LOGINบทที่ 07
ก็อาจจะเกลียดน้อยลง
เมื่อสองปีก่อน...
คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก
“ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ
“จ้ะยาย”
แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น
“โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
“ชื่ออะไรเหรอครับ?”
มาลารินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ไม่พูดอะไร รู้ว่าคนพวกนั้นคงพูดไปเพราะความคึกคะนองหลังจากที่เหล้าเข้าปากเท่านั้น เธอวางอาหารเสร็จแล้วก็รีบกลับเข้าไป
สายตาของชวลิตมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของหญิงสาวที่ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด กระทั่งหญิงสาวเดินกลับมาพร้อมกับอาหารที่นำมาเพิ่ม
ผมยาวสลวยของเธอนั้นถูกมัดหลวม ๆ ด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ มีปอยเล็ก ๆ หล่นลงมาคลอเคลียแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนโดยธรรมชาติ และเขาก็เผลอมองเหมือนถูกมนตร์สะกด
ไม่เจอมาลารินหลายปี จากวันที่เขาเหยียบย่ำน้ำใจของเธอลงบนผ้าพันคอผืนนั้น วันนี้เธอเติบโตขึ้นอย่างงดงาม และเหมือนว่าเขาไม่กล้าที่จะมองเธอตรง ๆ
ชวลิตไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะรอยเศร้าในดวงตาคู่นั้นขอเธอ ทำให้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
มาลารินรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่ง เธอหันไปทางชวลิต แล้วเขาก็หลบสายตาไปทางอื่น เธอเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมกับความรู้สึกที่ยังมีสายตาคู่นั้นของเขาตามติดไป
“ต้น ดื่มอีกสิ”
เสียงของเดียร์ เพื่อนสาวที่เคยแอบชอบชวลิตตั้งแต่มัธยมฯ ดังขึ้น ดึงเขาออกจากความคิดบางอย่าง เธอนั่งลงใกล้ ๆ แอบมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
เดียร์ชงเครื่องดื่มให้กับเขา ชวลิตรับไปดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของเหล้านั้นแปลกไปนิด แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าอาจจะเป็นเพราะส่วนผสมที่เปลี่ยนไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ชวลิตรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เสียงของคนรอบข้างเริ่มห่างไกลออกไปทุกที เขาพยายามลุกขึ้น แต่กลับเซเล็กน้อย
“ต้นไหวหรือเปล่า” เดียร์รีบเข้ามาประคอง
“ไม่เป็นไร” ชวลิตรีบเคลื่อนตัวห่างจากเดียร์ “เธอกลับไปได้แล้ว”
“ฉันว่าฉันช่วยประคองเธอเข้าบ้านดีกว่านะ” เดียร์พยายามเข้ามาใกล้เขาอีก เธอจงใจบดเบียดหน้าอกนิ่มกับแขนของเขา
“อย่ามายุ่ง!” เขาถึงกับตวาดลั่น เดียร์ชะงัก และทุกคนหันไปมอง “พวกมึงกลับไปก่อน คืนนี้พอแค่นี้”
ชวลิตโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ เขาหันหลังเดินไปจากตรงนั้น ก่อนจะมาหยุดพิงต้นไม้ คิ้วของเขาขมวดแน่น รู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายไม่ปกติ เพราะมันตอบสนองกับบางสิ่งเกินเหตุ แม้จะมีลมพัดตลอด แต่เขากลับรู้สึกร้อนมากขึ้นทุกที
มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองไปมา เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่การเมาธรรมดา เดียร์ได้ใส่อะไรบางอย่างลงไปในเครื่องดื่ม จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้
ชวลิตหลับตาลง พยายามสูดหายใจลึกเพื่อดับความร้อนรุ่มที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่ากลับมีภาพของมาลารินปรากฏอยู่ในหัว แม้ว่าเขาพยายามขับไล่ความคิดเกี่ยวกับเธอออกไป แต่ยิ่งพยายาม ภาพาของเธอกลับชัดเจนยิ่งขึ้น
ขายาว ๆ ก้าวไปออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีแรงผลักดันบางอย่าง ไม่นานร่างสูงของเขาก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่เงียบสงัด
ก๊อก ๆๆ
ประตู้ไม้ถูกแง้มออก มาลารินโผล่ใบหน้าออกมาเพียงเล็กน้อย และหญิงสาวค่อนข้างตกใจที่เห็นชวลิตอยู่ตรงนี้
“คุณต้น...?”
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ...” เสียงพร่าเอ่ย เขาไม่รอให้รับอนุญาต แต่กลับแทรกตัวเข้าไปในห้อง
“มีอะไรเหรอคะ?” มาลารินถามเขาอย่างระแวง เธอรู้สึกว่าชวลิตดูแปลกไป
“ฉันต้องการเธอ...”
หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำพูดตรงไปตรงมาของเขา เธอถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ เขาก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังบอบบางชิดกับผนังห้องอันเย็นเยียบ สองแขนแกร่งค้ำยัน กักขังร่างบางไม่ให้เธอหลีกหนีไปได้
“คุณต้นใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนู...เอ่อ คือฉันว่าคุณต้นกลับไปก่อนดีมั้ยคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว หัวใจเต้นระรัวอย่างหวาดหวั่น ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารินรดผิวแก้ม ทำเอาขนกายเธอลุกชันไปทั้งตัว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ ความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้มานานทำให้หัวใจสั่นไหวจนเหมือนจะระเบิดออก
“ทำไมล่ะ?” เขาขยับเข้ามาใกบ้ ปลายจมูกโด่งคอลเคลียข้างแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัดทำเอาเธอถึงกับมึนงง “ฉันรู้นะว่าเธอชอบฉัน...”
มาลารินอึ้งที่ถูกจับได้ แก้มสองข้างของเธอร้อนผ่าว เธอคิดว่าตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ดีแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมองออกด้วย
“ฉันต้องการเธอจริง ๆ” เขาเอ่ยชิดริมฝีปาก
“ตะ...แต่คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มมองนัยน์ตาของหญิงสาวที่สะท้อนความหวั่นไหวอยู่ในความมืดสลัวภายในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่พูดอะไรอีก แต่แนบริมฝีปากลงมาจูบเธอ มาลารินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบผลักชายหนุ่มออกอย่างแรงจนเขาเสียหลัก และใช้โอกาสนั้นวิ่งหนี
ทว่าเขากลับไวกว่า มือหนาคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะเหวี่ยงร่างบางลงไปบนเตียง ก่อนจะร่างสูงจะตามขึ้นคร่อมลงมา
“ฉันบอกว่าต้องการเธอไง” น้ำเสียงของเขาติดหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่เธอพยายามหนี เขารวบข้อมือของเธอไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียว
“อย่าค่ะคุณต้น” มาลารินสั่นศีรษะรัว ๆ
“อย่าปฏิเสธเลย ฉันต้องการเธอจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ฟังดูเว้าวอน สายตาจ้องมองเธออย่างล้ำลึก
“คุณต้นเกลียดฉันไม่ใช่เหรอคะ?” มาลารินถามขึ้นมาราวกับจะย้ำเตือนความจำของเขา
ดวงตาคมฉายแววครุ่นคิด และดูสับสน ก่อนจะเอ่ย “ถ้าทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจจะเกลียดเธอน้อยลงก็ได้นะ...”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกดริมฝีปากลงมาอย่างแนบแน่น เธอหลับตาลงแล้วน้ำใส ๆ ก็ไหลรินออกทางหางตา ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามแรงปรารถนาอันบิดเบี้ยวของเขา
ในความมืดสลัว เสียงลมหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่มดังขึ้นประสานกับเสียงครางแผ่วเบาของหญิงสาว สัมผัสร้อนแรงเกิดขึ้นอย่างไร้การควบคุม มันเริ่มต้นและจบลง และเริ่มต้นขึ้นใหม่อย่างนับครั้งไม่ถ้วน
“คุณต้น...ฉันจะไม่ไหวแล้ว พอเถอะ...”
คำร้องขอของเธอไม่มีประโยชน์ ชวลิตเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เขาไม่สนใจสักนิดว่าครั้งแรกของเธอต้องเจ็บปวดและทรมานขนาดไหน
เสียงคำรามของเขาดังขึ้นครั้งสุดท้ายตอนรุ่งสาง มาลารินนอนหอบหายใจมองชายหนุ่มที่ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า ขณะที่ขาของเธอยังสั่นระริกจากบทรักมาราธอน ตรงกลางกายของเธอบวมเป่งเพราะการรุกรานที่รุนแรง น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักผสมกับรอยเลือดจากครั้งแรกของเธอ
ชวลิตเหลือบมองหญิงสาวที่ทั้งเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของเขา ดูท่าทางเธอต้องใส่เสื้อผ้าปิดชิดปกปิดตัวเองไปอีกหลายวัน
“ฉันถูกวางยา...อย่าคิดว่าฉันพิศวาสเธอล่ะ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
มาลารินค่อยดึงผ้าห่มคลุมกาย เธอมองเขาผ่านม่านน้ำตา “ความเกลียดของคุณต้นน้อยลงบ้างหรือเปล่าคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่เอ่ยเรื่องอื่นขึ้น “หายาคุมฉุกเฉินมากินด้วยล่ะ อย่าคิดจะใช้เด็กจับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอทั้งแม่ทั้งลูกเลย” เขาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษ
มาลารินเม้มปากแน่น เธอเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองท้องอยู่แล้ว ลูกไม่ควรเกิดมาท่ามกลางความเกลียดชัง
“แล้วก็หายาคุมรายเดือนมากินไว้ด้วย”
“คุณต้นหมายความว่ายังไงคะ?” มาลารินนิ่วหน้า
“หึ! เธออยากให้ฉันเลิกเกลียดเธอไม่ใช่เหรอ คิดว่าแค่ครั้งจะทำให้ความเกลียดของฉันหมดไปเลยหรือไง รู้ไว้ซะด้วยว่าฉันเกลียดเธอจนอยากให้ตาย ๆ ไปซะ คิดเอาเองละกันว่าฉันเกลียดเธอขนาดไหน”
ตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมาลารินกับชวลิตก็ยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ชวลิตมักจะแวะเวียนมาหาเธอในยามค่ำคืนที่ไม่มีผู้คน ระหว่างเขาและเธอไม่มีคำหวาน ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงถ้อยคำดูถูก สัมผัสเร่าร้อนที่มาพร้อมกับแรงกดดัน บางครั้งก็รุนแรงจนเธอแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขามาแล้วก็ไป เป็นอยู่เช่นนั้นตลอดสองปี
กระทั่งเมื่อปีก่อน ที่มาลารินได้ข่าวว่าชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน ลึกลงในใจเธอก็เฝ้ารอเขา แต่ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่เขาไม่ได้มาหาเธอเลย เธอรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดว่าเขาอาจจะเบื่อเธอแล้วหรือไม่ก็พบใครที่ถูกใจกว่า และเธอก็ไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไร
ทว่าในความเป็นจริง มาลารินไม่อาจรู้เลยว่า ในคืนสุดท้ายที่เขามาหาเธอ อรรณพ พี่ชายของชวลิต ซึ่งเป็นลูกชายของอินทุอร น้าของเขา แอบเห็นชวลิตออกมาจากบ้านพักของแม่บ้านในยามดึก ตอนเช้า อรรณพก็เข้าไปคุยกับน้องชาย
“ทำอะไรนายก็ควรจะนึกถึงแม่ของนายบ้าง อย่าลืมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของใคร...”
ชวลิตไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเขาเปลี่ยนไป และจากวันนั้นเอง เขาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับมาลารินอีกเลย...
บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู
บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย
บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว
บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย
บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่
บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง







