ไม่นานน้าดิวก็โดนพาต้วไปสถานบำบัดด้วยฝีมือของคนที่เกลียดเธอ
"แม่จะให้หนูอยู่เป็นเพื่อนก่อนไหมคะ"
"ไม่เป็นไรลูก ยัยรุ้งกับยัยปลาเด็กที่ร้านอาหารแม่จะมานอนเป็นเพื่อน หนูกลับไปพักผ่อน และรักษาตัวให้ดีก่อนนะ แล้วแม่จะโทรหา"
เดมี่เข้าใจดีที่แม่ไม่อยากให้เธอนอนค้างด้วยเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเห็นแม่แอบร้องไห้
ร่างไร้เรี่ยวแรงเดินตุปั๊ดตุเป๋ เหมือนคนจิตหลุด ทว่าฝ่ามืออ่อนล้าของเธอกลับโดนแรงฉุดของใครสักคนรั้งไว้ เธอเหลือบมองเจ้าของฝ่ามือนั้นอย่างอ่อนเพลีย และเจ็บร้าวระบมไปทั้งหน้า
"จะทำร้ายจิตใจอะไรฉันอีกล่ะฮะ!?"
ฟูมฟายด้วยหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา และพยายามสลัดมือของชายหนุ่มออก แต่ยิ่งสลัดและใช้มืออีกข้างแกะออกเขาก็ยิ่งบีบข้อมือของเธอรุนแรงขึ้น
"ปล่อยสิ ปล่อยฉัน"
รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นพลางสลัดทิ้งข้อมือของเธอออกตามที่เธอต้องการ "ปล่อยแล้วไง"
เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่
ร่างบางเซถลาไปไกลล้มลงกับพื้นสนามหญ้าที่ชุ่มด้วยน้ำค้างยามค่ำคืน "ไอ้คนจัญไร ฮึก! ฮึก! ฮืออออ....ก็แค่นี้เอง สบายมาก"
ใบหน้าที่ก้มต่ำอยู่สะอึกสะอื้นพล่านบ่นอย่างหมดอะไรตายอยากเต็มที พาลทำให้หัวใจของคนที่มองดูอยู่...เจ็บปวด ทรมาณขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำตัดสินใจก้มลงไปรวบตัวเธอขึ้น แต่ประคองยังไม่ทันไรแม่คุณก็อ่อนยวบเหมือนคนเป็นลม
"เดมี่!!! เดมี่!!!!
เขย่าพร้อมพร่ำเรียกชื่อเธอ แต่หญิงสาวก็เงียบใส่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มเธอแล้วพาขึ้นรถกลับคฤหาสน์อาเวนชี่โดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองนัก ว่าทำไมถึงทำเรื่องที่ขัดกับอุดามการณ์ที่ยึดมั่นมาตลอด
กลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ชายหนุ่มบรรจงใส่ลงในเครื่องทำความชื้น กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้หอมจนปลุกเรียกให้เธอลืมตาตื่นขึ้นกลางดึก
ความปวดความระบมจนหนักอึ้ง ทำให้ยากต่อการงัดกายขึ้นมาสำรวจห้องกว้างโอ่อ่าที่แปลกตาจากเดิม เดมี่หยัดตัวลุกขึ้นนั่งพิงกับหมอน เดินไปยังหน้ากระจกบานใหญ่ มองดูตนเองที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำของผู้ชายจนตัวดูเหลือเล็กนิดเดียว
"จะถอดทิ้งก็ได้ เพราะนั่นมันเสื้อของคนที่คุณเกลียดนักเกลียดหนา"
เดมี่สะดุ้งกอดอกตัวเองมองหาแหล่งที่มาของเสียง
"ขวัญอ่อนเนอะ!"
เธอหันไปหาชายหนุ่มผมสีเงิสว่างจ้ากว่าไฟนีออนตรงมุมมืดข้างเตียง
"นายหัวหงอก!"
"ขอบคุณค่ะ มันพูดยากมันยากมากนักเหรอ"
"ขอบใจล่ะกัน แต่วันหลังคุณไม่ต้องลำบากก็ได้"
"99% ถ้าผมมองผ่านเรื่องคุณไป คุณมีหวังได้ไปเป็นผีเฝ้าหลุมแน่ ๆ"
"ถ้าฉันเป็นผี...ฉันจะมาหลอกคุณคนแรก"
"เอาเถอะ คุยกับคนฉลาดน้อยได้เพียงแค่ค่าอีคิวต่ำๆ กลับมาเท่านั้น"
"ก็ดีกว่าฉลาดแต่หยาบคายล่ะกัน"
ปึ้งงงง!!!!!!!!
มือหนาขาวเนียนตบลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ตัวเธอ มือใหญ่ของเขากระชากเอวเล็ก ดึงเข้ามาแนบชิด
"คุณคิดล่ะสิว่าผมจะจูบคุณ"
"คุณจะบ้าเหรอคะ คนเกลียดกันประเภทไหนเค้าจูบกันบ้าง แค่คิดก็อุบาทว์แล้ว"
ปากหยักสีส้มระเรื่อก้มต่ำลงมา ปัดผ่านไรผมสีดำสลวย ดวงตาของเขาสะดุดกับรอยฟกช้ำที่ปรากฏชัดอยู่บนแก้มใส ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจตนเองขึ้นมาอย่างประหลาด
"คนประเภทผมไง"
ลมหายใจอุ่นร้อนกระซิบตอบแล้วดันหลังคอสวยให้แหงนรับตราประทับจับจองจากเขานัยน์ตากลมโตเบิกโพลง แน่นิ่งและสับสน แม้จะรูัสึกเจ็บแปลบที่ริมฝีปาก แต่จูบของเขากลับช่วยบรรเทาและเยียวยา
เพราะเขารู้ว่าเธอยังเจ็บอยู่และคงกำลังตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เกลียดเธอเข้ากระดูกดำถึงประทับริมฝีปากลงมา
ชั่วครู่นึงปากนุ่มถึงได้ยอมผละออก พลางไล้นิ้วชี้เรียวยาวที่สักตัวอักษรจีนคำว่าเสี่ยวเอาไว้ '小' บนหลังนิ้ว บรรจงแตะลงบนริมฝีปากซีดบวม
"ทำไม" เธอถาม
"มันก็แค่รูปแบบหนึ่งของการแสดงออกว่าผมเกลียดคุณไง ดารินธิรา!"
เขาตอบด้วยแววตาขึงขังและดูเย็นชา สรุปแล้วเขาก็แค่อยากเอาชนะเธอเท่านั้นเอง ยังไงแม็กนัสก็คือแม็กนัสอยู่วันยันค่ำ คนไร้ความรู้สึกอย่างเขาจะเกิดมาเห็นอกเห็นใจเธอได้อย่างไรกัน แสดงว่าที่ทำไปทั้งหมดคงเพราะเวทนาเธอ และต้องการตอกย้ำของความเกลียดชังที่มีต่อเธอ
ดวงตะวันโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ยังไม่ทันจะฉายแสง หญิงสาวที่นอนพลิกตัวไปมาตลอดคืนผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินสับขามองซ้ายขวาออกจากคฤหาสน์อาเวนชี่อย่างระมัดระวัง แต่พอเห็นบันไดสูงเท่านั้น เดมี่ถึงกับตาลายขึ้นมา
ใช่เธอ กลัวบันได กลัวมาก
เมื่อตอนเด็กพ่อของเธอตกบันไดลงมาคอหักเสียชีวิตทันที ภาพที่พ่อนอนจ้องเธออยู่อย่างคนนอนตายตาไม่หลับมักโผล่แว่บขึ้นมาในโสตทุกครั้งที่เจอบันไดสูงชันเช่นนี้
"คิดจะไปไหน"
ชายหนุ่มเดินมาหยุดข้างหลังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เฮ้อ!..ให้ตายเถอะโดนอีตาเจ้าของคฤหาสน์จับได้เสียแล้ว
"ไปไกล ๆ จากคุณนั่นแหละ"
สวนกลับแล้วทำใจดีสู้เสือจ้ำอ้าวลงจากบันไดอย่างทุลักทุเล
เจ้าของคฤหาสน์จึงออกวิ่งพลางโอบหิ้วเอวเล็กด้วยมือเดียวจนลอยละลิ่ว ยกพาดขึ้นกับบ่าดังปุยนุ่น
"หลินเย่ซี!!!....ไอ้คนเอาแต่ใจ"
ร้องโหวกเวกโวยวายพลางออกแรงถีบและทุบตีขณะที่ถูกเขาจับห้อยต่องแต่ง
เรียวขาเล็กกระชับแน่นถูกฝ่ามือร้อนคลั่งรักคลั่งคะนึงหาของสามีปลดออกอย่างเร่งรัด ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามเหตุการณ์ต่าง ๆ กับเขา ใบหน้าคมขาวก็ก้มลงมาปิดปากของเธอแนบสนิท และยังไม่ได้เตรียมตักตวงออกซิเจนเลยด้วยซ้ำจูบที่สูบแก่นวิญญาณและพลังงานในร่างกายที่อ่อนเพลียมาทั้งวันไปจนเกือบหมด ไหนจะปลายลิ้นที่ควานหาลิ้นของเธอแล้วเกี่ยวรัดไว้จนเธอแทบสำลักรสจุมพิตที่หนักหน่วงนี้ สุดท้ายเธอก็หัวหมุนตาลายแต่ก็ยังอยากตักตวงความสุขนี้กับเขาต่อไป ติ๊ดดดดดด ติ๊ดดดดดดเสียงร้องจากสมาร์ทวอชที่เดมี่ฝังดวลออร่าชิฟเอาไว้ที่หลังคอทำให้มันส่งสัญญาณมาที่เครื่องของเขาและเธอพร้อมกัน ใบหน้าตื่นตระหนกผละจูบออกด้วยความตกใจและรีบยกข้อมือดูสัญญาณเตือนประหลาดที่ขึ้นเป็นรูปเด็กทารก เขาจ้องนิ่งดวงตาไม่กระพริบ "นี่มัน...." แม็กนัสก้มลงหอมแก้มของเดมี่เพื่อปลอบประโลมเธอทันที แล้วยิ้มให้กับใบหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มของภรรยาด้วยความดีใจ "มีอะไรคะคุณแม็ก" "สงสัยว่าคุณกำลังจะมีทาสคนใหม่ให้ไอ้เจ้าปาตาโกไททันมาโยรัมซะแล้ว" "คะ.....หมายความว่าฉะ... ฉันท้อง" "อืม คุณท้อง ถึงว่าคุณต้านแรงจูบของผมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติคุณจะรุกกลับจนผมเสี
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ
มือที่จับปากกาสไตลัสอยู่นั้นค้างนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าเงยขึ้นมองมายังต้นเสียงที่ขัดจังหวะศิลป์ของเธอ ดวงตากลมโตเหล่มองใบหน้าของฮัลค์อย่างคนมีคำถาม"คุณ?""พ่อสิ คุณอะไรเล่า?""อ่อ..ค่ะคุณพ่อ แล้วลมอะไรหอบคุณพ่อมาถึงที่นี่""ก็เธอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลอาเวนชี่แล้วไม่ใช่รึไง""ค่ะ....แล้วมีธุระอะไรกับฉัน หรือว่ามาหาคุณแม็กคะ""ไอ้ลูกบ้านั่นฉันไปหามันเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้มาหาเธอ""เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?"เบลค อาเวนชี่ ย่อตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจต่างกับคนเดิมที่เคยเกรี้ยวกราดใส่เธอ"แม็กนัสได้รู้ความจริงเรื่องแม่ของเขา ความจริงที่ฉันปิดบังมาตลอดหลายสิบกว่าปีมานี้ ที่ว่า.....แม่ของเขาเป็นอาชญากรที่ถูกทางการจีนหมายหัว และฉันเองเป็นคนที่ถูกส่งมาให้จัดการเธอ แต่แล้วฉันก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เพราะ.....""คุณรักเธอ" ดารินธิราต่อประโยคที่ขาดช่วงไปอย่างนุ่มนวล "ใช่....ฉันรักแม่ของเขามาก จนยอมเป็นคนเลว แต่ฉันไม่อยากให้เจ้าแม็กคิดว่าฉันกับแม่ของเขาให้กำเนิดเขาเพราะเหตุผลอื่น ที่ฉันแต่งงานกับแม่ของเขาเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่เพราะภารกิจลับจากองค์กรไหนทั้งนั้น ฉันแ
เสียงของเธอถูกคงส่งไปไม่ถึงเขา เพราะโทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งซะก่อน และเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเธอโทรมา แล้วผู้หญิงที่อยู่ปลายสายนี้ล่ะ เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมสามีของเธอถึงยอมให้หล่อนมาอยู่ด้วยจนมืดค่ำขนาดนี้ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนขี้หึงหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไป อยู่ดีๆ นึกจะไปก็ไปไม่บอกไม่กล่าวเมียอย่างเธอเลยสักนิด ต้องให้คนอื่นมาบอก แถมโทรมาหาสักหน่อยก็ไม่มี เอาสิ! นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นใครเธอไม่สนหรอก แต่หากคิดจะใช้โอกาสนี้รวบหัวรวบหางสามีของเธอ คงไม่ง่ายนักหรอก ดารินธิราเดินทางมาถึงสถาบันบีเดอะไลท์ตั้งแต่ยามเพิ่งจะเดินทามาถึง แม้สถาบันของเธอจะกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ที่ดีและสวยงามกว่าเดิมหลายเท่าเพราะฝีมือของแม็กนัส แต่นั่นกลับไม่ไช่เหตุผลที่ทำให้เธอรีบร้อนมาทำงานเพื่อมาชื่นชมตึกใหม่ แต่เป็นเพราะบทสนทนาเมื่อคืนต่างหากที่ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"อโลฮ่า! พี่เดมี่ วันนี้เราได้งานนออกาไนซ์จัดศิลปะการแสดงประจำปี, จัดนิทรรศการ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน อ้อแถมมีงานเทียบเชิญขอให้พี่เดมี่ไปโชว์เต้นเปิดตัวให้กับองค์กรการกุศลด้วยนะคะ กุ๊กไก่ดีใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณโมนาจะมีอิทธิพลขนาดนี้""ที่ไหน เมื
Count your age by friends, not years. Count your life by smiles, not tears.นับอายุของคุณด้วยจำนวนเพื่อน และนับชีวิตของคุณด้วยรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา-John Lennon-ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนไล่มองใบหน้าขาวเนียนดุจผิวทารกเพศชาย แม้ตอนนี้นาฬิกาบนผนังห้องจะบอกเวลาแค่ตีสามครึ่งเท่านั้น แต่แสงกระทบของพระจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้องนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วและเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอกับเขา หลินเย่ซี สามีดีกรีมหาเศรษฐีที่จับผลัดจับพลูไปเป็นสายลับ ทำให้เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องล่าอารยธรรมสุดขอบโลกกับเขาไปด้วยโดยไม่คาดคิด "เดมี่..........."เขาปรือตาขึ้นแล้วพลิกตัวตะแคงข้างสบตามาที่เจ้าของรอยยิ้มละมุนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ "ฉันปลุกคุณตื่นหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ แต่ตอนนี้.....ก็คล้ายว่าจะตาสว่างมากกกกก" เขาพูดจบก็เอาสองมือปิดตาตัวเอง หญิงสาวหลุบต่ำมองดูสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาในสภาพไร้บรา คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่า เขาปิดตาทำไม โมนายัยเบ๊อะเอ้ย! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอจงใจอ่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางความอายแทบพลิกแผ่นดินทำให