LOGINบทที่ 07
ก็อาจจะเกลียดน้อยลง
เมื่อสองปีก่อน...
คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก
“ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ
“จ้ะยาย”
แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น
“โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
“ชื่ออะไรเหรอครับ?”
มาลารินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ไม่พูดอะไร รู้ว่าคนพวกนั้นคงพูดไปเพราะความคึกคะนองหลังจากที่เหล้าเข้าปากเท่านั้น เธอวางอาหารเสร็จแล้วก็รีบกลับเข้าไป
สายตาของชวลิตมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของหญิงสาวที่ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด กระทั่งหญิงสาวเดินกลับมาพร้อมกับอาหารที่นำมาเพิ่ม
ผมยาวสลวยของเธอนั้นถูกมัดหลวม ๆ ด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ มีปอยเล็ก ๆ หล่นลงมาคลอเคลียแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนโดยธรรมชาติ และเขาก็เผลอมองเหมือนถูกมนตร์สะกด
ไม่เจอมาลารินหลายปี จากวันที่เขาเหยียบย่ำน้ำใจของเธอลงบนผ้าพันคอผืนนั้น วันนี้เธอเติบโตขึ้นอย่างงดงาม และเหมือนว่าเขาไม่กล้าที่จะมองเธอตรง ๆ
ชวลิตไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะรอยเศร้าในดวงตาคู่นั้นขอเธอ ทำให้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
มาลารินรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่ง เธอหันไปทางชวลิต แล้วเขาก็หลบสายตาไปทางอื่น เธอเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมกับความรู้สึกที่ยังมีสายตาคู่นั้นของเขาตามติดไป
“ต้น ดื่มอีกสิ”
เสียงของเดียร์ เพื่อนสาวที่เคยแอบชอบชวลิตตั้งแต่มัธยมฯ ดังขึ้น ดึงเขาออกจากความคิดบางอย่าง เธอนั่งลงใกล้ ๆ แอบมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
เดียร์ชงเครื่องดื่มให้กับเขา ชวลิตรับไปดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของเหล้านั้นแปลกไปนิด แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าอาจจะเป็นเพราะส่วนผสมที่เปลี่ยนไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ชวลิตรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เสียงของคนรอบข้างเริ่มห่างไกลออกไปทุกที เขาพยายามลุกขึ้น แต่กลับเซเล็กน้อย
“ต้นไหวหรือเปล่า” เดียร์รีบเข้ามาประคอง
“ไม่เป็นไร” ชวลิตรีบเคลื่อนตัวห่างจากเดียร์ “เธอกลับไปได้แล้ว”
“ฉันว่าฉันช่วยประคองเธอเข้าบ้านดีกว่านะ” เดียร์พยายามเข้ามาใกล้เขาอีก เธอจงใจบดเบียดหน้าอกนิ่มกับแขนของเขา
“อย่ามายุ่ง!” เขาถึงกับตวาดลั่น เดียร์ชะงัก และทุกคนหันไปมอง “พวกมึงกลับไปก่อน คืนนี้พอแค่นี้”
ชวลิตโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ เขาหันหลังเดินไปจากตรงนั้น ก่อนจะมาหยุดพิงต้นไม้ คิ้วของเขาขมวดแน่น รู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายไม่ปกติ เพราะมันตอบสนองกับบางสิ่งเกินเหตุ แม้จะมีลมพัดตลอด แต่เขากลับรู้สึกร้อนมากขึ้นทุกที
มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองไปมา เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่การเมาธรรมดา เดียร์ได้ใส่อะไรบางอย่างลงไปในเครื่องดื่ม จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้
ชวลิตหลับตาลง พยายามสูดหายใจลึกเพื่อดับความร้อนรุ่มที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่ากลับมีภาพของมาลารินปรากฏอยู่ในหัว แม้ว่าเขาพยายามขับไล่ความคิดเกี่ยวกับเธอออกไป แต่ยิ่งพยายาม ภาพาของเธอกลับชัดเจนยิ่งขึ้น
ขายาว ๆ ก้าวไปออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีแรงผลักดันบางอย่าง ไม่นานร่างสูงของเขาก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่เงียบสงัด
ก๊อก ๆๆ
ประตู้ไม้ถูกแง้มออก มาลารินโผล่ใบหน้าออกมาเพียงเล็กน้อย และหญิงสาวค่อนข้างตกใจที่เห็นชวลิตอยู่ตรงนี้
“คุณต้น...?”
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ...” เสียงพร่าเอ่ย เขาไม่รอให้รับอนุญาต แต่กลับแทรกตัวเข้าไปในห้อง
“มีอะไรเหรอคะ?” มาลารินถามเขาอย่างระแวง เธอรู้สึกว่าชวลิตดูแปลกไป
“ฉันต้องการเธอ...”
หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำพูดตรงไปตรงมาของเขา เธอถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ เขาก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังบอบบางชิดกับผนังห้องอันเย็นเยียบ สองแขนแกร่งค้ำยัน กักขังร่างบางไม่ให้เธอหลีกหนีไปได้
“คุณต้นใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนู...เอ่อ คือฉันว่าคุณต้นกลับไปก่อนดีมั้ยคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว หัวใจเต้นระรัวอย่างหวาดหวั่น ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารินรดผิวแก้ม ทำเอาขนกายเธอลุกชันไปทั้งตัว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ ความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้มานานทำให้หัวใจสั่นไหวจนเหมือนจะระเบิดออก
“ทำไมล่ะ?” เขาขยับเข้ามาใกบ้ ปลายจมูกโด่งคอลเคลียข้างแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัดทำเอาเธอถึงกับมึนงง “ฉันรู้นะว่าเธอชอบฉัน...”
มาลารินอึ้งที่ถูกจับได้ แก้มสองข้างของเธอร้อนผ่าว เธอคิดว่าตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ดีแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมองออกด้วย
“ฉันต้องการเธอจริง ๆ” เขาเอ่ยชิดริมฝีปาก
“ตะ...แต่คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มมองนัยน์ตาของหญิงสาวที่สะท้อนความหวั่นไหวอยู่ในความมืดสลัวภายในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่พูดอะไรอีก แต่แนบริมฝีปากลงมาจูบเธอ มาลารินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบผลักชายหนุ่มออกอย่างแรงจนเขาเสียหลัก และใช้โอกาสนั้นวิ่งหนี
ทว่าเขากลับไวกว่า มือหนาคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะเหวี่ยงร่างบางลงไปบนเตียง ก่อนจะร่างสูงจะตามขึ้นคร่อมลงมา
“ฉันบอกว่าต้องการเธอไง” น้ำเสียงของเขาติดหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่เธอพยายามหนี เขารวบข้อมือของเธอไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียว
“อย่าค่ะคุณต้น” มาลารินสั่นศีรษะรัว ๆ
“อย่าปฏิเสธเลย ฉันต้องการเธอจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ฟังดูเว้าวอน สายตาจ้องมองเธออย่างล้ำลึก
“คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ?” มาลารินถามขึ้นมาราวกับจะย้ำเตือนความจำของเขา
ดวงตาคมฉายแววครุ่นคิด และดูสับสน ก่อนจะเอ่ย “ถ้าทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจจะเกลียดเธอน้อยลงก็ได้นะ...”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกดริมฝีปากลงมาอย่างแนบแน่น เธอหลับตาลงแล้วน้ำใส ๆ ก็ไหลรินออกทางหางตา ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามแรงปรารถนาอันบิดเบี้ยวของเขา
ในความมืดสลัว เสียงลมหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่มดังขึ้นประสานกับเสียงครางแผ่วเบาของหญิงสาว สัมผัสร้อนแรงเกิดขึ้นอย่างไร้การควบคุม มันเริ่มต้นและจบลง และเริ่มต้นขึ้นใหม่อย่างนับครั้งไม่ถ้วน
“คุณต้น...ฉันจะไม่ไหวแล้ว พอเถอะ...”
คำร้องขอของเธอไม่มีประโยชน์ ชวลิตเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เขาไม่สนใจสักนิดว่าครั้งแรกของเธอต้องเจ็บปวดและทรมานขนาดไหน
เสียงคำรามของเขาดังขึ้นครั้งสุดท้ายตอนรุ่งสาง มาลารินนอนหอบหายใจมองชายหนุ่มที่ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า ขณะที่ขาของเธอยังสั่นระริกจากบทรักมาราธอน ตรงกลางกายของเธอบวมเป่งเพราะการรุกรานที่รุนแรง น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักผสมกับรอยเลือดจากครั้งแรกของเธอ
ชวลิตเหลือบมองหญิงสาวที่ทั้งเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของเขา ดูท่าทางเธอต้องใส่เสื้อผ้าปิดชิดปกปิดตัวเองไปอีกหลายวัน
“ฉันถูกวางยา...อย่าคิดว่าฉันพิศวาสเธอล่ะ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
มาลารินค่อยดึงผ้าห่มคลุมกาย เธอมองเขาผ่านม่านน้ำตา “ความเกลียดของคุณต้นน้อยลงบ้างหรือเปล่าคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่เอ่ยเรื่องอื่นขึ้น “หายาคุมฉุกเฉินมากินด้วยล่ะ อย่าคิดจะใช้เด็กจับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอทั้งแม่ทั้งลูกเลย” เขาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษ
มาลารินเม้มปากแน่น เธอเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองท้องอยู่แล้ว ลูกไม่ควรเกิดมาท่ามกลางความเกลียดชัง
“แล้วก็หายาคุมรายเดือนมากินไว้ด้วย”
“คุณต้นหมายความว่ายังไงคะ?” มาลารินนิ่วหน้า
“หึ! เธออยากให้ฉันเลิกเกลียดเธอไม่ใช่เหรอ คิดว่าแค่ครั้งจะทำให้ความเกลียดของฉันหมดไปเลยหรือไง รู้ไว้ซะด้วยว่าฉันเกลียดเธอจนอยากให้ตาย ๆ ไปซะ คิดเอาเองละกันว่าฉันเกลียดเธอขนาดไหน”
ตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมาลารินกับชวลิตก็ยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ชวลิตมักจะแวะเวียนมาหาเธอในยามค่ำคืนที่ไม่มีผู้คน ระหว่างเขาและเธอไม่มีคำหวาน ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงถ้อยคำดูถูก สัมผัสเร่าร้อนที่มาพร้อมกับแรงกดดัน บางครั้งก็รุนแรงจนเธอแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขามาแล้วก็ไป เป็นอยู่เช่นนั้นตลอดสองปี
กระทั่งเมื่อปีก่อน ที่มาลารินได้ข่าวว่าชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน ลึกลงในใจเธอก็เฝ้ารอเขา แต่ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่เขาไม่ได้มาหาเธอเลย เธอรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดว่าเขาอาจจะเบื่อเธอแล้วหรือไม่ก็พบใครที่ถูกใจกว่า และเธอก็ไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไร
ทว่าในความเป็นจริง มาลารินไม่อาจรู้เลยว่า ในคืนสุดท้ายที่เขามาหาเธอ อรรณพ พี่ชายของชวลิต ซึ่งเป็นลูกชายของอินทุอร น้าของเขา แอบเห็นชวลิตออกมาจากบ้านพักของแม่บ้านในยามดึก ตอนเช้า อรรณพก็เข้าไปคุยกับน้องชาย
“ทำอะไรนายก็ควรจะนึกถึงแม่ของนายบ้าง อย่าลืมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของใคร...”
ชวลิตไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเขาเปลี่ยนไป และจากวันนั้นเอง เขาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับมาลารินอีกเลย...
บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ
บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด
บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่
บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ
บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ
บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก







