ตระกูลลู่
เช้าตรู่ แสงแรกของวันยังไม่ทันเล็ดลอดพ้นยอดไม้ เสียงล้อที่บดผ่านลานหินกรวดในยามเงียบสงบ รถม้าหรูคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลลู่
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อื้อฉาวในร้านอาหารหลงฮวา จวนสกุลลู่ก็ตกอยู่ในความเงียบเหงาไร้แขกเหรื่อมาเยือน ครานี้รถม้าคันงามมาหยุดอยู่หน้าบ้านพ่อค้าตกอับ ยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คน
ฮูหยินลู่ก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือน ไม่ออกไปพบปะใคร สีหน้าหม่นหมอง เมื่อสาวใช้เข้ามาแจ้งว่า
“คนจากจวนแม่ทัพไป๋เจ้าค่ะ” สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
มึนงง สับสน ไม่แน่ใจว่าฝันร้ายกำลังจะจบ หรือเพิ่งเริ่มต้นกันแน่
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
นางถามซ้ำอีกครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด
บ่าวหญิงค้อมศีรษะต่ำ “เป็นคนจากจวนแม่ทัพไป๋มาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณชายใหญ่กำลังต้อนรับอยู่ห้องโถงรับแขกเจ้าค่ะ”
“พวกเขามาด้วยเรื่องอะไร” น้ำเสียงของนางหวาดหวั่น
“บ่าวก็ไม่ทราบ”
ฮูหยินลู่รีบบอกสาวใช้ “รีบมาช่วยข้าแต่งตัวไปรับแขก”
ที่เรือนรับแขก
ลู่เผยฟังคำพูดของอีกฝ่าย ก็เข้าใจนัยแฝงทันที ไป๋ฮูหยินต้องการให้สกุลลู่ส่งแม่สื่อไปสู่ขอหลินเยว่สตรีผู้นั้นคนที่เขาช่วยเหลือ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนจะช่วยสะสางคดีของบิดา
ลู่เผยแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างสุภาพ “ท่านอยู่กับสองต่อสอง...ชื่อเสียงของสตรีเป็นเรื่องสำคัญการตบแต่งย่อมเป็นเรื่องเหมาะสมหวังว่าคุณชายลู่จะเข้าใจข้า”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่เผยยังไม่ล่วงรู้เลยว่า หลินเยว่มีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับตระกูลไป๋ พวกเขาถึงได้เสนอให้เขาตบแต่งอย่างเร่งรีบ
ในสายตาของชายหนุ่มแล้ว เทียบกับเรื่องของบิดาเรื่องนี้ถือว่าง่ายกว่าหลายส่วน เขาย่อมยินดีเพราะ
ในเมื่อแต่งได้...ก็หย่าได้เช่นกัน หากถึงเวลาที่เหมาะสม
สีหน้าลู่เผยยังคงสงบนิ่ง เขาแสร้งแสดงท่าทีลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา แล้วประสานมือกล่าวสุภาพ
“ข้าเข้าใจแล้ว...จะรีบจัดการให้เร็วที่สุดขอรับ”
หญิงวัยกลางคนเห็นดังนั้นก็ยิ้มบางอย่างพึงใจ รีบกล่าวตอบทันที
“ยิ่งรวดเร็วเท่าใด นายท่านลู่ก็จะได้ออกจากที่คุมขังเร็วขึ้นเท่านั้น ข้าไม่รบกวนคุณชายอีก ท่านจะมีเวลาได้รีบจัดการ เช่นนั้นข้าขอลา”
นางกำลังก้าวออกจากลานหน้าเรือน แต่แล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อเจอกับ ลู่ฮูหยินที่เพิ่งเดินออกมา
หญิงวัยกลางคนยกยิ้มพลางประสานมืออย่างนอบน้อม
“ข้ามีธุระอื่นที่ต้องเร่งจัดการ ขออภัยที่ไม่อาจอยู่สนทนาด้วยได้ เสียมารยาทแล้ว”
จากนั้นนางก็เร่งฝีเท้าออกไป นำเรื่องกลับไปรายงาน
ฮูหยินเชี่ยเมยมองตามหลังบ่าวจากตระกูลไป๋ที่เดินจากไป พลางหันกลับมาถามบุตรชายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“พวกเขามาด้วยเรื่องอันใดกัน?”
ลู่เผยเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา กระทั่งจบลงด้วยข้อเสนอจากอีกฝ่าย ฮูหยินเชี่ยเมยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักใจ “การแต่งงานหาใช่เรื่องเล็ก เจ้ารับปากไปแล้วหรือ?”
ลู่เผยพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าสงบนิ่งแต่แฝงแววลำบากใจ
“ช่างเถอะ...” นางว่าเบา ๆ ดวงตาฉายแววกังวล
“เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องแก้ไปทีละอย่าง ในเมื่อพวกเขารับปากจะช่วยเรื่องบิดาเจ้าคงไม่ต้องกังวลแล้ว”
นางหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบขึ้น
“เรื่องแม่สื่อแม่จะเป็นคนจัดการเอง”
ลู่เผยกล่าวย้ำด้วยเสียงนิ่งจริงจัง “พวกเขาบอกว่าในงานแต่งท่านพ่อจะออกมารับการคารวะน้ำชาของสะใภ้แน่นอนขอรับ”
ฮูหยินเชี่ยเมยหลับตานิ่ง พยักหน้าเบา ๆ “แม่เข้าใจแล้ว”
ส่วนมารดาของหลินเยว่ชุนเสวี่ยรีบร้อนเดินทางตั้งแต่เช้ามืด หลังทราบข่าวว่าเกี้ยวของหลินเยว่ถูกดักทำร้ายกลางทาง ทั้งยังมีคนล้มตาย
แต่ไม่พบศพบุตรสาว ใจผู้เป็นมารดาแทบขาดด้วยความเป็นห่วง
สอบถามเรื่องราวเกือบเที่ยง นางก็ได้ยินข่าวใหม่ว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งถูกช่วยไว้ พักอยู่ ณ โรงเตี้ยมเซิ่งฟง
นางไม่รั้งรอ รีบเดินทางทันที เมื่อไปถึงโรงเตี้ยมเซิ่งฟง นางตรงเข้าหาเสี่ยวเอ๋อร์ด้วยท่าทีร้อนรน เสี่ยวเอ๋อร์เห็นชุ่นเสวี่ยเป็นหญิงชาวบ้านจึงไม่ได้ใส่ใจ ปรายสายตาอย่างเย็นชา
“ข้ามาพบบุตรสาวของข้า...ชื่อหลินเยว่” นางเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา
เมื่อได้ยินชื่อลูกค้าว่าหลินเยว่ เสี่ยวเอ๋อร์ก็พลันนึกออกว่าเป็นคุณหนูที่คนของจวนแม่ทัพมาส่งเมื่อวาน
เขาจึงไม่กล้าละเลยปรับสีหน้ารีบประสานมือคารวะ “เชิญฮูหยินนั่งรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเรียนคุณหนูหลินเดี๋ยวนี้ขอรับ”
จากนั้นก็รีบส่งบ่าวไปแจ้งข่าวยังห้องพักชั้นใน...
ตอนที่ 56 ปุ๋ยเกลือตระกูลชุนตระกูลชุนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วแม้กระทั่งผู้ที่มาส่งข่าวสารจากเมืองฉางโจวยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยความตื่นตะลึงในความเปลี่ยนแปลง ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยยากจนแทบไม่มีจะกิน บัดนี้กลับคึกคักดั่งเรือนคหบดีผู้มั่งคั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานด้านใน หลินอวี่ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ ใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับสดใสขึ้นมาก เด็กหนุ่มโค้งตัวรับข่าวด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาวาววับ“พี่สาวกับพี่เขย...เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”คนส่งสารมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า คนผู้หนึ่งที่ครั้งก่อนแทบไม่มีกำลังใจจะเงยหน้ามองผู้ใด บัดนี้กลับดูสง่างามขึ้นราวกับมีอนาคตสดใสรออยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะเอ่ยถ้อยคำต่อ แต่ทันใดนั้นกลับมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวตามออกมาจากในเรือน ข้างกายมีบ่าวตามมาผู้หนึ่งในแวบแรกเขายังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร กระทั่งได้เพ่งมองอยู่นาน จึงนึกออกหญิงผู้นั้นคือ ชุนเสวี่ยสตรีผอมบางที่ครั้งหนึ่งเคยดูโรยรินเพราะแบกรับความทุกข์ยากมานานหลายปีบัดนี้แม้เครื่องแต่งกายยังเรียบง่ายไร้สิ่งหรูหรา แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนละมุนราวแสงเช้าส่องผ่านม่านหมอก และทุกก้า
ตอนที่ 55 สำรวจพื้นที่ เมืองฉางโจวในยามนี้สงบเงียบ สายลมทะเลพัดเอื่อยชื่นเย็น หลินเยว่กับลู่เผยใช้เวลาว่างเดินเลาะชายหาด น้ำทะเลสะอาดใสราวกระจกสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วเบาผสมเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือผิวน้ำทั้งสองเดินชมหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ก่อนจะมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีแอ่งน้ำเค็มเรียงราย นาเกลือของชาวบ้านนั่นเอง กลิ่นไอเค็มพัดมาแตะจมูก คนงานจำนวนหนึ่งกำลังกวักเกลือขึ้นจากร่องน้ำ แบกตะกร้าหนักไปวางเรียงไว้เป็นกองสายตาหลินเยว่พลันสะดุดกับกองเกลือที่ถูกเททิ้งไว้ด้านข้าง เธอหยุดก้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย“นั่น...คืออะไรหรือ”ชาวนาเกลือที่อยู่ใกล้เงยหน้าขึ้น รีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ“เกลือฉีไฉขอรับ”หลินเยว่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชายผู้นั้นจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “มันเป็นเกลือที่ใช้ไม่ได้ขอรับ รสขมปนฝาด เค็มจนเกินทน จึงต้องทิ้งไว้เช่นนี้”หลินเยว่นิ่งคิด สายตาจับจ้องกองเกลือสีหม่นนั้น ความรู้จากชาติก่อนแล่นวาบขึ้นในใจทันที “หรือว่า...นี่จะคือเกลือบิทเทิน?”สิ่งหนึ่งแวบวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หลินเยว่หันไปหาชาวนาเกลือทันที “ข้าขอซื้อเกลือฉีไฉพวกนี้ทั้งหมดได้หรือไม่”ชา
ตอนที่ 54 รางวัลที่มอบฝุ่นควันลอยคลุ้งเต็มลาน หุบเขาดังกึกก้องราวกับโกรธเกรี้ยว ทหารต้าเชี่ยจำนวนมากล้มลงไม่ทันตั้งตัวความโกลาหลปะทุขึ้นทันทีในความวุ่นวายนั้น ไป๋จิ้งหานคว้าปืนไรเฟิลจากหลังขึ้นมาอย่างมั่นมือเขาหลบหลังแนวต้นไม้ แล้วยกขึ้นเล็ง ดวงตาเย็นเฉียบจับจ้องเพียงหนึ่งเป้าหมายแม่ทัพใหญ่ของต้าเชี่ยยังนั่งอยู่บนหลังม้ามั่นใจเกินตัว คำรามสั่งการไม่หยุดเพียงหนึ่งลมหายใจ...เสียงลั่นแผ่วเบาดังขึ้นจากใต้เงาไม้ปัง!แม่ทัพใหญ่นั้นตัวกระตุก ก่อนจะร่วงจากหลังม้าไปอย่างหมดสิ้นเลือดไหลอาบลงพื้น เหล่าทหารต้าเชี่ยพากันแตกตื่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา“แม่ทัพ...! แม่ทัพตายแล้ว!!”การตายของผู้นำทำให้ขวัญทัพแตกกระเจิงไป๋จิ้งหานวางปืนลง หันไปพยักหน้าให้จ้าวเทียนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลจ้าวเทียนรับคำทันที พลันจุดพลุส่งสัญญาณสีแดงทะยานขึ้นฟ้าเมื่อแสงสีแดงกระจายกลางอากาศจากอีกฟากของหุบเขา แม่ทัพไป๋เจี้ยนเห็นสัญญาณใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมฉายแววเข้มแข็งขึ้นในทันใดเขาเงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนตะโกนก้อง“เคลื่อนพล—!!”เสียงกลองศึกเริ่มต้นขึ้นกองทัพเยี่ยนโจวเคลื่อนพลอย่างพร้อมเพรียงครั้งนี้...ถึงเวลาตอบโต้!
