ก้มหน้าก้มตาอ่านชีท บ้างไฮไลต์สีลงไปตรงจุดสำคัญ จนไม่รู้กระทั่งว่ายางรัดผมสีดำขาดผึงออก ผมดำขลับเงาวับมีน้ำหนักทิ้งตัวลงไปถึงกลางหลัง กระทั่งผมเส้นหนึ่งจะเข้าปากร่างบางถึงได้สติ ดึงตัวเองออกจากตำราเรียน เงยหน้าขึ้นเสยผมลวกๆ จับปอยผมทัดใบหู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามาม่าที่สั่งมาคงอืด
มือเรียวคว้าถ้วยมาม่าคัพมาเปิดฝา แล้วใช้ส้อมพลาสติกคนมาม่าที่อืดดังคาด ก่อนจะจัดการยกถ้วยขึ้นซดอย่างไม่ห่วงสวย และไม่รักษาภาพลักษณ์ของดาวคณะบัญชี หนึ่งในสาวที่หนุ่มๆ ค่อนมหา’ลัยอยากควงและเป็นแฟน แต่อารญาก็ขึ้นชื่อเรื่องความหยิ่ง โลกส่วนตัวสูง และมาดคุณหนูสูงส่ง ถึงแม้จะแต่งตัวธรรมดา แถมยังถูกระเบียบ ทั้งตัวมีแค่กระเป๋าและนาฬิกาเป็นของแบรนด์เนม แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าหา
“ทำไมไม่กินอย่างอื่น ที่มันดีกว่ามาม่า”
ในจังหวะที่กำลังม้วนๆ เส้นมาม่าพันส้อมพลาสติก แล้วเอาเข้าปาก เสียงหนึ่งก็ลอยมากระทบหู ทำให้มือที่กำลังถือส้อมชะงักค้าง เธอหลับตาสะกดอารมณ์หลากหลาย ก่อนจะหันไปมองคนที่เสียงเย็นชายิ่งกว่าใบหน้า เม้มปากเมื่อเห็นสายตาดุๆ แต่ไม่ยอมเอ่ยโต้ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว
“…”
ใจจริงอยากจะตอบไปว่าใครๆ เขาก็กินมาม่ากันทั้งนั้น แต่คิดว่าการสงบปากสงบคำย่อมดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วเธอก็ไม่ใช่คนพูดมากอะไร จะพูดมากเป็นพิเศษก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ตอนนี้อะไรๆ ระหว่างทั้งคู่มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นทำเหมือนคนแปลกหน้าจะดีที่สุด
อารญายักไหล่เล็กน้อย ยกถ้วยมาม่าขึ้นซดอย่างหน้าตาเฉย ช่วงนี้เธอไม่มีเวลาพักผ่อนพอๆ กับไม่มีเวลากินและนอน เนื่องจากเธอต้องทำงานพิเศษหลายอย่าง หารายได้เสริมแบ่งเบาภาระของที่บ้าน เพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ฉะนั้นหากมีอะไรที่พอกินได้ ไม่รบกวนเงินในกระเป๋ามากเกินไปเธอก็จะกิน และมาม่าที่ว่านี่ก็คืออาหารเช้าของวัน เพราะตอนเช้าเธอมัวแต่ทำรายงานที่เพื่อนจ้าง เลยไม่มีเวลากินข้าว
เธอเงยหน้าขึ้นหลังจากซดมาม่าไปจนหมดถ้วย คว้าน้ำเปล่าขวดเล็กมาเปิด ใช้หลอดดูดไปเกือบค่อนขวด ถึงได้วางมันลงทางขวามือ วินาทีถัดมาอารญาก็เผลอหันไปทางที่ใครอีกคนนั่งอยู่
หัวคิ้วเรียวสวยเหนือดวงตากลมโตพลันย่นเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อปะทะเข้ากับสายตาดุๆ ภายใต้กรอบแว่นดีไซน์หรูที่ไม่เชิงว่าเป็นทรงสี่เหลี่ยมเสียทีเดียว
แปลก!
เขาจะมาทำท่าเหมือนหงุดหงิดให้เธอทำไม เธอก็อยู่ของเธอดีๆ ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขา ไม่ได้พูดมากกวนใจจนน่ารำคาญเหมือนที่เขาเคยบ่นให้บ่อยครั้ง แต่เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องมาม่า ไม่มั้ง เขาจะมาใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่เขาเฉดหัวทิ้งอย่างไม่ไยดีทำไม เป็นไปไม่ได้หรอก
เสียงโมบายดังกรุ้งกริ้งเพราะมีคนเปิดประตูร้านถูกกลบด้วยเสียงฮือฮาของคนที่อยู่ด้านใน ทำให้อารญาอดหันไปมองไม่ได้ แล้วคนที่เพิ่งมาและกลายเป็นจุดสนใจของคนในร้าน ก็ทำให้อารญาต้องรีบหันกลับแทบไม่ทัน มนธิราเดินมาหาคนรักของหล่อน ก่อนที่เสียงหวานๆ จะทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
“รอนานไหมคะธี”
“ผมรอได้”
คำตอบเอาใจแฟนทำให้คนที่เหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทางลดหน้าลงต่ำกว่าเดิม แอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ แล้วก็ต้องนึกอยากแกล้งตาย เมื่อแม่นางเอกสาวยังอุตส่าห์จำเธอได้
“เอ่อ…คุณน้องอายใช่ไหมคะ”
คำทักทายทำให้เธอจำใจเงยหน้าขึ้น หันไปมองอีกฝ่าย แล้วก็แทบทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นว่ามนธิรากอดแขนคุณชายธีรเดชอย่างแสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ แต่ยังไม่วายส่งยิ้มมาให้เธอ
“ใช่ค่ะ” อารญาเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะนึกขึ้นได้จึงถามออกไป “คุณหายดีหรือยังคะ วันนั้นอายต้องขอโทษจริงๆ นะคะ อายไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บตัว”
ประโยคในตอนท้ายอารญาเอ่ยออกมาจากใจ ยอมรับว่าอุบัติเหตุในครั้งนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเธอ และที่ขอโทษออกไปก็ไม่ได้อยากให้ใครมองว่าเป็นคนดี แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันหายดีแล้ว แล้วหัวเข่าคุณล่ะคะ เห็นพยาบาลเล่าให้ฟังว่าวันนั้นคุณกลับบ้านไปทั้งที่ยังไม่ได้ทำแผล” มนธิราเอ่ยด้วยท่าทางเป็นกันเองอย่างเหนือความคาดหมาย
“แผล?” เป็นธีรเดชที่แทรกขึ้น
“ค่ะ วันนั้นคุณน้องอายก็เจ็บตัวเหมือนกัน”
อารญาตัดบทเมื่อเห็นว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่หัวเข่าถลอก ตอนนี้หายดีแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วบทสนทนาสั้นๆ แต่ชวนกระอักกระอ่วนใจก็จบลงอย่างสันติ อารญาเลี่ยงที่จะไม่มองหน้าใครตรงๆ กำลังคิดหาหนทางที่จะเลี่ยงไปจากตรงนั้นอย่างเนียนๆ แล้วใครคนหนึ่งก็โผล่มาได้จังหวะเหมาะเจาะ
“อาย!”
เสียงที่ว่าทำให้เธอดีใจ แต่คนมาใหม่นี่ก็ช่างแกล้งเสียนี่กระไร มาเฉยๆ ไม่เคยได้ ต้องเอามือทั้งสองข้างมาจี้เอวจนเธอดิ้นลงจากเก้าอี้ทรงสูง ดีที่ไม่ตกลงมา แล้วอีกฝ่ายยังมีหน้ามาทำท่าทะเล้น
“จ๊ะเอ๋! เค้าเอง”
“นี่แน่ะ! ชอบแกล้งดีนักนะแก”
เธอเอาคืนด้วยการบิดแก้มนุ่มๆ ยุ้ยๆ ของแม่สาวแก้มป่อง ตาโต ผมสั้น แต่ขาสั้นกว่า หน้าอกแบน ตรงข้ามกับสะโพกที่โคตรสะบึม ศรีจิตตรา พรหมอารยะ เป็นหนึ่งในของสงวนของคณะเช่นเดียวกับเธอ
“แหม…เพื่อนแกล้งนิดแกล้งหน่อยทำเป็นโกรธ ทีคนอื่นทำให้ทั้งโกรธทั้งเสียใจไม่ยักว่าอะไรเขาสักคำ แถมยังให้เขานั่งจ้องอยู่ได้ตั้งนานสองนาน นี่ไม่รู้หรือไงว่าเขานั่งอ่านกินแกไปถึงดาวอังคารโน่น”
คำพูดลอยๆ ทำให้อารญาอ้าปากค้าง
“ยายศรี! แกพูดบ้าอะไร…”
ทันทีที่ได้สติเธอก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ ขณะขึงตาใส่เพื่อน
“ก็พูดความจริง…มั้ง” แม่สาวจอมเซี้ยวยังไม่วายทำท่าเบ้ปากยักไหล่อย่างกวนๆ ก่อนจะถือวิสาสะเก็บของบนโต๊ะยัดใส่กระเป๋าเธอ “เก็บของๆ ฉันจะพาไปเหล่หนุ่ม”
“เหล่หนุ่ม?”
อารญาถามเพื่อนซี้ที่มีนิสัยต่างขั้วกับเธออย่างงงๆ
“อ่าฮะ วันนี้มีหนุ่มวิดวะมออื่นมาเว้ย หล่อกร๊าวใจทั้งนั้น ไปเหอะ…เผื่อตกหนุ่มได้สักคน หรือถ้าได้หลายคนก็มัดรวมกันยัดใส่กระเป๋ากลับบ้าน”
ว่าแล้วแม่คนที่อยู่ๆ ก็เกิดทำตัวก๋ากั่นถึงขั้นจะไปตกผู้ชายก็ลากแขนอารญาออกไปจากร้าน ด้วยสภาพมึนๆ เพราะงงในพฤติกรรมผีเข้าของเพื่อนซี้ตัวแสบ ศรีจิตตราหรือจะชอบหนุ่มวิศวะ อีกฝ่ายคลั่งผู้ชายขาวตี๋สายจีนเกาหลีอะไรเทือกนั้น เมื่อสามสี่วันก่อนยังโอดครวญอยู่เลยว่าหาทางออกจากป่าท้อไม่เจอ บ้าผู้ในนิยายไม่พอ ยังคลั่งพระเอกซีรีส์จีนแบบเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วไหงวันนี้คิดจะไปตกหนุ่มมาดเถื่อน
แต่ก็นั่นแหละ เวลาแบบนี้ต่อให้อีกฝ่ายจะลากเธอเข้าไปกลางดงหนุ่มวิศวะก็ต้องยอมล่ะ ดีกว่าต้องทนกระอักกระอ่วนอยู่ในร้านกาแฟนั่น
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงห้าวทุ้มของคนที่ก้าวตามมา ทำให้อารญาหลับตากำมือแน่น ไม่อยากจะเสวนากับเขาแม้แต่คำเดียว เธอก็ออกมาจากชีวิตเขาแล้วไง เหตุใดเขายังตอแยเธออยู่ได้
“นี่ลุง! คุณจะเอายังไงกับเพื่อนฉันไม่ทราบ”
เป็นศรีจิตตราที่ออกโรงปกป้องเธอ อีกฝ่ายเดินกลับมายืนประจันหน้ากับธีรเดช จ้องเขาด้วยท่าทางหาเรื่องอย่างไม่กริ่งเกรง ต่อให้จะสูงเพียงระดับอกของเขาก็ตามที แต่เขากลับเดินผ่านหน้าเธอไปเหมือนเป็นอากาศธาตุ แล้วมาหยุดลงตรงหน้าของคนที่เขาคงเกิดนึกอยากคุยด้วย เพราะก่อนหน้าไม่เห็นไยดี
“คุณมีอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ”
สุดท้ายอารญาก็เอ่ยเสียงเย็นชา สายตาว่างเปล่ามองสบประสานกับสายตาคม เรื่องอะไรเธอจะไปแสดงด้านที่อ่อนแอให้เขาได้เห็น เขาก็แค่อดีตที่เธอจะลบออกไปให้ได้ในสักวัน
“วันนั้นเธอก็เจ็บตัวเหมือนกันเหรอ”
อ๋อ…ตามมาเคลียร์เรื่องที่คาใจสินะ
“คุณก็ได้ยินที่แฟนคุณพูดแล้วนี่คะ”
อารญาตอบหน้าตาย แล้วหมุนตัวจะก้าวจากไป หากแต่กลับต้องชะงัก เพราะข้อมือน้อยถูกตรึงด้วยอุ้งมือใหญ่ ตากลมหลุบลงมองมือเขาที่กุมมือเธออยู่นิ่งๆ กระทั่งเขาปล่อยมันออก เธอถึงได้ชักมือกลับไปเช็ดชายเสื้อแรงๆ ประหนึ่งรังเกียจเสียเต็มประดา จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาแค่นยิ้ม
“ตามตอแยคนที่ตัวเองเกลียด ไม่สมกับเป็นคุณเลย”
กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นอารญาก็คว้าแขนของศรีจิตตราก้าวจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง เธอไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอ้อยอิ่งเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่าของเธอ ระหว่างทั้งคู่มันหมดเวลาที่จะปรับความเข้าใจ หรือแก้ไขในสิ่งที่ทำพลาดไปแล้ว หากจะพลาดก็คงมีสิ่งเดียว นั่นก็คือพลาดที่ไปมอบหัวใจให้คนที่ไม่เห็นค่าอย่างเขา
“ฮึ่ยยย…ฉันล่ะอยากชกอิตาคุณชายหน้าน้ำแข็งนั่นสักหมัด”
คนที่เธอตัดสินใจลากติดมือมาเพราะเห็นท่าทางพร้อมบวก บ่นอุบด้วยความโมโห ใบหน้าบูดบึ้ง จนอารญาต้องส่ายหัวเบาๆ แล้วเอ่ยปรามอย่างเสียไม่ได้
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลยน่า”
“ก็เขาอยากมายุ่งกับแกก่อนทำไมล่ะ”
“เขาก็แค่เข้าใจอะไรบางอย่างผิดล่ะมั้ง”
“อ๋อ…ก็เลยตามมาเคลียร์ พอเข้าใจถูกก็กะจะขอโทษต่อไรงี้ หึ! ฟอร์มจัดขนาดนั้นกว่าจะขอโทษแกได้แกคงเดินหนีไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” คนที่เริ่มเห็นเค้าลางมูลเหตุที่เกิดขึ้นเอ่ยอย่างหมั่นไส้ผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนา
“คนแบบนั้นไม่ทีทางเอ่ยขอโทษใครง่ายๆ หรอก”
อารญาเอ่ยอย่างรู้เท่าทันถึงนิสัยของธีรเดชอย่างถ่องแท้ นอกจากเขาจะเย็นชา ปากหนัก เย่อหยิ่ง ไว้ตัว เขายังรักศักดิ์ศรีของตัวเองเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เมื่อครู่ไม่ใช่วิถีที่จะนำไปสู่การขอโทษในแบบของธีรเดชอย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะชอบสื่อด้วยกิริยามากกว่าคำพูด แต่ก็น่าแปลกที่เขาเกิดรู้สึกอะไรบางอย่างเพียงแค่ได้รู้ว่าวันเกิดเรื่องเธอเองก็บาดเจ็บเช่นกัน
“เราอย่าไปพูดถึงเขาอีกเลย เขาก็อยู่ส่วนเขา ฉันก็อยู่ส่วนฉัน ต่างคนก็ต่างเดินคนละเส้นทางแล้ว”
คนที่บอกตัวเองว่าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่เอ่ยตัดบทอย่างมาดมั่น ถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีต คิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องราวเดิมๆ ก็คงไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้
“เห็นแกเข้มแข็งได้แบบนี้ฉันก็ดีใจ”
“ขอบใจที่แกไม่ทิ้งฉัน”
อารญากอดคอศรีจิตตรา แล้วทั้งสองก็ก้าวเดินไปยังประตูมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นชื่อของธีรเดชก็ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวอีก เขาจะกลายเป็นแค่คนในอดีต แต่ไม่สำคัญต่อปัจจุบัน และอนาคต อารญาต้องก้าวต่อไป ชีวิตเธอยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ แล้วเหตุไฉนเธอต้องมาจมปลัก ความเจ็บปวด ความรัก ความทุกข์ ความเศร้า ทุกอย่างก็แค่ผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบและบทเรียน เพื่อที่จะทำให้เธอโตขึ้นไปอีกขั้นก็แค่นั้น
หกปีหลังจากนั้น เด็กหญิงนีลาญาก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของบ้าน มีน้องน้อยเพิ่มมาอีกสี่คน คนที่หนึ่งชื่อเด็กชายธีราภัทร หรือน้องธาม คนที่สองเป็นผู้หญิงชื่อเด็กหญิงนีลาภา หรือน้องนีน ส่วนคนที่สามและสี่เป็นแฝดชายหญิง ชื่อเด็กหญิงนารีญา หรือน้องนิ่ม ส่วนแฝดน้องชื่อเด็กชายธงไทย หรือน้องไทน์ ห้าพี่น้องต่างรักใคร่กลมเกลียว และซนระดับพระกาฬ โดยเฉพาะสี่หน่อที่เกิดไล่เลี่ยกัน หากอยู่บ้านก็ทำเอาคนแก่ทั้งวังรื่นฤดีปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน “อาบจ๋า นีนอยากกินลูกชุบ” หนูน้อยนีลาภาวัยสี่ขวบเอ่ยฉะอ้อนแม่นมวัยดึกอย่างน่ารักน่าชัง ตากลมแป๋วที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวดกดำเหมือนตุ๊กตาจ้องลูกชุบสีสวยในถาดไม่กะพริบ “คุณหนูนีนของแม่อาบ จะกินรูปผลไม้อันไหนคะ เดี๋ยวแม่อาบจะหยิบให้ค่ะ” คนแก่ที่หลงเด็กน้อยเสียเหลือเกินเอ่ยอย่างเอาใจ ก่อนจะถือโอกาสก้มลงหอมแก้มป่องๆ อย่างมันเขี้ยว “มะม่วงค่า”นิ้วป้อมๆ ชี้ไปยังลูกชุบสีเขียวอมเหลืองที่ถูกปั้นเป็นรูปมะม่วง แม่อาบยิ้มกริ่ม แล้วหยิบลูกชุบส่งให้ เด็กน้อยพนมมือไหว้อย่างน่าเอ็นดู แล้วยัดลูกชุบใส่ปาก ก่อนจะเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย “ปี้นีน! ปี้นีน!”เ
คนที่เพิ่งกลับขึ้นมาบนห้องนอน หลังจากหนีลงไปรดน้ำผักที่สวนครัวหลังวังรื่นฤดีตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นสามีนั่งกอดอกทำหน้าตึงอยู่ปลายเตียงก็ถึงกับกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม แต่ทำทีเป็นไม่สนใจ เดินนวยนาดไปเปิดประตูเชื่อมสู่ห้องนอนลูก ครั้นเห็นเด็กน้อยกับแมวนอนกอดกันหลับปุ๋ยก็อมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ งับประตูลงอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าสามีที่กำลังเรียกร้องความสนใจแบบซึนๆ “วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ”“ไป แต่ไม่มีคนอาบน้ำให้” น้ำเสียงราบเรียบ และท่าทางมึนตึง แต่ความหมายของคำพูดทำให้คนฟังมองค้อนด้วยความหมั่นไส้เธอไม่น่าอาบน้ำให้เขาจนเขาเสียนิสัยแบบนี้เลย ให้ตาย! “ถ้าจะอาบก็ตามมาค่ะ”อารญาเอ่ยสั้นๆ แล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ยังไม่ง้อคนที่กำลังน้อยใจ หากเดาไม่ผิดก็คงเพราะเธอหนีไปรดน้ำผักตั้งแต่เช้า ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังที่ห้องนอน ธีรเดชเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้งหากตื่นมาไม่เห็นเธอก็จะงอน และคนที่ง้อก็มักเป็นเธออยู่ร่ำไป วันนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะรู้ว่าเขามีประชุมสำคัญที่บริษัทในช่วงสาย “มาค่ะ อายถอดเสื้อผ้าให้”มือเรียวคว้าเข้าที่ข้อมือใหญ่ แล้วลากร่างทรงพลังไปยืนพิงเ
เวลาผ่านไปแต่ละวินาทีช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกิน ธีรเดชรู้สึกเหมือนมันเป็นระเบิดเวลา ในหัวเขาอัดแน่นไปด้วยความตึงเครียดจนถึงขีดสุด ในใจมีแต่ความหวาดหวั่นและวิตกกังวลสารพัด การรอคอยช่างสุดแสนทรมานแทบขาดใจ ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างเดินไปเดินมาไม่หยุด กระทั่งในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก เขาถลาไปหยุดลงตรงหน้าหัวหน้าทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างหมอปริญ แล้วถามไถ่ด้วยความร้อนใจ “ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ” “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ภรรยาของคุณปลอดภัย แต่ต้องแอดมิดดูอาการก่อน เผื่อมีผลข้างเคียงอะไร”นายแพทย์หนุ่มเอ่ยบอกไปตามสถานการณ์ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อคุณชายหมอที่ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็นละล่ำละลักขอบคุณเขา “ดีใจด้วยนะคะ”ปานระพีเอ่ยอย่างยิ้มๆ“ขอบคุณมากครับหมอแพร”ธีรเดชเอ่ยขอบคุณปานระพีด้วยความซาบซึ้งใจ คล้อยหลังอีกฝ่ายร่างใหญ่ก็เดินไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าห้องผ่าตัด แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเท่าใด อารญาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบรรยากาศข้างนอกที่มองผ่านกระจกหน้าต่างก็ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดเสียแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ก่อนผ่าตัด ธีรเดชก็พาอารญากับลูก รวมทั้งแมวอ้วน มาเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวบนดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศหน้าหนาวของที่นี่ในตอนเช้าๆ สวยจับตา เธอตื่นแต่เช้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ บนชานเรือนไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา ด้านบนม่านสายหมอกปกคลุมไปทั้งอาณาบริเวณ ต่ำลงมาก็จะเป็นแปลงชาที่ทอดตัวยาวลงไปเกือบจรดตีนเขา รอบๆ ตัวบ้านมีแปลงดอกไม้รายล้อมอยู่รอบนอกในลักษณะวงกลม ถัดเข้ามาก็จะจัดสรรค์พื้นที่เป็นแปลงผัก และแปลงสตรอว์เบอร์รี กั้นบริเวณลานหน้าบ้านส่วนหนึ่งสำหรับสนามเด็กเล่น มีเครื่องเล่นที่ลูกเธอชอบอย่างครบครัน บนกองทรายมีของเล่นแมวอยู่สองสามอย่าง ใต้ต้นพญาเสือโคร่งที่กำลังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งมีชิงช้าไม้ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเขาเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อเธอกับลูก รวมทั้งแมวอ้วนด้วย ช่างเป็นสามี เป็นพ่อ และเป็นทาสแมว ที่ประเสริฐเสียจริง เจ้าของนัยน์ตากลมโตทอดมองทุกสิ่งที่อยู่ในครรลองสายตา แล้ววกกลับมาสำรวจแปลงผักเขียวขจีด้วยความชอบใจ ปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ ร่างอ้อนแอ้นที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวไหมพรมสีส้มอิฐพลันสะดุ้งน้
“ให้มันรู้ซะบ้าง ว่านี่เมียใคร” ธีรเดชยักคิ้วเย้ย จากนั้นก็ก้มลงหอมแก้มนวลฟอดใหญ่อย่างหน้าตาเฉย ท่าทางเปิดเผยความรู้สึกที่คงจุกอกมาเนิ่นนานของไอ้หนุ่มคลั่งรัก ทำให้พลชระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ไม่นานเอวาก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟ ทันทีที่เห็นอารญาก็ทำท่าดีใจยกใหญ่ เธอจึงดึงอีกฝ่ายมากระซิบกระซาบว่าจะไปหาที่ครัว ส่วนพลชก็เอ่ยขอตัว เพราะไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มลงมือทานมื้อค่ำ เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้เธอเจริญอาหารมากยิ่งขึ้น แต่อยู่ๆ ไฟทั้งผับก็ดับพรึ่บลง มีเสียงดนตรีสุดโรแมนติกดังขึ้น พร้อมไฟสปอร์ตไลต์ส่องลงมาที่โต๊ะของทั้งคู่ทันใดนั้นคุณชายธีรเดชก็ผุดลุกขึ้น ทำให้เธอพลอยลุกขึ้นยืนไปด้วยโดยอัตโนมัติ เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะตาโต อ้าปากค้าง หัวใจเต้นคร่อมจังหวะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้า เสียงเพลงเงียบลง พร้อมกับที่เขาหยิบแหวนที่อกเสื้อออกมา แล้วเงยหน้าเอ่ยกับเธออย่างนุ่มนวล“น้องอายครับ ได้โปรดแต่งงานกับพี่นะครับ” คนถูกคุกเข่าขอแต่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว ถึงกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง และดีใจจนพูดไม่ออก เพราะคาดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตน
หลังจากเรื่องเลวร้ายทุกอย่างจบลง พร้อมกับการตายของดาริกา ส่วนมารตีถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต อารญากับลูก รวมทั้งแมว ก็ต้องย้ายไปอยู่กับสามีที่วังรื่นฤดี ส่งคืนบ้านเช่าที่ตัวเองทั้งรักและผูกพันเพราะอยู่มานานให้เจ้าของ เนื่องจากไม่อาจทนอยู่ในบ้านที่มีคนตายได้ ถึงแม้จะยังอาลัยอดีตอันแสนสุขที่เคยอยู่ร่วมกันกับลูกและแมว ทำใจยากที่จะจากต้นไม้และพืชผักสวนครัว แต่ธีรเดชก็เอาใจและชดเชยความรู้สึกของเมียรัก ด้วยการอนุญาตให้เธอปลูกพืช และผักสวนครัว ได้ตามแต่ใจต้องการ ไม่ว่าเธอจะปรารถนาสิ่งใดเขาย่อมประเคนให้อย่างไม่เกี่ยง ยกเว้นก็แต่เรื่องที่เธออ้อนขอไปทำงาน ธีรเดชปฏิเสธอย่างไม่มีอ่อนข้อ เพราะเป็นห่วงเรื่องกระสุนที่ฝังอยู่ในศีรษะของเธอ ซึ่งอารญาทำเพียงงอนนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจแหละว่าเขาเป็นห่วง พร้อมกับรับปากว่าหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างจริงจัง หากจะเป็นอะไรไปเธอก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าลูกจะไม่มีคนดูแล วันนี้ธีรเดชพาอารญามาปรึกษานิวโรศัลย์เรื่องการผ่าตัด ซึ่งหมอก็ลงความเห็นว่าจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด ไม่เกินภายในระยะเวลาสองอาทิตย์ และครั้งนี้เธอตอบตกลงอย่างไม่ลังเล “