ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ป

ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ป

หลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิม

เช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา

"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่น

ปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"

พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผู้บริหารสูงสุดและภรรยาอย่างนอบน้อม

"สวัสดีครับท่านประธาน สวัสดีครับคุณปลายฝัน" เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกัน

ภาคินัยพยักหน้ารับอย่างเป็นกันเอง "สวัสดีครับทุกคน"

ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองดูน้องเมฆที่ส่งเสียงอ้อแอ้ตอบรับ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูถูกส่งมายังเด็กน้อยไม่ขาดสาย บรรยากาศในล็อบบี้ที่เคยดูเคร่งขรึม ก็พลันอบอุ่นขึ้นมาทันตาเห็น

เมื่อภาคินัยและปลายฝันพาน้องเมฆขึ้นไปยังชั้นที่ทำงาน ทุกสายตาของพนักงานที่กำลังทำงานอยู่ต่างก็หันมาจับจ้องที่ครอบครัวเล็กๆ นี้ พนักงานหลายคนยืนขึ้นเพื่อทักทายและแสดงความยินดี

"สวัสดีค่ะท่านประธาน คุณปลายฝัน"

"โอ๊ยยย น้องเมฆน่ารักมากเลยค่ะท่านประธาน!" เสียงอุทานด้วยความเอ็นดูดังขึ้น พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้รถเข็นเด็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "ตาแป๋วเชียวค่ะ เหมือนคุณปลายฝันเลย"

ภาคินัยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ใช่ครับ เหมือนปายเลยใช่ไหมครับ"

ปลายฝันส่งยิ้มให้พนักงานทุกคน "ขอบคุณมากนะคะ น้องเมฆขี้อ้อนมากค่ะ"

น้องเมฆดูเหมือนจะรับรู้ถึงความรักที่ทุกคนส่งมาให้ เขาส่งเสียงหัวเราะคิกคักและโบกมือเล็กๆ ไปมา ทำให้พนักงานหลายคนอดใจไม่ไหว ต้องเข้ามาเล่นด้วย

"แหมะ น้องเมฆรู้เรื่องจริงๆ เลยนะคะ"

"อยากมีลูกน่ารักแบบนี้บ้างจังเลยค่ะ"

เสียงชื่นชมและเสียงหัวเราะดังระงมไปทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศในออฟฟิศที่เคยตึงเครียดด้วยงาน กลับกลายเป็นความสดใสและผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ

ขณะที่ภาคินัยกำลังจะพาปลายฝันและน้องเมฆเข้าไปในห้องทำงาน เสียงทักทายที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

"เฮ้ย ภีม! ไม่คิดว่าจะเจอแกที่นี่เลยนะเนี่ย"

ภาคินัยหันกลับไปมอง ก็พบกับธามที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำหวานและน้องเมษาในรถเข็นเด็กเช่นกัน

"อ้าว ธาม! น้ำหวาน! ไม่คิดว่าพวกนายจะมาด้วยกันเลยนะเนี่ย" ภาคินัยยิ้มกว้างด้วยความประหลาดใจ

"ก็คิดถึงเลยแวะมาหาน่ะสิ" ธามตอบพลางหัวเราะ "ดูสิ เมษาก็ได้มาเยี่ยมบริษัทฉันเป็นครั้งแรกเหมือนกัน"

น้องเมษาตัวน้อยในรถเข็นก็ดูน่ารักไม่แพ้น้องเมฆ เธอจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ดวงตากลมโตเป็นประกาย

พนักงานที่เห็นธามและน้ำหวาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารคนสำคัญของกลุ่มบริษัทในเครือที่มาเยี่ยม ก็ต่างตกใจและรีบเข้ามาทักทายและชื่นชมน้องเมษาเช่นกัน

"สวัสดีครับคุณธาม คุณน้ำหวาน"

"โอ๊ยยย น้องเมษาก็น่ารักจังเลยค่ะ! แก้มยุ้ยน่าหอมจริงๆ"

ทั้งสองครอบครัวยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลี้ยงลูก และแบ่งปันความสุขที่ได้มาเยี่ยมบริษัทพร้อมกัน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเขาสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองไปทั่วทั้งชั้น

การมีลูกไม่เพียงแค่เปลี่ยนชีวิตส่วนตัวของภาคินัยและปลายฝัน แต่ยังจุดประกายแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ในการบริหารภาคินัย กรุ๊ป ภาคินัยตระหนักว่าทุกการตัดสินใจไม่ได้ส่งผลแค่ในปัจจุบัน แต่ยังหมายถึงอนาคตของน้องเมฆและคนรุ่นต่อไปด้วย เขาจึงผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ที่เน้นความยั่งยืน นวัตกรรม และการสร้างคุณค่าให้กับสังคมควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจ

"เราไม่ได้สร้างแค่ตึก แต่เรากำลังสร้างอนาคต" ภาคินัยเคยกล่าวในการประชุมผู้บริหาร "การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและการพัฒนาชุมชน จะเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของภาคินัย กรุ๊ป"

ปลายฝันแม้จะยังคงทุ่มเทให้กับการดูแลน้องเมฆ แต่ก็ยังเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนกลยุทธ์และให้คำปรึกษาแก่ภาคินัยอยู่เสมอ เธอช่วยเสริมในด้านความยืดหยุ่น ความเข้าใจในบริบททางสังคม และการสื่อสารที่เข้าถึงใจคนได้อย่างน่าทึ่ง

"คุณภีมคะ การที่เราลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่แค่เรื่องของผลกำไรระยะยาวเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท และแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย" ปลายฝันเสนอแนะอย่างแยบยล

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดภายใต้การบริหารของภาคินัยคือการขยายธุรกิจออกสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างชาญฉลาด ภาคินัย กรุ๊ปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่ได้ริเริ่มโครงการที่หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น เขาเล็งเห็นถึงความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มองหาที่อยู่อาศัยที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงได้ผลักดันโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวอัจฉริยะ ที่มีการนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมเข้ามาใช้ และเน้นการออกแบบที่คำนึงถึงพื้นที่สีเขียวและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ภาคินัย กรุ๊ปยังได้เริ่มลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไร แต่ยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัทอีกด้วย และเมื่อผนวกกับความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ผู้คนของปลายฝัน พวกเขายังได้ร่วมกันพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งช้อปปิ้ง แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนสามารถมาใช้ชีวิต ทำกิจกรรมร่วมกัน ฟิตเนส ร้านอาหารสุขภาพ และพื้นที่สำหรับครอบครัวและเด็กเล็ก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง

ภาคินัยและทีมงานยังได้พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือสำหรับลูกบ้าน เพื่อยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัย แอปพลิเคชันนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารกับนิติบุคคล การจองพื้นที่ส่วนกลาง การแจ้งซ่อมแซมสิ่งต่างๆ และการเข้าถึงบริการอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ลูกบ้านได้รับความสะดวกสบายและใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว

ภาคินัยเชื่อว่าการที่บริษัทจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องเริ่มต้นจากการดูแลทรัพยากรบุคคลที่ดี และการตอบแทนกลับคืนสู่สังคม

ภาคินัย กรุ๊ปปรับปรุงสวัสดิการพนักงานให้ดียิ่งขึ้น มีการจัดตั้งศูนย์ดูแลเด็กเล็กในที่ทำงานสำหรับพนักงานที่มีบุตร เพื่อลดภาระและเพิ่มความสบายใจในการทำงาน รวมถึงโปรแกรมพัฒนาศักยภาพและฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวบริษัทและทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่

ปลายฝันเข้ามามีบทบาทสำคัญในการริเริ่มและดูแลโครงการเพื่อสังคม  ของบริษัท เธอจัดตั้งโครงการ "บ้านเพื่อฝัน" ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างที่อยู่อาศัยราคาประหยัดให้กับผู้ด้อยโอกาส และโครงการ "สวนสาธารณะแห่งความสุข" ที่ปรับปรุงพื้นที่รกร้างให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับชุมชน การทำกิจกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท และสร้างความภาคภูมิใจให้กับพนักงานทุกคนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม

นอกจากนี้ ทุกโครงการของภาคินัย กรุ๊ปถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การจัดการน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการคัดแยกขยะอย่างจริงจัง เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อโลกและอนาคตของคนรุ่นต่อไป

ภายใต้การบริหารของภาคินัยและปลายฝัน ภาคินัย กรุ๊ปไม่เพียงแต่เจริญรุ่งเรืองในด้านผลกำไรเท่านั้น แต่ยังเติบโตในด้านคุณค่าและภาพลักษณ์ที่ดีอีกด้วย การมีน้องเมฆเข้ามาในชีวิตทำให้ภาคินัยมีแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อครอบครัว สังคม และอนาคตของคนรุ่นต่อไป

บริษัทได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคม การทำงานร่วมกันของภาคินัยและปลายฝัน ซึ่งเติมเต็มซึ่งกันและกัน ได้นำพาภาคินัย กรุ๊ปไปสู่จุดสูงสุด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคุณปู่ของภาคินัยว่าทายาทผู้นี้จะนำพาอาณาจักรแห่งนี้ไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนตลอดไป