เงาแห่งความไม่มั่นใจที่รินลดา หว่านไว้ เริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมความสัมพันธ์ของ ธามและน้ำหวานอย่างช้าๆ ความรู้สึกอึดอัดที่สั่งสมมาถึงจุดปะทุ ในที่สุดก็นำไปสู่ การทะเลาะครั้งใหญ่ ที่สั่นคลอนความรักที่พวกเขาเคยเชื่อว่ามั่นคง ธามพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอธิบายและทำให้ น้ำหวานเข้าใจ ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับรินลดา แต่ความหึงหวงที่กัดกินใจของน้ำหวาน ทำให้เธอปิดกั้นตัวเองและมองว่าทุกคำพูดของธามเป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้น
หลังจากที่น้ำหวานเอ่ยถามธามเรื่องความรู้สึกที่มีต่อรินลดาตรงๆ บรรยากาศในคอนโดของธามก็ตกอยู่ในความเงียบที่อึดอัดและตึงเครียด น้ำหวานเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดจากับธามเหมือนเคย เธอพยายามหลีกเลี่ยงการสบตา และใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
ธามรู้สึกได้ถึงกำแพงที่น้ำหวานสร้างขึ้น เขากังวลและพยายามเข้าหาเธอหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เหมือนจะถูกผลักออกไปอย่างนุ่มนวล เขาพยายามใช้เหตุผลและความจริงใจเข้าอธิบาย แต่ดูเหมือนน้ำหวานจะปิดใจรับฟัง
ในคืนหนึ่ง ธามกลับมาจากทำงานดึกอีกครั้ง เขาเห็นน้ำหวานนั่งอยู่คนเดียวที่โซฟาในห้องนั่งเล่น กำลังดูทีวีอย่างเงียบๆ ธามถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง
"หวานครับ... ผม มีเรื่องอยากคุยด้วยนะ" ธามเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ น้ำหวาน
น้ำหวานไม่หันมามอง ยังคงจ้องมองหน้าจอทีวี "มีอะไรเหรอคะ"
"มันคือเรื่องของเราสองคนนะหวาน" ธามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ช่วงนี้หวานดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ผม เป็นห่วงหวาน"
น้ำหวานปิดทีวี แล้วหันมาเผชิญหน้ากับธาม สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน ความเจ็บปวด และความระแวงที่เธอไม่สามารถเก็บซ่อนได้อีกต่อไป
"คุณธามคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมคะ" น้ำหวานถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "คุณธามคิดว่าฉันไม่เห็นเหรอว่าช่วงนี้คุณกับคุณรินลดาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยแค่ไหน"
ธามพยายามอธิบาย "หวานครับ... ผม ก็บอกหวานไปแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องงาน ผม ต้องทำงานกับรินลดาจริงๆ"
"แล้วงานอะไรคะที่ต้องคุยกันจนดึกดื่นทุกคืน แล้วงานอะไรคะที่ต้องมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดตัวคุณธามกลับมาด้วย" น้ำหวานเริ่มขึ้นเสียง น้ำตาคลอเบ้า
ธามอึ้งไปเล็กน้อย เขาพยายามนึกถึงกลิ่นน้ำหอมที่น้ำหวานพูดถึง "หวาน... ผม ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นนะ อาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ติดมาจากในห้องประชุม หรือในรถก็ได้"
"คุณธามแก้ตัว!" น้ำหวานสวนกลับทันที เสียงของเธอเริ่มดังขึ้น "ฉันไม่เคยเจอคุณธามเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่คุณรินลดาเข้ามา คุณธามก็เปลี่ยนไป!"
"ผม ไม่ได้เปลี่ยนไปนะหวาน" ธามพยายามจับมือเธอ "ผม ก็ยังเป็นธามคนเดิมที่รักหวานคนเดียว"
น้ำหวานสะบัดมือออกจากการจับกุมของธาม ความเจ็บปวดและความหึงหวงเริ่มบดบังเหตุผลของเธอ เธอจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกที่เคยเจอมาแล้วในอดีต นั่นคือความรู้สึกถูกทอดทิ้งและไม่สำคัญ
"ถ้าคุณธามไม่ได้เปลี่ยนไป แล้วทำไมถึงไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยคะ" น้ำหวานถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ "คุณธามไม่รู้เหรอว่าฉันรู้สึกยังไงที่เห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตลอดเวลา"
"ผม ก็บอกหวานแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องงาน" ธามพยายามอธิบายอีกครั้ง "หวานกำลังคิดมากไปนะ"
"คิดมากเหรอคะ!" น้ำหวานแทบจะตะโกน "ตอนนั้นกับคุณทิชาฉันก็คิดมากใช่ไหมคะ แล้วสุดท้ายมันเป็นยังไง คุณธามก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน! แล้วครั้งนี้คุณธามคิดว่าจะไม่เป็นแบบนั้นเหรอคะ!"
คำพูดของน้ำหวานแทงใจธามอย่างจัง เขารู้ว่าน้ำหวานเคยมีบาดแผลในใจจากเรื่องทิชา แต่เขาไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบถึงขนาดนี้
"หวานครับ... เรื่องรินลดามันไม่เหมือนเรื่องทิชานะ" ธามพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะควบคุมอารมณ์ "รินลดาเป็นแค่คู่ค้า ผม ไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยจริงๆ"
"ถ้าไม่คิดอะไร แล้วทำไมถึงไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังเลยคะ" น้ำหวานพูดต่อ "ทำไมฉันต้องมารู้เองว่าคุณธามต้องไปประชุมกับคุณรินลดาที่ต่างจังหวัด ทำไมต้องไปรู้จากคนอื่นว่าคุณธามกับคุณรินลดาต้องอยู่ด้วยกันจนดึกดื่น"
"ผม ก็อยากจะเล่าให้หวานฟังนะ แต่บางทีมันก็กะทันหัน หรือบางที ผม ก็ลืมไป" ธามตอบอย่างร้อนใจ "มันเป็นเรื่องงานจริงๆ นะหวาน ผม สาบานได้เลย"
ยิ่งธามพยายามอธิบายมากเท่าไหร่ น้ำหวานก็ยิ่งมองว่ามันเป็น คำแก้ตัว มากขึ้นเท่านั้น ความหึงหวงที่อัดแน่นอยู่ในใจ ทำให้เธอไม่สามารถรับฟังเหตุผลใดๆ ได้อีก
"คุณธามโกหก!" น้ำหวานตะโกนออกมาสุดเสียง น้ำตาไหลพราก "คุณธามคงเห็นฉันเป็นคนโง่ใช่ไหมคะ! คุณธามคงเห็นฉันไม่สำคัญเหมือนแต่ก่อนแล้วสินะคะ!"
"หวาน! พูดอะไรแบบนั้น!" ธามลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห "ผม ไม่เคยเห็นหวานเป็นคนโง่ และหวานก็สำคัญกับ ผม เสมอ! ทำไมหวานไม่เชื่อใจ ผม บ้างเลย"
"แล้วคุณธามทำอะไรให้ฉันเชื่อใจได้บ้างล่ะคะ!" น้ำหวานตะโกนกลับ "คุณธามไม่เคยเปิดใจกับฉันเลย! คุณธามปิดบังเรื่องคุณรินลดามาตลอด!"
"ผม ไม่ได้ปิดบังนะหวาน ผม ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องงานปกติ ผม ไม่อยากให้หวานคิดมาก" ธามอธิบายด้วยความคับข้องใจ
"แล้วตอนนี้ฉันไม่คิดมากเหรอคะ!" น้ำหวานตวาดกลับ "คุณธามไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง! ฉันเกลียดความรู้สึกแบบนี้! ฉันไม่อยากรู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว!"
น้ำหวานร้องไห้อย่างหนัก เธอเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ไม่มั่นคงนี้ เจ็บปวดกับภาพของธามและรินลดาที่ฉายซ้ำๆ ในหัว และเจ็บปวดที่ธามดูเหมือนจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอเลย
ด้วยความโกรธและความเข้าใจผิดที่บดบังทุกสิ่ง คำพูดที่รุนแรงก็หลุดออกจากปากของน้ำหวาน
"คุณธามไปอยู่กับคุณรินลดาเลยก็ได้นะคะ! ฉันไม่สนใจแล้ว!" น้ำหวานตะโกนทั้งน้ำตา "ฉันไม่ต้องการให้คุณธามมาหลอกฉันอีก! ฉันไม่อยากเป็นตัวเลือกของคุณธามอีกแล้ว!"
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของธาม เขาไม่เคยคิดว่าน้ำหวานจะพูดคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาได้ถึงขนาดนี้
"หวาน! หวานกำลังพูดอะไรออกมา! หวานไม่เชื่อใจ ผม เลยเหรอ!" ธามพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง "หวานคิดว่า ผม เป็นคนแบบนั้นจริงๆ เหรอ!"
น้ำหวานไม่ได้ตอบอะไร เธอร้องไห้อย่างหนัก และหันหลังให้กับธาม เธอไม่สามารถทนมองหน้าเขาได้อีกต่อไป ในใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความโกรธ และความสับสน
ธามยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้จะทำอย่างไรอีกแล้ว เขาพยายามอธิบายทุกอย่างแล้ว แต่ดูเหมือนน้ำหวานจะปิดใจรับฟังทุกคำพูดของเขา เขาผิดหวังที่น้ำหวานไม่เชื่อใจเขา และเจ็บปวดกับคำพูดที่เธอเอ่ยออกมา
การทะเลาะครั้งนี้ทิ้งรอยร้าวลึกในความสัมพันธ์ของธามและน้ำหวาน มันไม่ใช่แค่การไม่เข้าใจกันในเรื่องงาน แต่เป็นความไม่เข้าใจในความรู้สึก และการขาดความเชื่อใจที่เคยเป็นรากฐานของพวกเขา
ธามรู้ดีว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ แต่ในขณะนี้ เขาไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นตรงไหน น้ำหวานเองก็จมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดและความไม่มั่นใจ เธอไม่รู้ว่าความรักที่เธอเคยคิดว่าสมบูรณ์แบบกำลังจะพังทลายลงหรือไม่
ทั้งคู่ต่างก็ได้รับบาดแผลจากการทะเลาะครั้งนี้ ธามรู้สึกถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม ส่วนน้ำหวานก็รู้สึกถูกทอดทิ้งและไม่สำคัญอีกครั้ง
อนาคตของธามและน้ำหวานแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาจะสามารถก้าวผ่านบททดสอบครั้งนี้ไปได้หรือไม่ หรือความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องจบลงเพราะความไม่เข้าใจและกำแพงแห่งความหึงหวงที่ก่อตัวขึ้นมา
ตอนที่ 122 บทส่งท้ายกาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำที่สวยงามยังคงถูกถักทอขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตของภาคินัย ปลายฝัน ธามและน้ำหวาน ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือท้าทาย ล้วนหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในวันนี้ บทสรุปของเรื่องราวนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักที่อบอุ่น และอนาคตที่สดใส ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สดใสครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน รวมถึงธามและน้ำหวาน ได้วางแผนเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้สัมผัสผืนทรายและน้ำทะเลด้วยตัวเองรถตู้คันใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทเพลงจากเด็กๆ น้องเมฆและน้องเมษาที่ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องแคล่ว ต่างตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่คุ้นเคย"คุณภีมคะ ดูสิคะน้องเมฆชี้ไปที่ทะเลใหญ่เลย" ปลายฝันยิ้มอย่างมีความสุข"เมษาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะคุณธาม" น้ำหวานเสริม พลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อเดินทางถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ภาคินัยและธามต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนปลายฝันและน้ำหวานก็ดูแลเด็กๆ ที่วิ่งสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความกระตือ
ตอนที่ 121 บทสรุปของความรักชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดำเนินมาถึงบทสรุปที่งดงาม พวกเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในทุกมิติ ทั้งในด้านความรักที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น และหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ ความรักของพวกเขาสุกงอมและเบ่งบานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับธามและน้ำหวาน ที่ต่างก็สร้างสรรค์ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว บทสรุปของความรักครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความเข้าใจ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่น้องเมฆลืมตาดูโลก ชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พวกเขายังคงเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งทวีคูณขึ้นตามกาลเวลา แม้จะมีความรับผิดชอบมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยละเลยที่จะเติมเต็มความปรารถนาและความเร่าร้อนให้แก่กันและกันค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่น้องเมฆหลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนอย่างนุ่มนวล ภาคินัยโอบกอดปลายฝันจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ปลายฝันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอซบหน้ากับแผงอกที่คุ้นเคยของเขา"ปายครับ คุณสวยที่สุดเลยนะ" ภาคินัยกระซิบเสียงพร่า พลางจูบลงบนไหล
ตอนที่ 120 ความสุขหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความรัก ความสุข ความท้าทาย และการเติบโตในบทบาทใหม่ ทุกคู่ต่างค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง ภาคินัยกับปลายฝัน และธามกับน้ำหวาน ต่างได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาปรารถนา เติมเต็มความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริง" ในแบบฉบับของตัวเองชีวิตของภาคินัยและปลายฝันตอนนี้เปรียบเสมือนภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบต่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นจากน้องเมฆ และความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ภาคินัยยังคงทุ่มเทให้กับการบริหารภาคินัย กรุ๊ปอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว เขามักจะตื่นเช้าขึ้นมาเล่นกับน้องเมฆก่อนไปทำงาน และพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลาช่วงเย็นกับภรรยาและลูกชาย การเห็นน้องเมฆเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน คือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา"วันนี้น้องเมฆเรียก 'ป๊า' ชัดขึ้นเยอะเลยนะครับปาย" ภาคินัยเล่าด้วยรอยยิ้มกว้างในมื้อเย็นปลายฝันยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาคินัย เธอทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อบอุ่
ตอนที่ 119 มิตรภาพที่ยั่งยืนท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในบทบาทใหม่ ทั้งการเป็นพ่อแม่และการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่ถักทอขึ้นระหว่างภาคินัยและธาม รวมถึงปลายฝันและน้ำหวาน กลับยิ่งแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่ามิตรภาพที่แท้จริงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งเปล่งประกายและเป็นพลังใจให้แก่กันเสมอครั้งหนึ่ง ภาคินัยและธามเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสนามแข่งขัน แต่ด้วยความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงแห่งการแข่งขันและแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง การมีลูกในเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบ่ายวันหนึ่ง ภาคินัยโทรหาธามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแกมขบขัน "เฮ้ยธาม! วันนี้น้องเมฆงอแงไม่ยอมนอนเลยว่ะ ฉันแทบไม่ได้ทำงานเลย"ธามหัวเราะจากปลายสาย "ฉันก็เหมือนกันภีม! น้องเมษาวันนี้เล่นไม่หยุดเลย พลังเยอะจริงๆ เด็กสมัยนี้"บทสนทนาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวของผ้าอ้อม นมผง และการนอนไม่พอ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นคุณพ่อมือใหม่กลายเ
ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ปหลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่นปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผ
ตอนที่ 117 คุณปู่กับทายาทเมื่อน้องเมฆเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่ภาคินัยและปลายฝันเท่านั้นที่ภาคภูมิใจ แต่ยังมีคุณปู่ของภาคินัย ผู้เป็นรากฐานของอาณาจักรภาคินัย กรุ๊ป ที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นทายาทคนใหม่ การมาถึงของน้องเมฆไม่เพียงแต่เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าธุรกิจที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะมีผู้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคงคุณปู่ของภาคินัย แม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ดวงตาท่านยังคงเปล่งประกายด้วยความสุขและความเฉียบแหลม การมาถึงของน้องเมฆ เหลนชายและทายาทของเหลนคนเดียวของตระกูล ทำให้หัวใจของคุณปู่เต็มตื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่านเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน วันที่จะได้เห็นสายเลือดของตระกูลยังคงดำเนินต่อไปคุณปู่ก็เดินทางมาเยี่ยมเหลนชายที่บ้านทันที ท่านนั่งลงข้างเปลนอนของน้องเมฆ มองเหลนชายตัวน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู"ตาหนูเมฆของปู่ ในที่สุดเจ้าก็มา" คุณปู่กระซิบเสียงแผ่ว พลางเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นลูบไล้แก้มยุ้ยของน้องเมฆอย่างอ่อนโยนภาคินัยและปลายฝันยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่คุณ