ตอนที่ 53 ควรจบได้แล้วแม่ทัพของต้าเชี่ยยืนอยู่เบื้องหน้ากระดานวางแผน ศีรษะเชิดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขารู้ดี รู้จำนวนไพร่พลของศัตรูที่ค่ายเมืองฉางโจว กองกำลังของเยี่ยนโจวในตอนนี้มีเพียงสองหมื่นกว่านาย ขณะที่เขา…มีทัพพลเกือบแสน“ไม่ว่าเจ้าจะใช้แผนไหน ก็ไม่มีวันชนะ” เขาพึมพำกับตนเองด้วยแววตาเย็นชาเขาสั่งให้นายกองคนสนิทออกไปสำรวจภูมิประเทศรอบเมืองโดยเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามแนวเขา “หากจะมีทางรอด พวกมันคงใช้ซุ้มโจมตีเป็นเดิมพันสุดท้าย”“ให้คนจับตาทุกช่องเขา ทุกหุบแคบ อย่าให้แม้แต่หนูยังเล็ดลอด”แววตาแม่ทัพของต้าเชี่ยวาวโรจน์ ทหารบางคนร้องเตือนว่าอีกฝ่ายมี หน้าม้า ฝีมือเก่งกล้า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่นแต่แม่ทัพหาได้ใส่ใจไม่“หน้าม้าไม่กี่สิบคน จะทำอะไรทัพแสนของข้าได้?”เสียงหัวเราะของเขาเย็นเยียบดังขึ้นในกระโจมบัญชาการ“ไป๋เจี้ยน…เจ้ากล้าเกินตัวนัก ข้าให้โอกาสเจ้าอยู่เฉย ๆ ยังเลือกจะบุกลอบมาท้าทายชะตา หากเช่นนั้น…ก็จงเตรียมใจรับมันเถอะ”แววตาเขาแข็งกร้าวราวเหล็กกล้าศึกครั้งนี้ ขุนพลเยี่ยนโจว…จะแพ้โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเมตตา เมื่อกองทัพต้าเชี่
ตอนที่ 52 ข่าวศึกสถานการณ์ชายแดนเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ชาวบ้านต่างเร่งหาที่หลบภัย บางส่วนก็ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เช้าตรู่เสียงเคาะประตูดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เจ้าของบ้านที่หลินเยว่เช่าอยู่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด“พวกเจ้าได้ข่าวหรือยัง? ตอนนี้กองทัพของต้าเชี่ยกำลังจะเข้ามาใกล้เมืองแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็รีบออกจากที่นี่เถอะ ข้านำค่าเช่าส่วนต่างมาคืนให้ พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเหมือนกัน”ลู่เผยรับถุงเงินไว้ก่อนจะยื่นคืน “พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเช่นกัน เงินนี้ท่านป้าเก็บไว้เถอะ ถือเป็นการช่วยเหลือกันในยามยาก”หญิงชราเบิกตากว้างเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยความซาบซึ้ง“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัย”เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง หลินเยว่หันไปเอ่ยเสียงแผ่ว“สงคราม...ไม่เคยเมตตาผู้ใดเลย” นางกำลังทำผิดหรือไม่ลู่เผยยิ้มปลอบเบา ๆ “ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง แต่หากตกลงกันได้ ก็ย่อมดีกว่าการใช้กำลัง” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “หวังว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำ จะพาเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายไปในทางที่ดี”ชายหนุ่มพยักหน้า “ศึกระหว่างสองเมืองนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต
ตอนที่ 51 จัดการพวกมัน เสียงกลองเตือนภัยรัวก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉางอี้ คบเพลิงนับสิบถูกชูสูงบนกำแพง พวกเขาเห็นกลุ่มหลินเยว่ได้ทันที ประตูเมืองถูกเปิดออก “พวกมันอยู่นั่น! ไล่ตามไป!” เสียงตะโกนของทหารดังสนั่น ก่อนกลุ่มธนูไฟพุ่งออกมาเป็นสายแสงสีแดงฉานหลินเยว่หันมามองพวกพ้อง “ได้เวลาหนีแล้ว!”พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บปืนทำให้สามารถปลีกตัวได้อย่างรวดเร็ว ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนขึ้นม้าด้วยท่วงท่าฉับไว ก่อนชักบังเหียนบังคับให้ม้าควบห่างออกไป ทหารเมืองฉางอี้หลายสิบคนรีบวิ่งกรูลงจากกำแพงพร้อมคบเพลิง ไล่ตามฝูงม้าที่กำลังแล่นเร็วเป็นสายลมเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังก้อง “ตึก ตึก ตึก!” ฝุ่นดินฟุ้งกระจายคลุ้งไปทั้งแนวทุ่ง เสียงธนูและหอกที่ไล่ตามมาดังแหวกอากาศเฉียดผ่านหูอย่างน่าหวาดเสียวหลินเยว่หันกลับไปเหนี่ยวไกอีกนัด “ปัง!” เสียงก้องสะท้อนกลางความมืด ลูกกระสุนพุ่งฝังใส่เกราะทหารที่วิ่งนำจนร่างนั้นล้มทั้งยืน เลือดสาดเปรอะพื้น เหล่าผู้ไล่ล่าพลันชะงักไปชั่วครู่ แต่เสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวยังคงดังก้อง“จับพวกมัน! อย่าให้หนีไปได้!”หลินเยว่กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแค