไม่ได้มีท่าทีเช่นท่านเหลียว กับมีมิตรไมตรีต่อกันเช่นคู่ค้าที่ไม่ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมต่อกันมากนัก เพียงแค่ตรงไปตรงมานางก็พร้อมจะเจรจาตรงไปตรงมาเช่นกัน ผลประโยชน์ย่อมต้องการทั้งนั้นแต่ความซื่อตรงย่อมสำคัญเช่นกัน “คนผู้นี้ที่เรากำลังจะไปหาก็เป็นคู่ค้ากับเจ้ารึ” เฉินโม่เหยียนเอ่ยถามด้วยความต้องการอยากจะรู้ถึงบุคคลที่ต้องเดินทางไปหาเป็นผู้มีความสำคัญเช่นไร “ใช่เจ้าค่ะ เป็นผู้หนึ่งที่ข้าเจรจาการค้าตั้งแต่ครั้งแรก อุปนิสัยค่อนข้างซื่อตรงพอสมควร” “ครานี้เมื่อได้เห็นโครงข่ายการค้าของเจ้าช่างกว้างไกลยิ่งนัก”รู้สึกถึงความเก่งกาจของนางเมื่อได้เข้ามาพบเห็นด้วยสายตาตนเอง ถ้านางไม่ใช่ภรรยาของเขา ก็คงไม่ใช่ผู้ที่จะมาใกล้ชิดกับนางได้โดยง่ายเช่นนี้ จึงได้แต่ขอบคุณสวรรค์ที่เข้าข้างเขาเสียจริงที่ได้นางมาเป็นภรรยา และรู้สึกผิดที่ไม่มีใจให้นางตั้งแต่แต่งงานกัน เกือบจะทำให้พลาดสิ่งที่ดีไปเสียแล้ว เมื่อได้ถึงคฤหาสน์ของนายท่านเหล่าหลานที่มีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ บ่งบอกถึงก
เมื่อการสนทนาระหว่างสามีภรรยาได้คลี่คลายความคลางแคลงใจทั้งหมด บรรยากาศการห่างเหินก็เริ่มจะกระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น แต่ยังคงใช้ชีวิตที่เวลานอนยังคนละเตียงต่างคนต่างให้เวลาซึ่งกันและกัน แต่คงจะมีสิ่งหนึ่งที่เวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงไป โจวฟางหลินที่มักจะไปบนเขาเพียงลำพังแต่กลับมีสามีร่างสูงผู้นี้ติดตามไปด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาและนางจะต้องร่วมกันทำด้วยกันและต้องรับรู้ทุกสิ่งอย่างด้วยกัน ทรัพย์สินทุกอย่างจะให้นางเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมดรวมทั้งของเขาด้วย เฉินโม่เหยียนเขาต้องการเป็นแค่สามีที่ถูกภรรยาคอยดูแลเท่านั้น และถ้านางจะทอดทิ้งเขานางจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะเขานั้นได้ให้ทุกอย่างกับนางไปจนสิ้นแล้วเป็นเพียงคนตัวเปล่า ความเจ้าเล่ห์ของชายร่างสูงผู้นี้ทำให้โจวฟางหลินถึงกับอ่อนใจ ยามไม่รักก็เย็นชาจนเหน็บหนาวไปถึงกระดูก แต่ยามรักใคร่ก็คลอเคลียยิ่งกว่าเจ้าแมวน้อยเสียอย่างนั้น เมื่อมาถึงบนเนินเขาสูง ทั้งสองได้ลงจากรถม้ายามเท้าแตะลงบนพื้น คนงานหลายร้อยคนต่างสับเปลี่ยนเข้ามาคำนับนายหญิงไม่ขาดสายด้วยนายหญิงไม่ได้มาด้วยตนเองนานแล้ว คนงานบางคนยังไม่เคยเห็นนายหญิงที่เป็นที่กล่าวขานกัน
ฮูหยินใหญ่เฉาเดินวนไปวนมาที่หน้าเรือนลูกสะใภ้ ด้วยยังไม่กล้าสู้หน้าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำสิ่งดีๆต่อกันสักเท่าไหร่ การที่ลูกสะใภ้จะไม่เคารพนางก็คงจะสมควร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยก้าวร้าวใส่เพียงแค่นิ่งเฉยไม่ใส่ใจ จึงทำให้นางมีอคติยิ่งขึ้น เวลานี้แค่อยากจะมาสานสัมพันธ์แต่เมื่อถึงเรือนกลับไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร “นายหญิงเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่เดินวนไปวนหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ”ชุนหงเอ่ยกระซิบเสียงเบา สงสัยว่าจะมาหานายหญิงเป็นแน่ แต่ใยไม่เข้ามาในเรือน ทุกครั้งไม่เห็นจะเกรงใจเช่นนี้เลยสักนิด โจวฟางหลินถอนหายใจ นางรับรู้แต่แรกเพียงแต่แม่สามีกลับเดินวนไปมาเสียอย่างนั้น จึงได้สาวเท้าก้าวออกไปจะได้รู้เสียทีว่าแม่สามีผู้นี้มีเหตุธุระอันใดจึงมาหาถึงเรือน “เชิญท่านแม่เข้ามาในเรือนก่อนเจ้าค่ะ” เอ่ยเชิญเข้ามาในเรือนเพื่อนั่งสนทนาเสียดีกว่าจะได้เรื่องมากกว่านี้ “เอ่อ.ได้ได้” หญิงวัยกลางคนสะดุ้งตกใจที่จู่ๆลูกสะใภ้ก็เอ่ยขึ้นมา แต่ก็ดีจะได้สนทนากันได้เสียที “ท่านแม่มาหาข้าหรือมาหาท่านแม่ทัพเจ้าคะ ข้าจะได้ให้คนไปแจ้งให้” ร่างบางเอ่ยถามจะได้รู้จุดประสงค์แห่งการมาเสียที “คือ.แม่มาหาเจ้า” ฮูหยินใหญ่เอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉา นั่งมองบุตรชายที่ฟุบหลับไปบนโต๊ะ สักวันเจ้าจะมาขอบคุณแม่ที่ทำเช่นนี้ สตรีผู้นั้นไม่เหมาะสมกับเจ้าสักนิด “พวกเจ้ามาพยุงไปที่ห้องคุณหนูหู” สั่งการบ่าวรับใช้ให้มาช่วยกันพยุงบุตรชายไปหาหูไฉ่หยู เพื่อที่ไม้ท่อนจะได้กลายเป็นเรือเสียที ถ้าพ้นคืนนี้ไปทุกอย่างก็จะสำเร็จไปด้วยดี เมื่อสามารถพาร่างอันสูงใหญ่ไปนอนที่เตียงได้สำเร็จ หูไฉ่หยูซึ่งนั่งรอในห้องอยู่แล้ว จึงได้เข้าไปลูบไล้บนใบหน้าอันหล่อเหลา สันกรามชัดสมชายชาตรีด้วยความหลงใหล ใยนางถึงเมินเฉยต่อเขาในตอนก่อนนะ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะถอดเสื้อคลุมอันบางเบาออกเสีย จะได้ขึ้นไปนอนแนบชิดกับร่างสูงบนเตียงด้วยหมายมั่นจะต้องได้ครอบครองบุรุษที่มีทั้งต่ำแหน่งสูงและใบหน้าอันหล่อเหลาผู้นี้เสียที “หยุดกิริยาอันไม่สมควรเสียคุณหนูหูไฉ่หยู” ฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้แม่นมจางมาจับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เข้ามาห้ามได้ทันเวลา และได้ให้ไปตามโจวฟางหลินมาด้วย หูไฉ่หยู ที่กำลังจะถอดเสื้อคลุม ชะงักตกใจด้วยไม่คิดว่าจะมีผู้ใดมาพบเห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ จึงทรุดตัวลงด้วยความอ่อนแรงด้วยความอับอายที่ถูกจับได้ที่ทำสิ่งที่มิควร “เจ้าแต่งกายใ
ฮูหยินใหญ่เฉา เห็นท่าทีของแม่สามีที่มีต่อหลานสะใภ้ผู้นี้ จึงได้หงุดหงิดใจ อำนาจในจวนยังไม่ใช่ของนาง ย่อมชี้ถูกผิดไม่ได้ พลางหันไปมองใบหน้างดงามของสตรีที่รับปากและชักชวนเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะจัดให้แต่งงานเข้ามาให้ได้ด้วยความหนักใจคราที่แล้วก็ถูกคุณหนูทั้งสองโกรษเคืองที่รับปากเช่นกันแต่ไม่สามารถทำได้ตามที่เอ่ยปากออกไป ครั้งนี้จะพลาดไม่ได้ ยังไงคุณหนูหู ผู้นี้ย่อมมีดีกว่าโจวฟางหลินแน่นอน นางเป็นบุตรสาวของภรรยารองที่ท่านเสนาบดีรักใคร่ยิ่งกว่าภรรยาเอก ไฉนเลยถ้าได้แต่งเข้ามาจะไม่สามารถหนุนหลังสามีไม่ได้เชียวรึหูไฉ่หยู มองภาพความสนิทสนมของบุรุษตรงหน้าด้วยความน้อยใจ กลับมาที่จวนยังจะควบม้าตัวเดียวกัน โอบกอดกันมาตลอดทาง ไหนจะฮูหยินผู้เฒ่าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูนั่นอีก ท่านป้ามารดาของแม่ทัพเฉินยังจะช่วยให้นางสมหวังหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลยเดินทางมานับพันลี้ไม่คิดว่าจะมาได้พบเห็นภาพเช่นนี้"หึ"ด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจของร่างบอบบาง ที่งดงามดั่งจิ้งจอกน้อย ดูน่าสงสาร ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนถูกครอบครัวสามีห่างเหินจนน้อยใจ ช่างขัดตาฮูหยินผู้เฒ่านัก จึงได้แค่นเสียงออกมาในลำคอหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิดใจ
Comments