พ่อพูดเสมอว่าเธอได้ดีเอ็นเอการทำอาหารจากแม่ผู้ล่วงลับมาเต็มๆ ปกติเธอจะทำอาหารให้คนที่บ้านทาน แต่วันนี้ต่างออกไป พ่อทำให้เธอหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้า ความรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ถูกทอดทิ้งเหมือนไร้ค่า และเหมือนถูกหักหลังยังฝังใจ ส่วนแม่เลี้ยงนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเธอแทบจะไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่าย จะมีก็แต่ดาริกาที่โทรมาสอบถามเรื่องอาการป่วยอยู่แทบทุกวัน
“หูยยยยย…อิจฉาอะ คนอะไรเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก” สาวที่เพิ่งกลับมาจากนำอาหารไปเสิร์ฟเอ่ยด้วยท่าทางเคลิ้มๆ แล้วอีกหนึ่งคนก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย
“นั่นสิ คุณมนธิราก็สวย ส่วนคุณชายก็หล่อ เห็นแล้วใจละลาย อยากมีแฟนอย่างคุณชายธีรเดชบ้างจัง”
น้ำเสียงชวนฝันทำให้คนที่ยืนช่วยแม่ครัวใหญ่อยู่หน้าเตาทำเป็นหูทวนลมในคราแรก ขณะที่ยังคอยเตรียมวัตถุดิบให้แม่ครัวของร้านอย่างขะมักเขม้น ทว่าชื่อที่ได้ยินในตอนท้ายก็ทำเอาตัวแข็งทื่อ หายใจสะดุดขึ้นมาเสียดื้อๆ
ดีหน่อยที่คนอื่นไม่รู้ว่าอารญาเคยเป็นคู่หมั้นของธีรเดชมาก่อน จะมีรู้บ้างก็แค่คนสนิทใกล้ชิด ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่หมั้นหมาย กระทั่งถอนหมั้น และตอนนี้ก็กลายเป็นเสมือนคนแปลกหน้าไปแล้ว
“น้องอายส่งเนื้อหมักเหล้าจีนให้พี่หน่อย…น้องอาย”
เมื่อเรียกไม่หือไม่อือ ไม่ทำตามคำสั่ง แม่ครัวใหญ่ก็เอื้อมมือมาเขย่าแขนเรียว คนที่หลุดเข้าไปในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยยกใหญ่
“อายขอโทษค่ะพี่นี ขอโทษจริงๆ”
“อืม ไม่เป็นไร แต่ครั้งหน้าอย่าให้มีอีก เพราะถ้าผู้ช่วยพี่มัวแต่เหม่ออยู่แบบนี้อาหารเสร็จไม่ทันลูกค้าแน่ๆ”
แม่ครัวที่ขึ้นชื่อว่าโหดและเข้มงวดเอ่ยกับเธออย่างเสียไม่ได้ อารญาลอบผ่อนลมหายใจ พี่นีอาจจะโหดและเข้มกับคนอื่น แต่อีกฝ่ายใจดีกับเธอแบบนี้เสมอ จนเพื่อนร่วมงานแซวว่าเป็นเด็กเส้น
“เอ้า แม่พวกนั้นยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอ มัวแต่ไปเหล่ผู้ชายหรือยังไง” หลังจากทำอาหารเสร็จอีกหนึ่งเมนู แต่กลับไร้เงาคนเอาไปเสิร์ฟพี่นีก็บ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าช่วงเวลานี้ลูกค้าจะแน่นร้าน ทุกคนยุ่งมากจนมือเป็นระวิง แต่วันนี้ยุ่งกว่าเดิมหลายเท่าเพราะอยู่ๆ เด็กเสิร์ฟอีกสองคนก็ลาป่วยพร้อมกัน
“งั้นให้อายเอาไปเสิร์ฟให้ไหมคะ”
“เออ…ก็ดี น้องอายจัดการที ให้ลูกค้ารอนานไม่ดี”
อารญาพยักหน้ารับคำ ชะโงกหน้าไปดูใบเขียนออเดอร์ว่าเป็นของโต๊ะไหน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้ามันๆ ของตัวเองอย่างลวกๆ ล้างมือ แล้วยกจานกะเพราเนื้อหมักเหล้าจีนออกจากครัว
เท้าที่ก้าวฉับๆ อย่างมั่นคงในคราแรกถูกเจ้าตัวผ่อนลง เมื่อเหลือบเห็นว่าโต๊ะที่ตัวเองต้องนำอาหารไปเสิร์ฟเป็นใครนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะดึงสติจากภาพบาดตาของคู่รัก แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
“กะเพราเนื้อหมักเหล้าจีนค่ะคุณลูกค้า”
เสียงที่เปล่งออกมาจากปากอิ่มนั้นไม่มั่นคงนัก เพราะอยู่ๆ หัวตาของเธอก็เกิดร้อนผ่าว หัวใจเต้นช้าลง จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยก็คงยาก ในเมื่อแผลใจที่เกิดขึ้นเพิ่งผ่านพ้นไม่ถึงสองเดือนเสียด้วยซ้ำ มันต้องใช้เวลาเยียวยา แค่ไม่ฟูมฟาย และมีสติ ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับตอนนี้
หลังจากวางจานอาหารลงบนโต๊ะเสร็จอารญาก็ถอยออกมาอย่างสุภาพ แล้วตั้งท่าจะก้าวจากไปทันทีเมื่อหมดหน้าที่ของตัวเอง หากว่าเสียงของใครบางคนจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“เธอทำงานที่นี่เหรอ?”
“ค่ะ ขอตัวนะคะ”
อารญาตอบเสียงเรียบ แล้วเอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ จากนั้นก็เดินลิ่วจากมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ เขาจะรั้งคนที่เขารำคาญทุกขณะจิตได้ยังไง ที่ถามไปเมื่อกี้เขาก็คงแค่ทำไปตามมารยาท
จากนั้นเธอก็ผลักเรื่องของเขาออกไปจากห้วงความคิด ลงมือช่วยแม่ครัวใหญ่อย่างแข็งขัน กระทั่งเมนูสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง ไม่นานสาวเสิร์ฟก็เดินเข้ามาในครัว เก็บของกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย อุปกรณ์ทำอาหารเก็บไปให้คนมีหน้าที่ล้าง ลูกค้าด้านนอกนั้นหมด อารญาจึงเอ่ยลาพี่นี แล้วฉวยกระเป๋าก้าวออกจากร้าน เพราะวันนี้ร้านปิดดึกกว่าปกติ เธอต้องรีบกลับห้อง พรุ่งนี้มีเรียนเช้า และมีสอบในคาบบ่าย
ร่างระหงในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบ เดินนวดต้นคอออกมาจากร้านด้วยท่าทางเนือยๆ ก้มลงมองนาฬิกาตรงข้อมือ แล้วถอนใจ ดึกขนาดนี้ไม่รู้จะเรียกแท็กซี่ได้ไหม พอคิดว่าอาจจะต้องยืนรอแท็กซี่อยู่คนเดียวนานๆ อารญาก็ทำหน้ากังวล ขาเรียวจึงพลอยก้าวให้เร็วขึ้นอย่างร้อนใจ ทว่ายังไปไม่ทันพ้นซุ้มประตูโค้งหน้าร้าน ซึ่งมีเถาพวงแสดที่กำลังออกดอกเลื้อยพันอย่างสวยงาม ใครคนหนึ่งก็ก้าวมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวเสียก่อน
อารญาตัวแข็งทื่อ พยายามเม้มปากไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมาด้วยความแตกตื่น ก่อนจะกลั้นใจหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของมือที่ตรึงข้อมือเธออยู่
“คุณ…ชาย”
สาวน้อยแทบจะครางออกมาในวินาทีที่เห็นหน้าเจ้าของมือ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นธีรเดช เธอนึกว่าเขากลับไปนานแล้วเสียอีก ไหนสาวเสิร์ฟบอกว่าลูกค้าเกลี้ยงร้านนานแล้ว
“ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”
คุณชายหมอเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมคลายมือจากข้อมือเรียวของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
ท่าทางไว้ตัว เย่อหยิ่ง เหินห่าง แถมยังเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและเรียกขานทำให้เขาส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่สีหน้ายังคงไร้อารมณ์อย่างคงเส้นคงวาเช่นเดิม
“ดึกขนาดนี้ เธอไม่ควรจะอวดดี” เขาตำหนิ
“ไม่ได้อวดดีค่ะ แต่ไม่อยากรบกวน”
สาวน้อยตอบด้วยท่าทางเป็นปกติ ไม่มีแววแง่งอน ไม่ออกอาการกระเง้ากระงอดเหมือนอย่างที่ชอบแสดงออกกับเขา เพราะตระหนักดีว่าระหว่างเธอกับเขามันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
ต่อไปนี้จะไม่มีพี่ธีของเธออีกแล้ว
“คุณชายคะ เรากลับกันเถอะค่ะ”
ทันทีที่มนธิราเดินมาเกาะแขนคุณชายธีรเดช อารญาก็พึมพำเอ่ยลา แล้วหมุนตัวเดินลิ่วจากมา จากตัดสินใจว่าจะรอแท็กซี่ เธอก็สาวเท้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ถัดไปราวสามช่วงตึก การเดินหนีไปก็ยังดีกว่าต้องทนเห็นเขาสองคนนั่งรถออกไปด้วยกัน ถึงแม้เธอจะพยายามบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่การตัดใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
ยามบ่ายของกลางสัปดาห์ อารญาออกมานั่งในร้านกาแฟเยื้องๆ กับหน้ามหาวิทยาลัย ร่างระหงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เสื้อไม่รัดแค่เข้ารูปพอเหมาะ กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวและถุงเท้าสีเดียวกัน เธอจะแต่งหน้าอ่อนๆ บางครั้ง แต่วันนี้ไม่แต่งหน้า ทาแค่แป้ง และลิปกลอส ผมมัดเป็นก้อนกลมๆ ไว้กลางหัวอย่างลวกๆ กำลังนั่งฟังวีดีโอเสียงของอาจารย์จากหูฟัง เพราะมีสอบกลางภาคในอาทิตย์หน้า
สาวน้อยนั่งที่เก้าอี้ยกสูงซึ่งเป็นที่นั่งเดี่ยวติดกระจก หันหน้าออกไปทางหน้าร้าน ในมือถือดินสอ ก้มลงจดยุกยิกลงกระดาษตรงหน้าเมื่อวีดีโอไปถึงจุดสำคัญ บางครั้งก็เอื้อมมือไปจิ้มขนมปังเนยนมน้ำตาลในจานกระเบื้องเคลือบลายน่ารักเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ หยิบกาแฟดำมาจิบ จากนั้นก็ฟังวีดีโอเสียงอย่างตั้งใจ
ช่วงห้าโมงเย็นเธอมีเรียนอีกวิชา ปกติจะรอให้ถึงเวลาเรียนอยู่กับเพื่อนร่วมคณะที่โรงอาหาร แต่วันนี้ต้องมาสิงสถิตที่ร้านกาแฟแทน เพราะโรงอาหารมีดารามาถ่ายละคร เพื่อนคนอื่นต่างพากันด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น เพราะรอขอถ่ายเซลฟี่กับดาราดัง ซึ่งคนที่ว่าก็คือนางเอกสาวคนสวยอย่างมนธิรา
นั่งฟังวีดีโอพร้อมจดใจความสำคัญเพื่อใช้อ่านทวนก่อนเข้าสอบผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เสียงเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวฝั่งซ้ายก็ดังขึ้นเบาๆ แต่ทำลายสมาธิของเธอได้เหมือนกัน ร่างบางแต่กลมกลึงไปทุกสัดส่วนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจมอยู่กับสิ่งที่ฟังและกระดาษจดโน้ตเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วชำเลืองมองคนที่นั่งห่างออกไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ก่อนจะหายใจสะดุด ตัวแข็งทื่อ เพราะคนที่ว่าคืออดีตคู่หมั้นของเธอ
ใจหนึ่งอารญาอยากเก็บของ ไปเช็กบิล แล้วแจ้นไปจากตรงนั้น แต่คิดได้เสียก่อน ว่าเธอไม่ควรจะหลีกหนีความจริง แต่ควรจะยอมรับมัน เขาก็อยู่ส่วนเขา เธอก็อยู่ส่วนเธอ
จากนั้นอารญาก็นั่งฟังวีดีโอเสียงของอาจารย์ด้วยอาการเกร็งๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่เธอรู้สึกเหมือนถูกมองจากคนที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยตลอดเวลา
เขาไม่พูด
เธอไม่พูด
แน่นอนว่าความอึดอัดก่อตัวขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้เธอหันไปคุยอะไรกับเขา ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาทำให้อารญามองหน้าเขาไม่ติด ส่วนเขาเองก็คงไม่อยากเสวนากับเธอเช่นกัน และที่เห็นคนที่ชอบสิงสถิตอยู่โรงพยาบาลมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ไม่บอกก็พอรู้ว่าเขามารับแฟนของเขา และที่มานั่งข้างๆ เธอก็คงจำใจ เพราะตอนนี้คนแน่นร้าน ซึ่งส่วนมากจะเป็นนักศึกษา ในจังหวะที่เขาเข้ามาที่นั่งข้างเธอก็คงว่างอยู่พอดี
หลังจากฟังวีดีโอเสียงจบไปอย่างทุลักทุเล เพราะใจมักจะเขวไปหลายหน จนต้องดึงสติคุมสมาธิหลายครั้ง สาวน้อยก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ก้มลงมองนาฬิกาเรือนเล็กน่ารักที่ประดับอยู่ตรงข้อมือซ้าย เธอถนัดซ้าย หยิบจับข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างด้วยมือซ้าย แต่เขียนหนังสือมือขวา
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง อีกตั้งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเวลาเรียนคาบสุดท้ายของวัน เธอภาวนาให้คนที่นั่งข้างกันออกไปจากร้านกาแฟ แต่ก็ไม่เป็นดังใจ นอกจากเขาจะไม่ไปไหนแล้วยังตั้งท่าจะปักหลัก เพราะหลังจากที่เธอสั่งมาม่าคัพและน้ำเปล่าไป ก็แว่วได้ยินเสียงห้าวทุ้มสั่งกาแฟ
ออเดอร์ของเธอกับของเขาถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกัน ประหนึ่งว่าทั้งสองมาด้วยกันและสั่งบิลใบเดียวกัน มือเรียวที่เล็บตัดสั้นเปิดกระดาษปิดปากถ้วยมาม่าคัพรสหมูสับออก แล้วใช้ส้อมพลาสติกคนเบาๆ เพื่อให้เครื่องปรุงและเส้นเข้ากัน จากนั้นก็จัดการปิดฝาลง วางซ่อมทับ แต่ฝามันยังกระดกขึ้น เธอจึงเอาพวงกุญแจห้องที่ห้อยตุ๊กตาจิ้งจกสีชมพูตัวเล็กไปทับไว้อีกที จากนั้นก็ก้มลงหยิบชีทในกระเป๋าใบโตทรงชอปปิ้งที่วางอยู่บนตัก
นำชีทวางลงบนโต๊ะ หยิบปากกาไฮไลต์สีเขียวและสีเหลืองออกมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างขะมักเขม้น แต่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร เพราะจมูกเธอได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสานกับกลิ่นกาแฟดำ ทำให้ใจเธอสั่นอย่างน่าโมโห เขากับเธอชอบกาแฟดำเหมือนกัน เป็นความเหมือนอย่างเดียว นอกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
หกปีหลังจากนั้น เด็กหญิงนีลาญาก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของบ้าน มีน้องน้อยเพิ่มมาอีกสี่คน คนที่หนึ่งชื่อเด็กชายธีราภัทร หรือน้องธาม คนที่สองเป็นผู้หญิงชื่อเด็กหญิงนีลาภา หรือน้องนีน ส่วนคนที่สามและสี่เป็นแฝดชายหญิง ชื่อเด็กหญิงนารีญา หรือน้องนิ่ม ส่วนแฝดน้องชื่อเด็กชายธงไทย หรือน้องไทน์ ห้าพี่น้องต่างรักใคร่กลมเกลียว และซนระดับพระกาฬ โดยเฉพาะสี่หน่อที่เกิดไล่เลี่ยกัน หากอยู่บ้านก็ทำเอาคนแก่ทั้งวังรื่นฤดีปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน “อาบจ๋า นีนอยากกินลูกชุบ” หนูน้อยนีลาภาวัยสี่ขวบเอ่ยฉะอ้อนแม่นมวัยดึกอย่างน่ารักน่าชัง ตากลมแป๋วที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวดกดำเหมือนตุ๊กตาจ้องลูกชุบสีสวยในถาดไม่กะพริบ “คุณหนูนีนของแม่อาบ จะกินรูปผลไม้อันไหนคะ เดี๋ยวแม่อาบจะหยิบให้ค่ะ” คนแก่ที่หลงเด็กน้อยเสียเหลือเกินเอ่ยอย่างเอาใจ ก่อนจะถือโอกาสก้มลงหอมแก้มป่องๆ อย่างมันเขี้ยว “มะม่วงค่า”นิ้วป้อมๆ ชี้ไปยังลูกชุบสีเขียวอมเหลืองที่ถูกปั้นเป็นรูปมะม่วง แม่อาบยิ้มกริ่ม แล้วหยิบลูกชุบส่งให้ เด็กน้อยพนมมือไหว้อย่างน่าเอ็นดู แล้วยัดลูกชุบใส่ปาก ก่อนจะเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย “ปี้นีน! ปี้นีน!”เ
คนที่เพิ่งกลับขึ้นมาบนห้องนอน หลังจากหนีลงไปรดน้ำผักที่สวนครัวหลังวังรื่นฤดีตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นสามีนั่งกอดอกทำหน้าตึงอยู่ปลายเตียงก็ถึงกับกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม แต่ทำทีเป็นไม่สนใจ เดินนวยนาดไปเปิดประตูเชื่อมสู่ห้องนอนลูก ครั้นเห็นเด็กน้อยกับแมวนอนกอดกันหลับปุ๋ยก็อมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ งับประตูลงอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าสามีที่กำลังเรียกร้องความสนใจแบบซึนๆ “วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ”“ไป แต่ไม่มีคนอาบน้ำให้” น้ำเสียงราบเรียบ และท่าทางมึนตึง แต่ความหมายของคำพูดทำให้คนฟังมองค้อนด้วยความหมั่นไส้เธอไม่น่าอาบน้ำให้เขาจนเขาเสียนิสัยแบบนี้เลย ให้ตาย! “ถ้าจะอาบก็ตามมาค่ะ”อารญาเอ่ยสั้นๆ แล้วเดินนำไปยังห้องน้ำ ยังไม่ง้อคนที่กำลังน้อยใจ หากเดาไม่ผิดก็คงเพราะเธอหนีไปรดน้ำผักตั้งแต่เช้า ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังที่ห้องนอน ธีรเดชเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้งหากตื่นมาไม่เห็นเธอก็จะงอน และคนที่ง้อก็มักเป็นเธออยู่ร่ำไป วันนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะรู้ว่าเขามีประชุมสำคัญที่บริษัทในช่วงสาย “มาค่ะ อายถอดเสื้อผ้าให้”มือเรียวคว้าเข้าที่ข้อมือใหญ่ แล้วลากร่างทรงพลังไปยืนพิงเ
เวลาผ่านไปแต่ละวินาทีช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกิน ธีรเดชรู้สึกเหมือนมันเป็นระเบิดเวลา ในหัวเขาอัดแน่นไปด้วยความตึงเครียดจนถึงขีดสุด ในใจมีแต่ความหวาดหวั่นและวิตกกังวลสารพัด การรอคอยช่างสุดแสนทรมานแทบขาดใจ ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างเดินไปเดินมาไม่หยุด กระทั่งในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก เขาถลาไปหยุดลงตรงหน้าหัวหน้าทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างหมอปริญ แล้วถามไถ่ด้วยความร้อนใจ “ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ” “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ภรรยาของคุณปลอดภัย แต่ต้องแอดมิดดูอาการก่อน เผื่อมีผลข้างเคียงอะไร”นายแพทย์หนุ่มเอ่ยบอกไปตามสถานการณ์ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อคุณชายหมอที่ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็นละล่ำละลักขอบคุณเขา “ดีใจด้วยนะคะ”ปานระพีเอ่ยอย่างยิ้มๆ“ขอบคุณมากครับหมอแพร”ธีรเดชเอ่ยขอบคุณปานระพีด้วยความซาบซึ้งใจ คล้อยหลังอีกฝ่ายร่างใหญ่ก็เดินไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าห้องผ่าตัด แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานเท่าใด อารญาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบรรยากาศข้างนอกที่มองผ่านกระจกหน้าต่างก็ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดเสียแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ก่อนผ่าตัด ธีรเดชก็พาอารญากับลูก รวมทั้งแมวอ้วน มาเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวบนดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศหน้าหนาวของที่นี่ในตอนเช้าๆ สวยจับตา เธอตื่นแต่เช้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ บนชานเรือนไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา ด้านบนม่านสายหมอกปกคลุมไปทั้งอาณาบริเวณ ต่ำลงมาก็จะเป็นแปลงชาที่ทอดตัวยาวลงไปเกือบจรดตีนเขา รอบๆ ตัวบ้านมีแปลงดอกไม้รายล้อมอยู่รอบนอกในลักษณะวงกลม ถัดเข้ามาก็จะจัดสรรค์พื้นที่เป็นแปลงผัก และแปลงสตรอว์เบอร์รี กั้นบริเวณลานหน้าบ้านส่วนหนึ่งสำหรับสนามเด็กเล่น มีเครื่องเล่นที่ลูกเธอชอบอย่างครบครัน บนกองทรายมีของเล่นแมวอยู่สองสามอย่าง ใต้ต้นพญาเสือโคร่งที่กำลังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งมีชิงช้าไม้ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเขาเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อเธอกับลูก รวมทั้งแมวอ้วนด้วย ช่างเป็นสามี เป็นพ่อ และเป็นทาสแมว ที่ประเสริฐเสียจริง เจ้าของนัยน์ตากลมโตทอดมองทุกสิ่งที่อยู่ในครรลองสายตา แล้ววกกลับมาสำรวจแปลงผักเขียวขจีด้วยความชอบใจ ปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆ ร่างอ้อนแอ้นที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวไหมพรมสีส้มอิฐพลันสะดุ้งน้
“ให้มันรู้ซะบ้าง ว่านี่เมียใคร” ธีรเดชยักคิ้วเย้ย จากนั้นก็ก้มลงหอมแก้มนวลฟอดใหญ่อย่างหน้าตาเฉย ท่าทางเปิดเผยความรู้สึกที่คงจุกอกมาเนิ่นนานของไอ้หนุ่มคลั่งรัก ทำให้พลชระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ไม่นานเอวาก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟ ทันทีที่เห็นอารญาก็ทำท่าดีใจยกใหญ่ เธอจึงดึงอีกฝ่ายมากระซิบกระซาบว่าจะไปหาที่ครัว ส่วนพลชก็เอ่ยขอตัว เพราะไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มลงมือทานมื้อค่ำ เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้เธอเจริญอาหารมากยิ่งขึ้น แต่อยู่ๆ ไฟทั้งผับก็ดับพรึ่บลง มีเสียงดนตรีสุดโรแมนติกดังขึ้น พร้อมไฟสปอร์ตไลต์ส่องลงมาที่โต๊ะของทั้งคู่ทันใดนั้นคุณชายธีรเดชก็ผุดลุกขึ้น ทำให้เธอพลอยลุกขึ้นยืนไปด้วยโดยอัตโนมัติ เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะตาโต อ้าปากค้าง หัวใจเต้นคร่อมจังหวะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้า เสียงเพลงเงียบลง พร้อมกับที่เขาหยิบแหวนที่อกเสื้อออกมา แล้วเงยหน้าเอ่ยกับเธออย่างนุ่มนวล“น้องอายครับ ได้โปรดแต่งงานกับพี่นะครับ” คนถูกคุกเข่าขอแต่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว ถึงกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง และดีใจจนพูดไม่ออก เพราะคาดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตน
หลังจากเรื่องเลวร้ายทุกอย่างจบลง พร้อมกับการตายของดาริกา ส่วนมารตีถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต อารญากับลูก รวมทั้งแมว ก็ต้องย้ายไปอยู่กับสามีที่วังรื่นฤดี ส่งคืนบ้านเช่าที่ตัวเองทั้งรักและผูกพันเพราะอยู่มานานให้เจ้าของ เนื่องจากไม่อาจทนอยู่ในบ้านที่มีคนตายได้ ถึงแม้จะยังอาลัยอดีตอันแสนสุขที่เคยอยู่ร่วมกันกับลูกและแมว ทำใจยากที่จะจากต้นไม้และพืชผักสวนครัว แต่ธีรเดชก็เอาใจและชดเชยความรู้สึกของเมียรัก ด้วยการอนุญาตให้เธอปลูกพืช และผักสวนครัว ได้ตามแต่ใจต้องการ ไม่ว่าเธอจะปรารถนาสิ่งใดเขาย่อมประเคนให้อย่างไม่เกี่ยง ยกเว้นก็แต่เรื่องที่เธออ้อนขอไปทำงาน ธีรเดชปฏิเสธอย่างไม่มีอ่อนข้อ เพราะเป็นห่วงเรื่องกระสุนที่ฝังอยู่ในศีรษะของเธอ ซึ่งอารญาทำเพียงงอนนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจแหละว่าเขาเป็นห่วง พร้อมกับรับปากว่าหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างจริงจัง หากจะเป็นอะไรไปเธอก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าลูกจะไม่มีคนดูแล วันนี้ธีรเดชพาอารญามาปรึกษานิวโรศัลย์เรื่องการผ่าตัด ซึ่งหมอก็ลงความเห็นว่าจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด ไม่เกินภายในระยะเวลาสองอาทิตย์ และครั้งนี้เธอตอบตกลงอย่างไม่ลังเล “