ชายหนุ่มทุ่มร่างเบาหวิวลงบนเตียงนอนใหญ่ แล้วตะครุบฝ่ามือน้อยๆ ของเธอเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน พลางรวบดึงตัวของแม่จอมสะดีดสะดิ้งเข้ามา และรีบพาดขาแกร่งข้างหนึ่งก่ายตัวของหญิงสาวเสมือนว่าเธอคือหมอนข้างส่วนตัว
"อ๊อยยย! อึดอัดนะทำอะไรของคุณเนี่ย"
"เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าหลินเย่ซี เมื่อตอนเด็กๆ คุณชอบเรียกผมแบบนั้นใช่ไหมพี่สาว"
"ไม่ต้องพี่สงพี่สาวเลย มันเป็นอดีตไปแล้ว อย่าลืมสิว่าเราเกลียดกัน"
"ผมมีค่าลดความเกลียดระหว่างเราให้คุณด้วยนะ"
"ค่าลดความเกลียด!? พูดอะไรไม่เห็นเก็ทสักนิด"
"มาเป็นคนของผม"
ดารินธิราหันหน้าไปมองหน้าเขาเพื่อขอความกระจ่างแจ้งด้วยความตกใจ
"ล้อฉันเล่นปะเนี่ย"
"คิดลึกแบบศิลปินอยู่ล่ะสิท่า....ถึงได้มองผมตาหวานเยิ้มแบบนั้น"
"คิดลกคิดลึกอะไร เปล่าสักหน่อย"
"งั้นผมจะได้สบายใจ ผมจะจ้างคุณให้มาแกะรูปให้ผมหน่อย"
"รูปอะไร"
ชายหนุ่มผมเงินพาคนช่างซักช่างแซะมาอยู่ในคลังกรุสมบัติจำนวนมากและพยักเพยิดใบหน้าคมขาวไปยังแผนที่ลายแท่งที่ขาดวิ่นยับยู่ยี่อยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวใหญ่
"คุณสามารถแกะภาพลายแทงพวกนี้แล้วร่างขึ้นมาใหม่ได้ไหม"
"อืม.....ก็น่าจะได้อยู่ค่ะ แต่มันดูเก่าคร่ำครึไปหน่อย"
"น่าจะอายุหลายร้อยปีแล้ว ไม่เก่าก็แปลก ไม่เหมือนคนบางคนหรอก อายุไม่เท่าไหร่ทำตัวแก่ซะแล้ว"
เหลือบมองตาขาวด้วยความรำคาญ ทำไมเขาชอบกระแหนะกระแหนเธออยู่เรื่อย หรือเพราะไม่เจอกันหลายปี ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกดไปแล้ว
"จะหยุดกวนประสาทสักห้านาทีจะขาดใจตายหรือไงคะ...." บ่นใส่และหันไปลูบๆ คลำๆ แผนที่ คิดสักพักก่อนจะตกปากรับคำเขา
"รับไม่รับล่ะงานนี้ หืม"
"รับก็ได้ แต่ขอฉันกลับไปเคลียร์งานอื่นก่อนนะคะ"
ตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะแผนที่ลายแทงนี้ควรค่าแก่การศึกษาอย่างมาก ใครจะปล่อยให้อัจฉริยะดีแต่ปากอย่างเขาฮุบของดีแบบนี้ไว้ดูคนเดียว
ชายหนุ่มแอบอมยิ้มคนเดียวมาตลอดทางที่เขาขับรถเทสล่าสีน้ำเงินคันงามมาส่งเธอที่บ้านทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วสองชั้นสีดำ ที่ประดับด้วยรูปภาพที่เธอวาดมากมาย
"อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า"
"ชินแล้วล่ะ คงต้องขอบใจคุณ เพราะคุณทำให้ความเหงากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน"
คำพูดเสียดสีกระแทกแดกดันที่ออกจากปากเธอทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งที่เขาฉีกรูปส่งประกวดของเธอทิ้ง
เป็นเขาเองที่ตัดโอกาสในชีวิตเธอ และเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกทุกคนว่าเธอคือหลานสาวของคนที่เข้าไปเป็นมือที่สามทำลายครอบครัวเขา
หลังจากเพื่อน ๆ หลายคนของเธอรู้ก็ชักชวนกันทำตัวออกห่าง เกิดกลุ่มซุบซิบนินทามากมาย เขาคิดว่าเธอคือลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น
คิดว่าน้าเลวยังไง หลานอย่างเธอก็คงเลวไม่ต่างกัน
ทว่าความจริงเธอไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องของผู้ใหญ่พวกนั้นแม้แต่น้อย เพียงแต่เขายอมไม่ได้เมื่อเห็นพ่อใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงนิสัยขยะแบบน้าของเดมี่ แล้วทำให้แม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะตายจากเขาไปเหมือนคนสิ้นหวังในความรัก
ดังนั้นการที่ปัจจุบันเขาทำดีกับเธอ หรือกระทั่งจูบเธอ ก็แค่ชดเชยสิ่งที่ผิดพลาด
"ยังไงคุณก็อย่าให้ความเหงาทำให้อารมณ์ศิลปินของคุณขึ้น ๆ ลง ๆ ล่ะกัน ไม่อย่างนั้นงานผมจะไม่เสร็จ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันแยกแยะเป็น"
พลันใดเสียงบีบแตรของรถคันสีแดงก็ดังขึ้น สาวขายาวผมสีเขียวประกายทองเดินก้าวขาลงมาจากรถเปิดประทุนคันงาน ฟีโอน่า พาร์สัน เหล่ดวงตาเฉี่ยวคมสีน้ำตาลอ่อนมองรถเทสล่าคันงามหน้าตาดูคุ้น ๆ ที่จอดอยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
แต่ก็ไม่เอะใจเพราะคิดว่า ผูัหญิงอย่างดารินธิราไม่น่ามีไฮโซที่ไหนมาติดพัน
หญิงสาวในชุดเดรสคอปกสีเหลืองเข้ามารัวกดกริ่งเสียงดัง ส่วนแม็กนัสก็เดินสำรวจภาพประติมากรรมชิ้นเอกหลายสิบภาพของเธอที่วางเรียงรายอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ เธอจึงปล่อยให้เขาสำรวจต่อไป
"เดมี่อยู่มั้ย"
"มาแล้วค่ะ"
เดมี่รีบเดินไปเปิดประตูต้อนรับพร้อมสวมหน้ากากปกปิดบาดแผล ไม่ให้ผู้มาเยือนขวัญผวากับสภาพใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำของเธอได้
แต่พอเปิดประตูไปเท่านั้นแหละ กล่องม้วนเก็บรูปวาดพลาสติกสีดำก็โดนปาใส่มาที่หน้าอย่างไม่ปราณี
"ให้ศิลปินคนไหนในค่ายของเธอวาดฮะ...แหกตาดูซิ!!!! ว่าใช้มือหรือเท้าเขียน"
เดมี่รีบแกะม้วนกระดาษออกมาดูก็พบว่ารูปสเก็ตเพ้นท์ภาพสีน้ำมันเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยคราบสีดำของอุ้งเท้าแมว
"ทีน่าเป็นมือหนึ่งเรื่องภาพสีน้ำมันของเราเลยนะคะ ฉันว่าตอนรูปนี้ถูกส่งไปต้องเกิดอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ค่ะ"
ฟีโอน่าเบะปากใส่ ไม่เชื่อคำพูดแถข้างข้างคูคู เธอหัวเราะหึ ๆ ขณะที่แม็กนัสได้แต่แอบยืนดูอยู่เงียบ ๆ ระหว่างบันไดวนที่เห็นการปะทะของสองสาวที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว
"ฉันจะถอนตัวจากการเป็นสปอนเซอร์ให้กับบริษัทออกแบบกระจอก ๆ ของเธอ งานแกลลอรี่ 4d ของเธอต้องล้มไม่เป็นท่า และฉันต้องใช้รูปพวกนี้ประกอบการถ่ายโฆษณาของบริษัทเหมือนกัน ถ้าฉันล้มเธอก็ล้ม...เพราะลูกค้าฉันอยากได้เธอนักหนา แต่ดูงานจริงสิห่วยแตกสิ้นดี! ภายในอาทิตย์นี้ถ้าเธอวาดรูปที่เหลืออีก 5 รูปไม่สร็จ...โดนถอนทุนคืนได้เลย"
นางพญาเจ้าแม่คอนเท้นต์แห่งอเมริกาตะคอกเสียงดังแล้วกระแทกเท้าเดินขึ้นรถแล่นฉิวออกไป
หลังจากรถของคู่ค้าลับตาไปไกล ดารินธิราถึงกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทำไมชีวิตเธอถึงมีแต่อุปสรรคหนักหนาสาหัสสากรรจ์เช่นนี้
หญิงสาวเดินถอนหายใจทรุดนั่งลงกับพื้นไม้ เอนหลังพิงกับโซฟาตัวโปรด ชันเข่าขึ้น ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นน้ำตาใสไหลฉาบแก้มที่ยังบวมช้ำอยู่
มือหนากำแน่น สะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขาเดินมาใกล้ หยุดนิ่ง และยันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น แต่หญิงสาวที่กำลังร่ำไห้พยายามลุกหนี เพื่อหลบสายตาของเขา เขาลุกตามไปเอื้อมคว้าข้อมือเล็กให้หยุดเดิน
และแบมือของตัวเองยื่นออกไปให้เธอ
"คะ....."
เธอถามพลางปาดน้ำตาทิ้ง
"มือคุณ"
"มือฉันทำไม"
"ขอผมหน่อย"
"ฮะ"
เขาทำหน้าดุนิ่งใส่เพราะเธอไม่ยอมส่งมือให้เขาดี ๆ
"เร็วเข้าสิ"
สุดท้ายก็ยอมยื่นมือตัวเองออกไปให้เขา
แม็กนัสมองนิ้วขาวเกลี้ยงที่มีรอยปูดบวมตามข้อเพราะการกดทับจากการวาดรูปเป็นประจำ ชายหนุ่มหมุนแกะแหวนรูปทรงแปลกตาที่คล้ายลูกปัดสีเขียวสวมหัวตะปูออกจากนิ้วของตัวเอง
แล้วปรับขนาดแหวน สวมเข้าไปที่นิ้วชี้ของเธอ หญิงสาวย่นคิ้วมองทำท่าจะดึงมือออก แต่ถูกมือใหญ่ยื้อยุด
"แม็กนัสคุณทำอะไร"
"ทีหลังใครมารังแกคุณก็แค่หมุนหัวแหวนวงนี้ แล้วก็ไม่ต้องถามเยอะ เพราะในฐานะนายจ้างของคุณ ผมก็แค่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของลูกจ้างเฉย ๆ"
"ที่แท้ก็ห่วงเรื่องตัวเอง"เดมี่บ่นงึมงำ
"ยังไงคุณห้ามถอดเด็ดขาด"
กำชับเสียงเข้ม หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปที่เครื่องของเธอ เดมี่รีบควักโทรศัพท์ในกางเกงออกมา
แถมสายเรียกเข้าเป็นหน้าของเขาพร้อมชื่อเรียบร้อย โอ้วโหวนี่เขาแอบบันทึกเบอร์ตัวเองเอาไว้ในโทรศัพท์ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ สอดแทรกไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ สิน่า
"มีไรก็โทรหาผมได้ทุกเรื่อง"
"ค่ะ....แล้วถ้าฉันโทรไปบอกว่าอยากกินพิซซ่า สตาร์บัค กับซับเวย์ล่ะ"
"ถ้าคุณจะกินอาหารขยะ ผมจะไม่มีทางซื้อให้คุณกินเด็ดขาด รู้ไหมว่ามันเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งถึง 10% เลยนะ ยิ่งถ้าคุณหมดประจำเดือนเมื่อไหร่ ยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปอีก"
"นี่ว่าฉันแก่เหรอ....นายหงอก!"
"แต่คุณก็แก่กว่าผม 4 ปีนะครับอย่าลืม"
สวนตอบอย่างยอกย้อน แล้วเดินออกจากบ้านสามเหลี่ยมทรงเอเฟรมสีดำ ส่งยิ้มจางๆ ให้เธอก่อนจะแล่นรถจากไปอย่างรวดเร็ว
เรียวขาเล็กกระชับแน่นถูกฝ่ามือร้อนคลั่งรักคลั่งคะนึงหาของสามีปลดออกอย่างเร่งรัด ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามเหตุการณ์ต่าง ๆ กับเขา ใบหน้าคมขาวก็ก้มลงมาปิดปากของเธอแนบสนิท และยังไม่ได้เตรียมตักตวงออกซิเจนเลยด้วยซ้ำจูบที่สูบแก่นวิญญาณและพลังงานในร่างกายที่อ่อนเพลียมาทั้งวันไปจนเกือบหมด ไหนจะปลายลิ้นที่ควานหาลิ้นของเธอแล้วเกี่ยวรัดไว้จนเธอแทบสำลักรสจุมพิตที่หนักหน่วงนี้ สุดท้ายเธอก็หัวหมุนตาลายแต่ก็ยังอยากตักตวงความสุขนี้กับเขาต่อไป ติ๊ดดดดดด ติ๊ดดดดดดเสียงร้องจากสมาร์ทวอชที่เดมี่ฝังดวลออร่าชิฟเอาไว้ที่หลังคอทำให้มันส่งสัญญาณมาที่เครื่องของเขาและเธอพร้อมกัน ใบหน้าตื่นตระหนกผละจูบออกด้วยความตกใจและรีบยกข้อมือดูสัญญาณเตือนประหลาดที่ขึ้นเป็นรูปเด็กทารก เขาจ้องนิ่งดวงตาไม่กระพริบ "นี่มัน...." แม็กนัสก้มลงหอมแก้มของเดมี่เพื่อปลอบประโลมเธอทันที แล้วยิ้มให้กับใบหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มของภรรยาด้วยความดีใจ "มีอะไรคะคุณแม็ก" "สงสัยว่าคุณกำลังจะมีทาสคนใหม่ให้ไอ้เจ้าปาตาโกไททันมาโยรัมซะแล้ว" "คะ.....หมายความว่าฉะ... ฉันท้อง" "อืม คุณท้อง ถึงว่าคุณต้านแรงจูบของผมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติคุณจะรุกกลับจนผมเสี
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ
มือที่จับปากกาสไตลัสอยู่นั้นค้างนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าเงยขึ้นมองมายังต้นเสียงที่ขัดจังหวะศิลป์ของเธอ ดวงตากลมโตเหล่มองใบหน้าของฮัลค์อย่างคนมีคำถาม"คุณ?""พ่อสิ คุณอะไรเล่า?""อ่อ..ค่ะคุณพ่อ แล้วลมอะไรหอบคุณพ่อมาถึงที่นี่""ก็เธอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลอาเวนชี่แล้วไม่ใช่รึไง""ค่ะ....แล้วมีธุระอะไรกับฉัน หรือว่ามาหาคุณแม็กคะ""ไอ้ลูกบ้านั่นฉันไปหามันเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้มาหาเธอ""เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?"เบลค อาเวนชี่ ย่อตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจต่างกับคนเดิมที่เคยเกรี้ยวกราดใส่เธอ"แม็กนัสได้รู้ความจริงเรื่องแม่ของเขา ความจริงที่ฉันปิดบังมาตลอดหลายสิบกว่าปีมานี้ ที่ว่า.....แม่ของเขาเป็นอาชญากรที่ถูกทางการจีนหมายหัว และฉันเองเป็นคนที่ถูกส่งมาให้จัดการเธอ แต่แล้วฉันก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เพราะ.....""คุณรักเธอ" ดารินธิราต่อประโยคที่ขาดช่วงไปอย่างนุ่มนวล "ใช่....ฉันรักแม่ของเขามาก จนยอมเป็นคนเลว แต่ฉันไม่อยากให้เจ้าแม็กคิดว่าฉันกับแม่ของเขาให้กำเนิดเขาเพราะเหตุผลอื่น ที่ฉันแต่งงานกับแม่ของเขาเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่เพราะภารกิจลับจากองค์กรไหนทั้งนั้น ฉันแ
เสียงของเธอถูกคงส่งไปไม่ถึงเขา เพราะโทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งซะก่อน และเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเธอโทรมา แล้วผู้หญิงที่อยู่ปลายสายนี้ล่ะ เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมสามีของเธอถึงยอมให้หล่อนมาอยู่ด้วยจนมืดค่ำขนาดนี้ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนขี้หึงหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไป อยู่ดีๆ นึกจะไปก็ไปไม่บอกไม่กล่าวเมียอย่างเธอเลยสักนิด ต้องให้คนอื่นมาบอก แถมโทรมาหาสักหน่อยก็ไม่มี เอาสิ! นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นใครเธอไม่สนหรอก แต่หากคิดจะใช้โอกาสนี้รวบหัวรวบหางสามีของเธอ คงไม่ง่ายนักหรอก ดารินธิราเดินทางมาถึงสถาบันบีเดอะไลท์ตั้งแต่ยามเพิ่งจะเดินทามาถึง แม้สถาบันของเธอจะกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ที่ดีและสวยงามกว่าเดิมหลายเท่าเพราะฝีมือของแม็กนัส แต่นั่นกลับไม่ไช่เหตุผลที่ทำให้เธอรีบร้อนมาทำงานเพื่อมาชื่นชมตึกใหม่ แต่เป็นเพราะบทสนทนาเมื่อคืนต่างหากที่ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"อโลฮ่า! พี่เดมี่ วันนี้เราได้งานนออกาไนซ์จัดศิลปะการแสดงประจำปี, จัดนิทรรศการ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน อ้อแถมมีงานเทียบเชิญขอให้พี่เดมี่ไปโชว์เต้นเปิดตัวให้กับองค์กรการกุศลด้วยนะคะ กุ๊กไก่ดีใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณโมนาจะมีอิทธิพลขนาดนี้""ที่ไหน เมื
Count your age by friends, not years. Count your life by smiles, not tears.นับอายุของคุณด้วยจำนวนเพื่อน และนับชีวิตของคุณด้วยรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา-John Lennon-ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนไล่มองใบหน้าขาวเนียนดุจผิวทารกเพศชาย แม้ตอนนี้นาฬิกาบนผนังห้องจะบอกเวลาแค่ตีสามครึ่งเท่านั้น แต่แสงกระทบของพระจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้องนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วและเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอกับเขา หลินเย่ซี สามีดีกรีมหาเศรษฐีที่จับผลัดจับพลูไปเป็นสายลับ ทำให้เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องล่าอารยธรรมสุดขอบโลกกับเขาไปด้วยโดยไม่คาดคิด "เดมี่..........."เขาปรือตาขึ้นแล้วพลิกตัวตะแคงข้างสบตามาที่เจ้าของรอยยิ้มละมุนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ "ฉันปลุกคุณตื่นหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ แต่ตอนนี้.....ก็คล้ายว่าจะตาสว่างมากกกกก" เขาพูดจบก็เอาสองมือปิดตาตัวเอง หญิงสาวหลุบต่ำมองดูสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาในสภาพไร้บรา คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่า เขาปิดตาทำไม โมนายัยเบ๊อะเอ้ย! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอจงใจอ่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางความอายแทบพลิกแผ่นดินทำให