บทที่ 07
ก็อาจจะเกลียดน้อยลง
เมื่อสองปีก่อน...
คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก
“ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ
“จ้ะยาย”
แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น
“โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
“ชื่ออะไรเหรอครับ?”
มาลารินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ไม่พูดอะไร รู้ว่าคนพวกนั้นคงพูดไปเพราะความคึกคะนองหลังจากที่เหล้าเข้าปากเท่านั้น เธอวางอาหารเสร็จแล้วก็รีบกลับเข้าไป
สายตาของชวลิตมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของหญิงสาวที่ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด กระทั่งหญิงสาวเดินกลับมาพร้อมกับอาหารที่นำมาเพิ่ม
ผมยาวสลวยของเธอนั้นถูกมัดหลวม ๆ ด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ มีปอยเล็ก ๆ หล่นลงมาคลอเคลียแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนโดยธรรมชาติ และเขาก็เผลอมองเหมือนถูกมนตร์สะกด
ไม่เจอมาลารินหลายปี จากวันที่เขาเหยียบย่ำน้ำใจของเธอลงบนผ้าพันคอผืนนั้น วันนี้เธอเติบโตขึ้นอย่างงดงาม และเหมือนว่าเขาไม่กล้าที่จะมองเธอตรง ๆ
ชวลิตไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะรอยเศร้าในดวงตาคู่นั้นขอเธอ ทำให้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
มาลารินรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่ง เธอหันไปทางชวลิต แล้วเขาก็หลบสายตาไปทางอื่น เธอเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมกับความรู้สึกที่ยังมีสายตาคู่นั้นของเขาตามติดไป
“ต้น ดื่มอีกสิ”
เสียงของเดียร์ เพื่อนสาวที่เคยแอบชอบชวลิตตั้งแต่มัธยมฯ ดังขึ้น ดึงเขาออกจากความคิดบางอย่าง เธอนั่งลงใกล้ ๆ แอบมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
เดียร์ชงเครื่องดื่มให้กับเขา ชวลิตรับไปดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของเหล้านั้นแปลกไปนิด แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าอาจจะเป็นเพราะส่วนผสมที่เปลี่ยนไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ชวลิตรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เสียงของคนรอบข้างเริ่มห่างไกลออกไปทุกที เขาพยายามลุกขึ้น แต่กลับเซเล็กน้อย
“ต้นไหวหรือเปล่า” เดียร์รีบเข้ามาประคอง
“ไม่เป็นไร” ชวลิตรีบเคลื่อนตัวห่างจากเดียร์ “เธอกลับไปได้แล้ว”
“ฉันว่าฉันช่วยประคองเธอเข้าบ้านดีกว่านะ” เดียร์พยายามเข้ามาใกล้เขาอีก เธอจงใจบดเบียดหน้าอกนิ่มกับแขนของเขา
“อย่ามายุ่ง!” เขาถึงกับตวาดลั่น เดียร์ชะงัก และทุกคนหันไปมอง “พวกมึงกลับไปก่อน คืนนี้พอแค่นี้”
ชวลิตโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ เขาหันหลังเดินไปจากตรงนั้น ก่อนจะมาหยุดพิงต้นไม้ คิ้วของเขาขมวดแน่น รู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายไม่ปกติ เพราะมันตอบสนองกับบางสิ่งเกินเหตุ แม้จะมีลมพัดตลอด แต่เขากลับรู้สึกร้อนมากขึ้นทุกที
มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองไปมา เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่การเมาธรรมดา เดียร์ได้ใส่อะไรบางอย่างลงไปในเครื่องดื่ม จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้
ชวลิตหลับตาลง พยายามสูดหายใจลึกเพื่อดับความร้อนรุ่มที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่ากลับมีภาพของมาลารินปรากฏอยู่ในหัว แม้ว่าเขาพยายามขับไล่ความคิดเกี่ยวกับเธอออกไป แต่ยิ่งพยายาม ภาพาของเธอกลับชัดเจนยิ่งขึ้น
ขายาว ๆ ก้าวไปออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีแรงผลักดันบางอย่าง ไม่นานร่างสูงของเขาก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่เงียบสงัด
ก๊อก ๆๆ
ประตู้ไม้ถูกแง้มออก มาลารินโผล่ใบหน้าออกมาเพียงเล็กน้อย และหญิงสาวค่อนข้างตกใจที่เห็นชวลิตอยู่ตรงนี้
“คุณต้น...?”
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ...” เสียงพร่าเอ่ย เขาไม่รอให้รับอนุญาต แต่กลับแทรกตัวเข้าไปในห้อง
“มีอะไรเหรอคะ?” มาลารินถามเขาอย่างระแวง เธอรู้สึกว่าชวลิตดูแปลกไป
“ฉันต้องการเธอ...”
หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำพูดตรงไปตรงมาของเขา เธอถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ เขาก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังบอบบางชิดกับผนังห้องอันเย็นเยียบ สองแขนแกร่งค้ำยัน กักขังร่างบางไม่ให้เธอหลีกหนีไปได้
“คุณต้นใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนู...เอ่อ คือฉันว่าคุณต้นกลับไปก่อนดีมั้ยคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว หัวใจเต้นระรัวอย่างหวาดหวั่น ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารินรดผิวแก้ม ทำเอาขนกายเธอลุกชันไปทั้งตัว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ ความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้มานานทำให้หัวใจสั่นไหวจนเหมือนจะระเบิดออก
“ทำไมล่ะ?” เขาขยับเข้ามาใกบ้ ปลายจมูกโด่งคอลเคลียข้างแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัดทำเอาเธอถึงกับมึนงง “ฉันรู้นะว่าเธอชอบฉัน...”
มาลารินอึ้งที่ถูกจับได้ แก้มสองข้างของเธอร้อนผ่าว เธอคิดว่าตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ดีแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมองออกด้วย
“ฉันต้องการเธอจริง ๆ” เขาเอ่ยชิดริมฝีปาก
“ตะ...แต่คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มมองนัยน์ตาของหญิงสาวที่สะท้อนความหวั่นไหวอยู่ในความมืดสลัวภายในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่พูดอะไรอีก แต่แนบริมฝีปากลงมาจูบเธอ มาลารินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบผลักชายหนุ่มออกอย่างแรงจนเขาเสียหลัก และใช้โอกาสนั้นวิ่งหนี
ทว่าเขากลับไวกว่า มือหนาคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะเหวี่ยงร่างบางลงไปบนเตียง ก่อนจะร่างสูงจะตามขึ้นคร่อมลงมา
“ฉันบอกว่าต้องการเธอไง” น้ำเสียงของเขาติดหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่เธอพยายามหนี เขารวบข้อมือของเธอไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียว
“อย่าค่ะคุณต้น” มาลารินสั่นศีรษะรัว ๆ
“อย่าปฏิเสธเลย ฉันต้องการเธอจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ฟังดูเว้าวอน สายตาจ้องมองเธออย่างล้ำลึก
“คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ?” มาลารินถามขึ้นมาราวกับจะย้ำเตือนความจำของเขา
ดวงตาคมฉายแววครุ่นคิด และดูสับสน ก่อนจะเอ่ย “ถ้าทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจจะเกลียดเธอน้อยลงก็ได้นะ...”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกดริมฝีปากลงมาอย่างแนบแน่น เธอหลับตาลงแล้วน้ำใส ๆ ก็ไหลรินออกทางหางตา ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามแรงปรารถนาอันบิดเบี้ยวของเขา
ในความมืดสลัว เสียงลมหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่มดังขึ้นประสานกับเสียงครางแผ่วเบาของหญิงสาว สัมผัสร้อนแรงเกิดขึ้นอย่างไร้การควบคุม มันเริ่มต้นและจบลง และเริ่มต้นขึ้นใหม่อย่างนับครั้งไม่ถ้วน
“คุณต้น...ฉันจะไม่ไหวแล้ว พอเถอะ...”
คำร้องขอของเธอไม่มีประโยชน์ ชวลิตเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เขาไม่สนใจสักนิดว่าครั้งแรกของเธอต้องเจ็บปวดและทรมานขนาดไหน
เสียงคำรามของเขาดังขึ้นครั้งสุดท้ายตอนรุ่งสาง มาลารินนอนหอบหายใจมองชายหนุ่มที่ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า ขณะที่ขาของเธอยังสั่นระริกจากบทรักมาราธอน ตรงกลางกายของเธอบวมเป่งเพราะการรุกรานที่รุนแรง น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักผสมกับรอยเลือดจากครั้งแรกของเธอ
ชวลิตเหลือบมองหญิงสาวที่ทั้งเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของเขา ดูท่าทางเธอต้องใส่เสื้อผ้าปิดชิดปกปิดตัวเองไปอีกหลายวัน
“ฉันถูกวางยา...อย่าคิดว่าฉันพิศวาสเธอล่ะ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
มาลารินค่อยดึงผ้าห่มคลุมกาย เธอมองเขาผ่านม่านน้ำตา “ความเกลียดของคุณต้นน้อยลงบ้างหรือเปล่าคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่เอ่ยเรื่องอื่นขึ้น “หายาคุมฉุกเฉินมากินด้วยล่ะ อย่าคิดจะใช้เด็กจับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอทั้งแม่ทั้งลูกเลย” เขาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษ
มาลารินเม้มปากแน่น เธอเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองท้องอยู่แล้ว ลูกไม่ควรเกิดมาท่ามกลางความเกลียดชัง
“แล้วก็หายาคุมรายเดือนมากินไว้ด้วย”
“คุณต้นหมายความว่ายังไงคะ?” มาลารินนิ่วหน้า
“หึ! เธออยากให้ฉันเลิกเกลียดเธอไม่ใช่เหรอ คิดว่าแค่ครั้งจะทำให้ความเกลียดของฉันหมดไปเลยหรือไง รู้ไว้ซะด้วยว่าฉันเกลียดเธอจนอยากให้ตาย ๆ ไปซะ คิดเอาเองละกันว่าฉันเกลียดเธอขนาดไหน”
ตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมาลารินกับชวลิตก็ยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ชวลิตมักจะแวะเวียนมาหาเธอในยามค่ำคืนที่ไม่มีผู้คน ระหว่างเขาและเธอไม่มีคำหวาน ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงถ้อยคำดูถูก สัมผัสเร่าร้อนที่มาพร้อมกับแรงกดดัน บางครั้งก็รุนแรงจนเธอแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขามาแล้วก็ไป เป็นอยู่เช่นนั้นตลอดสองปี
กระทั่งเมื่อปีก่อน ที่มาลารินได้ข่าวว่าชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน ลึกลงในใจเธอก็เฝ้ารอเขา แต่ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่เขาไม่ได้มาหาเธอเลย เธอรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดว่าเขาอาจจะเบื่อเธอแล้วหรือไม่ก็พบใครที่ถูกใจกว่า และเธอก็ไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไร
ทว่าในความเป็นจริง มาลารินไม่อาจรู้เลยว่า ในคืนสุดท้ายที่เขามาหาเธอ อรรณพ พี่ชายของชวลิต ซึ่งเป็นลูกชายของอินทุอร น้าของเขา แอบเห็นชวลิตออกมาจากบ้านพักของแม่บ้านในยามดึก ตอนเช้า อรรณพก็เข้าไปคุยกับน้องชาย
“ทำอะไรนายก็ควรจะนึกถึงแม่ของนายบ้าง อย่าลืมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของใคร...”
ชวลิตไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเขาเปลี่ยนไป และจากวันนั้นเอง เขาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับมาลารินอีกเลย...
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