จินซีจ่าวได้ฟังบิดาพูดกล่าวเช่นนั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรกลับไป เพราะหลายครั้งเขาเองก็มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากบิดา จริงอยู่ว่าในตอนแรกที่ฮูหยินฉือฟางอิน ได้เข้ามาอยู่ในจวนสกุลฉือ การกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพ บ่งบอกได้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้ปรารถนาและพิศวาสในตัวฮูหยินเลยแม้แต่น้อย
นั่นอาจจะด้วยเรื่องราวที่นำพาให้ทั้งสองคน ต้องมาลงเอยเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ประกอบกับเดิมทีท่านแม่ทัพเอง เพื่อที่จะได้แก้แค้นให้บิดามารดา ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ท่านแม่ทัพจึงเอาเวลาทั้งหมดของตนเอง ไปทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และออกตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของบิดามารดา
เรื่องการแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่อยู่อันดับสุดท้าย หรือไม่ก็ไม่เคยอยู่ในความคิดของท่านแม่ทัพเลย การที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องในจวนสกุลชวี่ จนเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพต้องรับผิดชอบ ด้วยการแต่งงานกับฮูหยินอย่างไม่เต็มใจนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ทัพ กระทำการอย่างใจร้ายต่อฮูหยินเช่นนั้น มาตั้งแต่ที่ฮูหยินก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในจวนสกุลฉือวันแรก
หากแต่ในระยะหลังมานี้ ถ้าจินซีจ่าวจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นตอนที่ตนเองได้รับข่าวจากสหาย ที่รับใช้ท่านแม่ทัพอยู่ที่จวนสกุลฉือ ว่าเจ้านายทั้งสองตกลงที่จะแก้คำทำนาย ด้วยการมีทายาทให้กับสกุลฉือด้วยกัน จินซีจ่าวสังเกตได้ว่าการกระทำหลายๆ อย่างของท่านแม่ทัพฉื ที่มีต่อฮูหยินฉือฟางอินได้เปลี่ยนไปมากทีเดียว
จากที่แต่ก่อนหากมีเวลาว่างเว้นจากการฝึกกะบวนท่า ที่ใช้ในการต่อสู้ ท่านแม่ทัพมักจะคิดหาวิธีกลั่นแกล้งฮูหยินอยู่เสมอ แต่ทว่าหลังจากคืนที่เจ้านายทั้งสอง ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นสามีภรรยากันแล้ว ท่าทีของท่านแม่ทัพที่มีต่อฮูหยิน ก็ดูอ่อนโยนลงกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้บางครั้งท่านแม่ทัพเหมือนจะรู้สึกตัว ว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอคติที่ตนเองมี แต่ทว่า ท่านแม่ทัพก็มิได้กระทำอย่างใจร้ายกับฮูหยินอย่างที่เคยทำมา
อย่างมากก็เพียงแค่ทำเฉยชาใส่ฮูหยิน แล้วหายหน้าหายตาไปหลายวันก็เท่านั้น และสถานที่ที่ท่านแม่ทัพเลือกที่จะหายตัวไปอยู่ ก็มิใช่ที่อื่นไกล แต่เป็นหมู่บ้านหั้วห่าว หมู่บ้านลับในหุบเขาที่จินซีจ่าวกับบิดา รวมไปถึงบุรุษอีกสามคนที่เหลืออาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งโดยปกติแล้ว การมาเยือนหมู่บ้านหั้วห่าวแต่ละครั้งของท่านแม่ทัพ จะเป็นการมาเพื่อหารือวางแผนการตามหาคนร้ายที่ลอบฆ่าบิดามารดา หรือไม่ก็วางแผนฝึกทหารในสังกัด แต่ทว่าการมาเยือนที่หมู่บ้านหั้วห่าว
ในระหว่างที่ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะไม่มีสมาธิในการคิดแผนการเอาเสียเลย สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ที่นั่นได้ไม่เกินสองวัน ก็เป็นอันต้องกลับไปที่จวนสกุลฉือตามเดิม และล่าสุดอย่างที่บิดาของเขาสงสัยอยู่ในตอนนี้ ที่สถานการณ์บังคับให้พวกเขา ต้องบังเอิญได้เห็นฮูหยินฉือฟางอินอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ท่านแม่ทัพก็ถึงกับเอ่ยคำสั่งเสียงเย็น พร้อมส่งผ่านแววตาอันน่ากลัวมาให้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในตอนนี้ ตัวของท่านแม่ทัพควรจะต้องอยู่ช่วยหั้วชินอ๋อง เข้าร่วมรบกับกำลังทหารของฮ่องเต้ ปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือของแคว้นอยู่แท้ๆ
แต่ทันทีที่ได้รับข่าวสถานการณ์ไม่ดีที่เมืองอี้ ท่านแม่ทัพก็พาตนเองมาถึงจวนสกุลฉือได้ทันเวลา แต่ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดที่ทำให้ยามที่ท่านแม่ทัพ พาตนเองไปถึงหน้าห้องลับที่ฮูหยินและคุณชายซ่อนตัวอยู่ในนั้นแล้ว กลับไม่ทำสัญญาณผิวปากเป็นจังหวะ เพื่อให้ฮูหยินได้รู้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกนั้นเป็นคนที่จะช่วยเหลือ แต่กลับทุบประตูเสียงดังทำให้ฮูหยินเข้าใจผิด จนสุดท้ายก็พาคุณชายเฟิ่งเฉียนหนีออกจากห้องลับไป ดีที่ว่าฮูหยินยังจำคำที่ตนเองบอกเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้เจอตัวฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายเฟิ่งเฉียนที่เขตใกล้หมู่บ้านหั้วห่าวเป็นแน่
อีกด้านหนึ่งคนที่เข้าไปหาฉือฟางอิน หมายจะไปจัดการให้นางรู้ว่า ชุดที่นางสวมใส่อยู่ในตอนนี้นั้นล่อแหลมเพียงใด ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้ ตนเองกำลังปกปิดตัวตนไม่ให้ผู้ใดนอกเหนือจากคนในปกครองตนเองรู้ จึงได้ลดฝีเท้าตัวเองลงให้เดินอย่างปกติ เข้าไปหาฉือฟางอินที่กำลังสนใจเฉียนเอ๋อร์ ที่อยู่ในอ้อมกอดของนางอยู่
“นี่เจ้า!”
ฉือฟางอินสะดุ้งสุดตัวเมื้อเงยหน้า ก็พบว่าบุรุษในชุดอำพรางตัวนั้น ได้มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว
“อ อะไรหรือ”
“ดูชุดของเจ้าเสีย คิดจะยั่วยวนผู้ใดอย่างกัน”
“ชุดของข้า…ว๊าย! จ เจ้าก็หันหน้าหนีไปสิ มายืนมองทำไมกัน!”
เมื่อเห็นว่าสภาพชุดของตนเองล่อแหลมเพียงใด ฉือฟางอินจึงรีบลนลาน พาตนเองไปหลบยังซอกรากไม้ใหญ่ แล้วจัดการสวมชุดของตนให้เรียบร้อย นางไม่ได้จะยั่วยวนผู้ใด อย่างที่บุรุษผู้นั้นกล่าวเสียหน่อย เพียงแต่ก่อนหน้านี้ นางกำลังให้นมเจ้าก้อนหมั่วโถวอยู่ต่างหาก สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จะให้นางยั่วยวนผู้ใดกัน!
เมื่อจัดการกับชุดและทุกอย่างเสร็จ บุรุษทั้งหลายก็นำทางพาฉือฟางอินไปยังหมู่บ้านหั้วห่าว โดยมีจินซีจ่าวและบิดาของเขาเดินนำอยู่หน้าสุด ส่วนบุรุษอีกสามคนเดินคุ้มกันอยู่ด้านหลัง ฉือฟางอินจึงได้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง หากแต่จะดีกว่านี้ถ้าบุรุษในชุดอำพรางตัวนั่น ไม่ได้มาเดินขนาบข้างนาง อยู่ห่างไปเพียงหนึ่งช่วงแขนเช่นนี้
แต่ถึงแม้จะไม่ชอบใจอย่างไร นางก็คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากอดทนจนกว่าจะถึงหมู่บ้าน ฉือฟางอินจึงได้ส่ายหัวไล่ความคิดตนเอง เกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ออกไปเสีย จากนั้นก็หันไปหยอกล้อเฉียนเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมอกนางแทน
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี