หลังจากที่ภาคินัยวางสายใส่เธออย่างไม่ไยดี ทิชายืนนิ่งอยู่กลางห้องนั่งเล่นราวกับถูกสาป ใบหน้าของเธอซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความโกรธ และความสับสน เธอไม่เคยคิดว่าภาคินัยจะกล้าพูดและทำแบบนี้กับเธอถึงสองครั้งสองครา การบอกเลิกการแต่งงาน และการปกป้องปลายฝันอย่างออกนอกหน้า คือสิ่งที่ตอกย้ำว่าเธอกำลังจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเชื่อมั่นมาตลอด
เสียงของภาคินัยยังคงก้องอยู่ในหัว "ผมจะทิ้งคุณไปเพราะคุณกำลังทำลายทุกอย่างทิชา! ผมไม่อยากอยู่กับคนที่คอยแต่จะสร้างปัญหาให้คนอื่นแบบคุณ!" คำพูดเหล่านั้นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ทิชาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวหรูอย่างหมดแรง
ความรู้สึกที่หลากหลายตีรวนอยู่ในอก ทิชายอมรับว่าเธอรักภาคินัยในแบบของเธอ รักในสถานะที่เขาเป็น รักในอำนาจบารมีที่เขามี และรักในความมั่นคงที่การแต่งงานกับเขาจะนำมาให้ตระกูลของเธอ แต่คำพูดของธามที่เคยเตือนสติเธอไว้ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด “ความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองคนมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่ใช่หรือครับ” และ “ถ้าคุณภีมไม่ได้รักคุณจริงๆ คุณจะมีความสุขกับชีวิตคู่แบบนั้นเหรอครับ”
ความจริงเหล่านี้มันเจ็บปวดเหลือเกิน เธอพยายามจะปฏิเสธมันมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าภาคินัยไม่ได้รักเธอเลยแม้แต่น้อย เขาแค่มองเธอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางธุรกิจเท่านั้น
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของทิชา ‘ฉันจะไม่ยอมแพ้!’ เธอจะไม่ยอมให้ปลายฝันมาแย่งทุกอย่างไปจากเธอง่ายๆ ทิชาไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา เธอเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีที่เติบโตมาในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เธอได้รับการปลูกฝังให้ไขว่คว้าทุกสิ่งที่ต้องการ และไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้ในพจนานุกรมของเธอ
เธอต้องการภาคินัย ไม่ใช่แค่เพราะความรัก แต่เพราะความมั่นคง! การแต่งงานกับภาคินัยหมายถึงการผนึกกำลังของสองตระกูลใหญ่ ซึ่งจะนำมาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์มหาศาล และหากเธอต้องสูญเสียสิ่งนี้ไป เธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด
ใบหน้าของทิชาฉายแววความมุ่งมั่นและความเคียดแค้น เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เดินไปที่บาร์เครื่องดื่ม และรินไวน์แดงราคาแพงใส่แก้ว เธอกระดกมันลงคออย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะดับไฟในใจที่กำลังลุกโชน
ในขณะที่ทิชากำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ "คุณพ่อ"
ทิชารับสายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
“ทิชา! นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสียงของคุณธนินบิดาของทิชา ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ทำไมภาคินัยถึงโทรมาบอกพ่อเรื่องยกเลิกการแต่งงาน!”
ทิชาถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่คิดว่าภาคินัยจะไปคุยกับพ่อของเธอเร็วขนาดนี้
“คือ...ภีมเขาคงเข้าใจผิดน่ะค่ะคุณพ่อ” ทิชาพยายามแก้ตัว
“เข้าใจผิดอะไร! เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการแต่งงานกับแกแล้ว เขาจะยกเลิกงานแต่งงานทั้งหมด!” คุณธนินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด “แกไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ!”
“ทิชาไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะคุณพ่อ!” ทิชาตอบอย่างร้อนรน “ทิชาแค่ไปเตือนเด็กฝึกงานคนนั้นให้รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเท่านั้นเองค่ะ”
“เด็กฝึกงานคนไหน!” คุณธนินถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เด็กฝึกงานที่ภาคินัยกำลังสนใจอยู่น่ะค่ะ” ทิชาตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือความหึงหวง
คุณธนินเงียบไปครู่หนึ่ง “แกหมายถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ภาคินัยให้เข้ามาทำงานในโครงการใหม่เหรอ”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ ยัยเด็กนั่นกำลังพยายามจะแย่งภาคินัยไปจากทิชานะคะ”
“เพ้อเจ้อ!” คุณธนินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “อย่ามาหาข้ออ้างแบบนี้! แกไปทำอะไรให้ภาคินัยโกรธจนถึงขั้นจะยกเลิกการแต่งงานกับเรา!”
“ทิชาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะคุณพ่อ!” ทิชาตะโกนตอบ
“หุบปาก!” คุณธนินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด “แกต้องไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย! ฉันไม่ยอมให้การแต่งงานครั้งนี้ต้องล่มเด็ดขาด! แกเข้าใจไหม!”
“ค่ะคุณพ่อ ทิชาจะจัดการให้เรียบร้อยค่ะ” ทิชาตอบรับอย่างจำใจ
หลังจากวางสายจากบิดา ทิชาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักอึ้ง เธอรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้มีความสำคัญต่อตระกูลของเธอมากแค่ไหน และเธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาความมั่นคงนี้ไว้ให้ได้
ในขณะที่ทิชากำลังทบทวนความสัมพันธ์และวางแผนการเพื่อครอบครองภาคินัยให้มากขึ้น ภาคินัยเองก็กำลังเผชิญหน้ากับความเครียดจากการตัดสินใจของเขา
ในห้องทำงานของภาคินัย เขาเดินวนไปมาอย่างกระสับกระส่าย เขาเพิ่งวางสายจากคุณธนินที่โทรมาต่อว่าเขาอย่างรุนแรงเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ภาคินัยรู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของทั้งสองตระกูล แต่เขาก็ไม่สามารถฝืนความรู้สึกตัวเองได้อีกต่อไป
“มันจะต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้” ภาคินัยพึมพำกับตัวเอง
ในจังหวะนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ท่านประธานคะ คุณธามมาขอพบค่ะ” เสียงเลขาของเขาเอ่ยขึ้น
“ให้เข้ามา” ภาคินัยตอบสั้นๆ
ธามเดินเข้ามาในห้องทำงานของภาคินัย ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้างวะภีม”
ภาคินัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แย่ที่สุด”
“เรื่องคุณทิชาใช่ไหม” ธามถาม
ภาคินัยพยักหน้า “พ่อของทิชาโทรมาต่อว่าฉันใหญ่เลย”
“ฉันพอจะเดาได้” ธามเอ่ยขึ้น “แล้วแกคิดจะทำยังไงต่อไป”
ภาคินัยเดินไปทรุดตัวนั่งบนโซฟาตัวยาว “ฉันไม่รู้ธาม ฉันไม่สามารถแต่งงานกับทิชาได้จริงๆ”
“แล้วแกคิดยังไงกับปลายฝัน” ธามถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
คำถามของธามทำให้ภาคินัยเงียบไป เขานึกถึงใบหน้าของปลายฝัน รอยยิ้มสดใส และแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเธอ
“ฉันรักเธอธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
ธามพยักหน้าช้าๆ “ฉันรู้”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดี” ภาคินัยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสน “ฉันไม่อยากให้ปลายฝันต้องมาเดือดร้อนเพราะฉัน”
“แกต้องจัดการเรื่องของคุณทิชาให้เรียบร้อยก่อน” ธามให้คำแนะนำ “และต้องแสดงความชัดเจนกับปลายฝัน”
“ฉันรู้” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “แต่ฉันกลัวว่าปลายฝันจะรู้สึกไม่ดีกับฉัน”
“ถ้าแกรักเธอจริง แกก็ต้องพิสูจน์ให้เธอเห็น” ธามเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ความรักมันไม่ใช่แค่การพูด แต่มันคือการกระทำ”
คำพูดของธามทำให้ภาคินัยครุ่นคิดอย่างหนัก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องปลายฝัน และจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาให้เธอรู้
ในขณะที่ภาคินัยกำลังปรึกษาหารือกับธาม เพื่อหาทางออกให้กับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ปลายฝันก็กำลังจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่สบายใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
น้ำหวานเพื่อนสนิทของปลายฝัน เดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แกเป็นอะไรหรือเปล่าปายฝัน” น้ำหวานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันเห็นหน้าแกซีดๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว”
ปลายฝันส่ายหน้าช้าๆ “เปล่าแก ไม่มีอะไรหรอก”
“อย่ามาโกหกฉันเลยนะปายฝัน” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “ฉันได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแกกับท่านประธานเต็มไปหมดเลยนะ”
ปลายฝันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็เรื่องนั้นแหละแก”
น้ำหวานนั่งลงข้างๆ ปลายฝัน “ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ”
“ใครเหรอแก” ปลายฝันถามด้วยความสงสัย
“ก็คุณทิชาน่ะสิ” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “ฉันเห็นเธอมาที่บริษัทบ่อยๆ แล้วก็มองแกด้วยสายตาแปลกๆ”
คำพูดของน้ำหวานทำให้ปลายฝันยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น เธอรู้ดีว่าทิชาไม่ชอบเธอ และการที่ทิชาปล่อยข่าวลือแบบนี้ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
“ฉันควรจะทำยังไงดีแก” ปลายฝันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“แกไม่ต้องทำอะไรหรอก” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “ฉันว่าท่านประธานเขาคงจะจัดการเรื่องนี้เองแหละ”
“แกหมายถึงอะไร”
“ก็ฉันเห็นท่านประธานเขาดูเป็นห่วงแกมากนะ” น้ำหวานตอบ “แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าเขาเพิ่งคุยกับพ่อของคุณทิชาเรื่องยกเลิกงานแต่งงานด้วย”
คำพูดของน้ำหวานทำให้ปลายฝันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่าภาคินัยจะทำถึงขนาดนี้
“จริงเหรอแก!” ปลายฝันถามด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่เชื่อหู
“จริงสิ” น้ำหวานพยักหน้า “ฉันว่าท่านประธานเขารักแกจริงๆ นะปายฝัน”
คำพูดของน้ำหวานทำให้หัวใจของปลายฝันพองโต เธอรู้สึกถึงความสุขที่เอ่อล้นอยู่ในอก เธอไม่เคยคิดว่าภาคินัยจะรักเธอมากถึงขนาดนี้
ในขณะที่ความรักกำลังก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนระหว่างภาคินัยและปลายฝัน ทิชาก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอกลับมาพร้อมกับแผนการที่จะครอบครองภาคินัยให้ได้ และจะกำจัดปลายฝันให้พ้นทางไปอย่างเด็ดขาด
วันต่อมา ทิชาเดินทางมาที่บริษัทอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับคุณรัญจวนมารดาของเธอ ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยอำนาจและอิทธิพลในสังคม
คุณรัญจวนเดินเข้ามาในบริษัทด้วยท่าทางสง่างาม ใบหน้าของเธอดูเย็นชาและเคร่งขรึม เธอเดินตรงไปยังห้องทำงานของภาคินัย โดยมีทิชาเดินตามหลังมาด้วยสีหน้ามั่นใจ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเลขาของภาคินัยก็เดินเข้ามาแจ้งข่าว “ท่านประธานคะ คุณทิชามาขอพบค่ะ และมาพร้อมกับคุณหญิงรัญจวนด้วยค่ะ”
ภาคินัยถอนหายใจเล็กน้อย เขาเดาได้อยู่แล้วว่าทิชาจะต้องมาหาเขาพร้อมกับมารดาของเธอ
“ให้เข้ามา” ภาคินัยเอ่ยขึ้น
คุณรัญจวนเดินเข้ามาในห้องทำงานของภาคินัยด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ภาคินัยอย่างไม่ลดละ
“คุณภาคินัย ดิฉันคิดว่าเราคงต้องคุยกันให้ชัดเจนนะคะ” คุณรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด “เรื่องการแต่งงานของคุณกับทิชา”
ภาคินัยพยักหน้าเล็กน้อย “ครับคุณหญิงรัญจวน ผมคิดว่าเราคงต้องยุติความสัมพันธ์ของเรา”
คำพูดของภาคินัยทำให้ทิชารู้สึกโกรธอย่างมาก แต่เธอก็ยังคงเก็บอาการไว้
“คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะภาคินัย” คุณรัญจวนเอ่ยขึ้น “คุณรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มีความสำคัญต่อธุรกิจของเรามากแค่ไหน”
“ผมทราบครับคุณหญิงรัญจวน” ภาคินัยตอบอย่างใจเย็น “แต่ผมไม่สามารถฝืนความรู้สึกตัวเองได้”
“ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอคะ” คุณรัญจวนหัวเราะหึๆ ในลำคอ “คุณกำลังจะทำลายอนาคตของสองตระกูลเพราะความรู้สึกของเด็กฝึกงานคนนั้นอย่างนั้นเหรอคะ”
คำพูดของคุณรัญจวนทำให้ภาคินัยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงควบคุมอารมณ์ไว้
“ผมไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ผมขอเชิญคุณหญิงรัญจวนและคุณทิชากลับไปก่อนนะครับ”
“คุณจะไล่ดิฉันออกไปจากห้องอย่างนั้นเหรอคะภาคินัย!” คุณรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะพูดคุยอย่างมีเหตุผล ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด
คุณรัญจวนมองหน้าภาคินัยด้วยความโกรธจัด เธอไม่คิดว่าภาคินัยจะกล้าพูดกับเธอแบบนี้
“ดี! ในเมื่อคุณไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับทิชาแล้ว ดิฉันก็จะจัดการเรื่องนี้เอง!” คุณรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “คุณจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้กับเรา!”
คุณรัญจวนเดินออกจากห้องทำงานของภาคินัยไปอย่างรวดเร็ว โดยมีทิชาเดินตามหลังไป และหันมามองภาคินัยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
ภาคินัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าสงครามเพิ่งเริ่มต้นขึ้น และเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันทุกรูปแบบเพื่อปกป้องความรักของเขากับปลายฝัน
ตอนที่ 122 บทส่งท้ายกาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำที่สวยงามยังคงถูกถักทอขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตของภาคินัย ปลายฝัน ธามและน้ำหวาน ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือท้าทาย ล้วนหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในวันนี้ บทสรุปของเรื่องราวนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักที่อบอุ่น และอนาคตที่สดใส ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สดใสครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน รวมถึงธามและน้ำหวาน ได้วางแผนเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้สัมผัสผืนทรายและน้ำทะเลด้วยตัวเองรถตู้คันใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทเพลงจากเด็กๆ น้องเมฆและน้องเมษาที่ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องแคล่ว ต่างตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่คุ้นเคย"คุณภีมคะ ดูสิคะน้องเมฆชี้ไปที่ทะเลใหญ่เลย" ปลายฝันยิ้มอย่างมีความสุข"เมษาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะคุณธาม" น้ำหวานเสริม พลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อเดินทางถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ภาคินัยและธามต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนปลายฝันและน้ำหวานก็ดูแลเด็กๆ ที่วิ่งสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความกระตือ
ตอนที่ 121 บทสรุปของความรักชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดำเนินมาถึงบทสรุปที่งดงาม พวกเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในทุกมิติ ทั้งในด้านความรักที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น และหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ ความรักของพวกเขาสุกงอมและเบ่งบานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับธามและน้ำหวาน ที่ต่างก็สร้างสรรค์ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว บทสรุปของความรักครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความเข้าใจ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่น้องเมฆลืมตาดูโลก ชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พวกเขายังคงเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งทวีคูณขึ้นตามกาลเวลา แม้จะมีความรับผิดชอบมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยละเลยที่จะเติมเต็มความปรารถนาและความเร่าร้อนให้แก่กันและกันค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่น้องเมฆหลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนอย่างนุ่มนวล ภาคินัยโอบกอดปลายฝันจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ปลายฝันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอซบหน้ากับแผงอกที่คุ้นเคยของเขา"ปายครับ คุณสวยที่สุดเลยนะ" ภาคินัยกระซิบเสียงพร่า พลางจูบลงบนไหล
ตอนที่ 120 ความสุขหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความรัก ความสุข ความท้าทาย และการเติบโตในบทบาทใหม่ ทุกคู่ต่างค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง ภาคินัยกับปลายฝัน และธามกับน้ำหวาน ต่างได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาปรารถนา เติมเต็มความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริง" ในแบบฉบับของตัวเองชีวิตของภาคินัยและปลายฝันตอนนี้เปรียบเสมือนภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบต่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นจากน้องเมฆ และความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ภาคินัยยังคงทุ่มเทให้กับการบริหารภาคินัย กรุ๊ปอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว เขามักจะตื่นเช้าขึ้นมาเล่นกับน้องเมฆก่อนไปทำงาน และพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลาช่วงเย็นกับภรรยาและลูกชาย การเห็นน้องเมฆเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน คือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา"วันนี้น้องเมฆเรียก 'ป๊า' ชัดขึ้นเยอะเลยนะครับปาย" ภาคินัยเล่าด้วยรอยยิ้มกว้างในมื้อเย็นปลายฝันยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาคินัย เธอทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อบอุ่
ตอนที่ 119 มิตรภาพที่ยั่งยืนท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในบทบาทใหม่ ทั้งการเป็นพ่อแม่และการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่ถักทอขึ้นระหว่างภาคินัยและธาม รวมถึงปลายฝันและน้ำหวาน กลับยิ่งแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่ามิตรภาพที่แท้จริงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งเปล่งประกายและเป็นพลังใจให้แก่กันเสมอครั้งหนึ่ง ภาคินัยและธามเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสนามแข่งขัน แต่ด้วยความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงแห่งการแข่งขันและแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง การมีลูกในเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบ่ายวันหนึ่ง ภาคินัยโทรหาธามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแกมขบขัน "เฮ้ยธาม! วันนี้น้องเมฆงอแงไม่ยอมนอนเลยว่ะ ฉันแทบไม่ได้ทำงานเลย"ธามหัวเราะจากปลายสาย "ฉันก็เหมือนกันภีม! น้องเมษาวันนี้เล่นไม่หยุดเลย พลังเยอะจริงๆ เด็กสมัยนี้"บทสนทนาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวของผ้าอ้อม นมผง และการนอนไม่พอ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นคุณพ่อมือใหม่กลายเ
ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ปหลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่นปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผ
ตอนที่ 117 คุณปู่กับทายาทเมื่อน้องเมฆเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่ภาคินัยและปลายฝันเท่านั้นที่ภาคภูมิใจ แต่ยังมีคุณปู่ของภาคินัย ผู้เป็นรากฐานของอาณาจักรภาคินัย กรุ๊ป ที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นทายาทคนใหม่ การมาถึงของน้องเมฆไม่เพียงแต่เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าธุรกิจที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะมีผู้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคงคุณปู่ของภาคินัย แม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ดวงตาท่านยังคงเปล่งประกายด้วยความสุขและความเฉียบแหลม การมาถึงของน้องเมฆ เหลนชายและทายาทของเหลนคนเดียวของตระกูล ทำให้หัวใจของคุณปู่เต็มตื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่านเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน วันที่จะได้เห็นสายเลือดของตระกูลยังคงดำเนินต่อไปคุณปู่ก็เดินทางมาเยี่ยมเหลนชายที่บ้านทันที ท่านนั่งลงข้างเปลนอนของน้องเมฆ มองเหลนชายตัวน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู"ตาหนูเมฆของปู่ ในที่สุดเจ้าก็มา" คุณปู่กระซิบเสียงแผ่ว พลางเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นลูบไล้แก้มยุ้ยของน้องเมฆอย่างอ่อนโยนภาคินัยและปลายฝันยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่คุณ