หญิงสาวสั่งงานที่เหลือกับลูกน้องและศิลปินในสถาบันที่ทำการฝึกสอนคอร์สเรียนต่าง ๆ ก่อนที่เธอจะรีบบึ่งรถเหยียบจนมิดไมล์มาถึงหน้าตึกรูปตัว M ที่คล้ายกับตึกแฝดที่อยู่ขนานกัน
แต่พอลงจากรถยังก้าวขาเข้าตึกไม่ถึงสิบวิ ฝูงนักข่าวก็เฮโลกันเข้ามาส่งเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จนสติที่เตลิดของเธอตื่นขึ้น
"ตายละหว่า"
ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำชะเง้อชะแง่งมองหาทางสะดวกที่จะขึ้นไปเคลียร์ประเด็นกับพ่อคนอัจฉริยะหัวเงิน
ทว่าเธอก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของเขาอยูชั้นไหน พลันนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาอยู่ จึงรีบกดโทรหาขอความช่วยเหลือ
"คุณโทรมาหาผมเพราะแท็กนั้นใช่ไหม" เสียงเข้มเอ่ยราบเรียบ
"อันนั้นก็ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ตอนนี้ฉันอยู่บริษัทคุณ"
"ว่าไงนะ แล้วคุณอยู่ตรงไหน"
"อยู่ชั้นแรกค่ะ แต่นักข่าวแห่กันมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด"
"แล้วคุณจะกลัวอะไรล่ะ" เขาตอบพร้อมกับรีบเดินออกมาจากห้องทำงาน กดลิฟต์ลงมาหาเธอที่ชั้นหนึ่งทันที
"ฮัลโหล....แม็กนัส นายหงอก เอ๊ะทำไมเงียบไปแล้วอ่ะ"
มือใหญ่รวบดึงเอวเล็กเข้ามาแนบชิดทำให้ขาเรียวถอยหลังเซถลากระแทกกับตัวของคนด้านหลัง หญิงสาวพลิกตัวหันกลับไปหา พลันใดหน้ากากสีดำก็ถูกสวมลงมาที่ใบหน้าพร้อมกับหมวกแก็ปสีดำอย่างฉับไว
ใบหน้าขาวคมภายใต้หน้ากากสีดำยื่นเข้ามาหาหลี่ตามองพร้อมกับแตะนิ้วชี้ทาบกับหน้ากากตนเองเอาไว้ ส่งสัญญาณบอกให้เธออยู่เงียบๆ ก่อน และรอจังหวะให้ฮัลค์ล่อนักข่าวไปอีกทาง
และก็เป็นไปตามแผนการของเขา ทุกครั้งที่ฮัลค์และทีมบอดี้การ์ดของเขาเดินนำออกมาก่อน พวกนักข่าวจะพากันยกขโยงเข้าไปถามคนสนิทของเขาเป็นอันดับแรก
เมื่อทางออกปลอดโปร่งดีแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบคว้ามือนุ่มมากุมกระชับจนแน่น พาเธอเดินไปยังรถเทสล่าสีน้ำเงินคันโปรด ส่งซิกให้เธอขึ้นรถ เดมี่ยอมทำตาม ไม่ต่อความยาวใดๆ ทำให้ทั้งสองสามารถออกมาจากกลุ่มสื่อมวลชนที่แสนวุ่นวายนี้ได้ทันท่วงที
เขาขับรถพาเธอมาถึงไชน่าทาวน์แห่งซานฟรานซิสโก ทว่าผู้โดยสารสาวที่นั่งมากับเขาก็ดันนอนหลับกรนคร่อก ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว และการหลับของเธอนั่นเองทำให้เขาฉวยโอกาสทำในสิ่งที่พิลึกเข้าไปทุกที
มือใหญ่ยื่นไปหยิบหมวกแก็ปสีดำและดึงหน้ากากที่ปกปิดใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างหลับใหลของเธอออก เพื่อที่เขาจะได้กวาดตามองดวงหน้านี้แล้วบันทึกไว้ในสมองให้ขึ้นใจว่าครั้งหนึ่งเธออยู่ใกล้เขาเพียงเอื้อมมือ
นิ้วชี้ที่มีรอยสักภาษาจีนแฝงความหมายลึกซึ้งเกินกว่าคนอื่นจะเข้าใจ ค่อย ๆ บรรจงไล้ไปตามล่องรอยฟกช้ำที่เคยเด่นหลาอยู่บนริมฝีปากของดารินธิรา
ถึงตอนนี้มันจะจางหายไปมากแล้ว แต่ก็ยังเหลือรอยครูดบนแก้มใสที่ยังปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ และบาดแผลพวกนี้เองที่ส่งผลกระทบกับใจของเขาจนสั่นคลอนทุกครั้งที่จ้องมอง ถ้าเกิดว่าตอนนั้นเขาไม่มัวลังเลที่จะไปช่วยเธอ บางทีเธออาจะไม่บาดเจ็บขนาดนี้
จังหวะที่เขากำลังกวาดมองหน้าเล็กเพื่อเก็บรายละเอียด เปลือกตาสวยก็เริ่มขยับขยุกขยิก
ปลายนิ้วชี้ยาวรีบดึงกลับมาแทบไม่ทันแล้วหยิบหนังสือเล่มโปรดที่เสียบอยู่ด้านข้างประตูรถขึ้นมาทำท่าทีว่ากำลังอ่าน
นัยน์ตากลมโตปรือมองและเห็นว่าเธออยู่ที่ ไชน่าทาวน์แถบซานฟรานซิสโก แถมตอนนี้บรรยากาศด้านนอกรถก็เริ่มขมุกขมัวคล้ายกับจะมีพายุ
เรียวปากกระจับอิ่มจึงขยับถามโชเฟอร์รถหรูที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเรื่อง The Courage To Be Disliked กลับหัวกลับหางอยู่นััน จึงทำให้ดารินธิราเผลอหลุดขำออกมาเสียงดัง
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เสียงหัวเราะร่าของเธอปลุกสติของหนอนหนังสือที่จดจ้องกับตัวอักษรในหนังสืออยู่นั้น เปลี่ยนเป็นการตวัดดวงตาหาแม่คนเส้นตื้นอย่างงง ๆ
"หัวเราะอะไร"
"คุณนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ เลยเนอะ ถึงขนาดอ่านหนังสือกลับหัวกลับหางได้"
"ก็แน่ล่ะสิ!...." แม็กนัสมองหนังสือในมือที่กลับหัวอยู่จริง ๆ ตามที่เธอบอก ชายหนุ่มจึงรีบเอาหนังสือเก็บเข้าที่ แล้วกุลีกุจอรีบเปิดประตูรถลงไปจากรถด้วยความอับอายขายหน้า
"อ้าว! แล้วนั่นคุณจะไปไหน"
"ก็หาอะไรกินหน่ะสิครับ รอคุณตื่นจนน้ำย่อยในกระเพาะพิโรธหมดแล้ว"
"แล้วทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ"
เธอบอกแล้วเปิดประตูตามเขาลงมาจากรถ และสังเกตุเห็นว่าใบหน้าของเขากำลังแดงระเรื่อ ชายหนุ่มรู้สึกว่ากำลังถูกดวงตากลมเพ่งมองมา จึงพยายามหลบหลีกสายตา ทว่าสีหน้าท่าทางของเขาที่คล้ายกับกลบเกลื่อนบางอย่างอยู่ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาหน่อย ๆ
"ไปหรือยังล่ะ จ้องอยู่ได้"
"ไอ้ที่ฉันจ้องคุณเนี่ยเพราะเห็นว่าหน้าคุณมันแปลก ๆ ต่างหากเล่า"
"แปลกตรงไหน ผมดูดีออกขนาดนี้"
บอกแล้วเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นใบหน้าที่เธอว่าแปลกให้ดูอีกที แต่ดารินธิราก็พยามยามเขยิบใบหน้าของเธอให้ออกห่าง แล้ววิ่งหนีเขามาอีกฝั่ง
"ไหนบอกหิวไง ไปกันหรือยังล่ะน้องชาย"
"ก็กำลังจะไปอยู่นี่ไงครับพี่สาว" แม็กนัสยอกย้อนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
เรียวขาเล็กกระชับแน่นถูกฝ่ามือร้อนคลั่งรักคลั่งคะนึงหาของสามีปลดออกอย่างเร่งรัด ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามเหตุการณ์ต่าง ๆ กับเขา ใบหน้าคมขาวก็ก้มลงมาปิดปากของเธอแนบสนิท และยังไม่ได้เตรียมตักตวงออกซิเจนเลยด้วยซ้ำจูบที่สูบแก่นวิญญาณและพลังงานในร่างกายที่อ่อนเพลียมาทั้งวันไปจนเกือบหมด ไหนจะปลายลิ้นที่ควานหาลิ้นของเธอแล้วเกี่ยวรัดไว้จนเธอแทบสำลักรสจุมพิตที่หนักหน่วงนี้ สุดท้ายเธอก็หัวหมุนตาลายแต่ก็ยังอยากตักตวงความสุขนี้กับเขาต่อไป ติ๊ดดดดดด ติ๊ดดดดดดเสียงร้องจากสมาร์ทวอชที่เดมี่ฝังดวลออร่าชิฟเอาไว้ที่หลังคอทำให้มันส่งสัญญาณมาที่เครื่องของเขาและเธอพร้อมกัน ใบหน้าตื่นตระหนกผละจูบออกด้วยความตกใจและรีบยกข้อมือดูสัญญาณเตือนประหลาดที่ขึ้นเป็นรูปเด็กทารก เขาจ้องนิ่งดวงตาไม่กระพริบ "นี่มัน...." แม็กนัสก้มลงหอมแก้มของเดมี่เพื่อปลอบประโลมเธอทันที แล้วยิ้มให้กับใบหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มของภรรยาด้วยความดีใจ "มีอะไรคะคุณแม็ก" "สงสัยว่าคุณกำลังจะมีทาสคนใหม่ให้ไอ้เจ้าปาตาโกไททันมาโยรัมซะแล้ว" "คะ.....หมายความว่าฉะ... ฉันท้อง" "อืม คุณท้อง ถึงว่าคุณต้านแรงจูบของผมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติคุณจะรุกกลับจนผมเสี
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ
มือที่จับปากกาสไตลัสอยู่นั้นค้างนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าเงยขึ้นมองมายังต้นเสียงที่ขัดจังหวะศิลป์ของเธอ ดวงตากลมโตเหล่มองใบหน้าของฮัลค์อย่างคนมีคำถาม"คุณ?""พ่อสิ คุณอะไรเล่า?""อ่อ..ค่ะคุณพ่อ แล้วลมอะไรหอบคุณพ่อมาถึงที่นี่""ก็เธอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลอาเวนชี่แล้วไม่ใช่รึไง""ค่ะ....แล้วมีธุระอะไรกับฉัน หรือว่ามาหาคุณแม็กคะ""ไอ้ลูกบ้านั่นฉันไปหามันเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้มาหาเธอ""เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?"เบลค อาเวนชี่ ย่อตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจต่างกับคนเดิมที่เคยเกรี้ยวกราดใส่เธอ"แม็กนัสได้รู้ความจริงเรื่องแม่ของเขา ความจริงที่ฉันปิดบังมาตลอดหลายสิบกว่าปีมานี้ ที่ว่า.....แม่ของเขาเป็นอาชญากรที่ถูกทางการจีนหมายหัว และฉันเองเป็นคนที่ถูกส่งมาให้จัดการเธอ แต่แล้วฉันก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เพราะ.....""คุณรักเธอ" ดารินธิราต่อประโยคที่ขาดช่วงไปอย่างนุ่มนวล "ใช่....ฉันรักแม่ของเขามาก จนยอมเป็นคนเลว แต่ฉันไม่อยากให้เจ้าแม็กคิดว่าฉันกับแม่ของเขาให้กำเนิดเขาเพราะเหตุผลอื่น ที่ฉันแต่งงานกับแม่ของเขาเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่เพราะภารกิจลับจากองค์กรไหนทั้งนั้น ฉันแ
เสียงของเธอถูกคงส่งไปไม่ถึงเขา เพราะโทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งซะก่อน และเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเธอโทรมา แล้วผู้หญิงที่อยู่ปลายสายนี้ล่ะ เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมสามีของเธอถึงยอมให้หล่อนมาอยู่ด้วยจนมืดค่ำขนาดนี้ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนขี้หึงหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไป อยู่ดีๆ นึกจะไปก็ไปไม่บอกไม่กล่าวเมียอย่างเธอเลยสักนิด ต้องให้คนอื่นมาบอก แถมโทรมาหาสักหน่อยก็ไม่มี เอาสิ! นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นใครเธอไม่สนหรอก แต่หากคิดจะใช้โอกาสนี้รวบหัวรวบหางสามีของเธอ คงไม่ง่ายนักหรอก ดารินธิราเดินทางมาถึงสถาบันบีเดอะไลท์ตั้งแต่ยามเพิ่งจะเดินทามาถึง แม้สถาบันของเธอจะกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ที่ดีและสวยงามกว่าเดิมหลายเท่าเพราะฝีมือของแม็กนัส แต่นั่นกลับไม่ไช่เหตุผลที่ทำให้เธอรีบร้อนมาทำงานเพื่อมาชื่นชมตึกใหม่ แต่เป็นเพราะบทสนทนาเมื่อคืนต่างหากที่ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"อโลฮ่า! พี่เดมี่ วันนี้เราได้งานนออกาไนซ์จัดศิลปะการแสดงประจำปี, จัดนิทรรศการ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน อ้อแถมมีงานเทียบเชิญขอให้พี่เดมี่ไปโชว์เต้นเปิดตัวให้กับองค์กรการกุศลด้วยนะคะ กุ๊กไก่ดีใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณโมนาจะมีอิทธิพลขนาดนี้""ที่ไหน เมื
Count your age by friends, not years. Count your life by smiles, not tears.นับอายุของคุณด้วยจำนวนเพื่อน และนับชีวิตของคุณด้วยรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา-John Lennon-ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนไล่มองใบหน้าขาวเนียนดุจผิวทารกเพศชาย แม้ตอนนี้นาฬิกาบนผนังห้องจะบอกเวลาแค่ตีสามครึ่งเท่านั้น แต่แสงกระทบของพระจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้องนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วและเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอกับเขา หลินเย่ซี สามีดีกรีมหาเศรษฐีที่จับผลัดจับพลูไปเป็นสายลับ ทำให้เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องล่าอารยธรรมสุดขอบโลกกับเขาไปด้วยโดยไม่คาดคิด "เดมี่..........."เขาปรือตาขึ้นแล้วพลิกตัวตะแคงข้างสบตามาที่เจ้าของรอยยิ้มละมุนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ "ฉันปลุกคุณตื่นหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ แต่ตอนนี้.....ก็คล้ายว่าจะตาสว่างมากกกกก" เขาพูดจบก็เอาสองมือปิดตาตัวเอง หญิงสาวหลุบต่ำมองดูสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาในสภาพไร้บรา คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่า เขาปิดตาทำไม โมนายัยเบ๊อะเอ้ย! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอจงใจอ่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางความอายแทบพลิกแผ่นดินทำให