“หยุด! อย่าขยับ”
เฮือก!
ฉือฟางอินผวากอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น ทันทีที่ได้ยินเสียงบุคคลปริศนาดังมาจากด้านหลัง เดิมทีคิดว่าบริเวณนี้อยู่ในทางที่คนของฉือหย่งหลิงกำชับเอาไว้ นางจึงคิดว่าบริเวณนี้น่าจะปลอดภัย และต้นไม้ต้นนี้เองก็ใหญ่พอ ที่จะเป็นที่กำบังสายตาจากผู้อื่นให้กับนางและเฉียนเอ๋อรได้พักพิง ในยามที่อากาศร้อนจนเฉียนเอ๋อร์ร้องโยเยเพราะไม่สบายตัว แล้วค่อยออกเดินทางหาหมู่บ้านที่ว่านั่นต่อ
แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ และแม้นางจะรู้สึกกลัวเพราะไม่รู้ว่า คนพวกนั้นต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ แต่ฉือฟางอินก็พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ นางจึงมองไปรอบๆ บริเวณนั้น เพื่อหาสิ่งที่พอจะนำมาป้องกันตัวได้ ขณะที่เสียงฝีเท้าของคนด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มือของนางก็คว้าเอาไม้ท่อนหนึ่งได้พอดี
“อ อย่าเข้ามานะ!”
ฉือฟางอินกอดเฉียนเอ๋อร์เอาไว้แน่น แล้วตระโกนจนสุดเสียง พร้อมกับใช้มือที่ถือท่อนไม้อยู่ กวัดแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว ในขณะที่ฉือฟางอินกำลังใช้ไม้ กวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะ โดยไม่ลืมหูลืมตานั้น อีกฝ่ายหนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลภายนอก ที่บุกรุกเข้ามายังพื้นที่ของพวกเขานั้น เป็นเพียงแม่ลูกอ่อนคู่หนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มโจรกบฏ ที่กำลังเข้าโจมตีเมืองอี้อยู่ ณ ขณะนี้ ชายทั้งสามคนก็ถึงกับผงะไป อย่างทำอะไรไม่ถูก พวกเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างใช้ความคิด เมื่อบุคคลตรงหน้า เป็นบุคคลอื่น ที่มิได้อยู่ในแผนล้อมผู้ร้ายตามที่ได้รับคำสั่งมา
ชายฉกรรจ์ทั้งสามจึงหันไปหาชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหัวหน้าของพวกเขา ที่กำลังยืนดูสถานการณ์อยู่หลังหินก้อนใหญ่ แล้วใช้สายตาสื่อความหมายเชิงคำถาม ว่าจะให้พวกตนทำอย่างไรต่อไป ด้านชายผู้นั้นที่เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น ได้รู้แล้วว่าคนที่อยู่หลังต้นไม้มิใช่กลุ่มโจรกบฏอย่างที่เข้าใจ แต่กระนั้น แม่ลูกคู่นี้ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกที่ไม่อาจไว้ใจได้อยู่ดี ชายคนดังกล่าวจึงทำท่าทางเป็นสัญญาณ ให้คนของตนเองจัดการจับตัวฉือฟางอินเอาไว้ เพื่อที่จะได้นำไปสอบสวน ถึงที่มาที่ไปต่อไป
“หยุด! นั่นคือฮูหยินฉือฟางอินกับคุณชายเฟิ่งเฉียน!”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้เข้าถึงตัว ของฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ ก็ได้มีเสียงของใครบางคนตะโกนห้ามพวกเขา โดยการเอ่ยชื่อบุคคลสำคัญ ที่อยู่ในแผนการที่เคยได้ร่วมประชุมกันเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา ชายทั้งสามพร้อมด้วยหัวหน้าของพวกเขา ต่างพากันหันไปทางเสียงของบุคคลนั้นเป็นตาเดียว ฉือฟางอินเองก็เช่นเดียวกัน เพราะถ้านางไม่ได้หูแว่วไป ชายที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่ เขาเพิ่งได้เอ่ยเรียกชื่อนางกับเฉียนเอ๋อร์ขึ้นมา เพื่อห้ามคนพวกนี้ไม่ให้เข้ามาจับตัวนางกับบุตรชาย
“นั่น จ เจ้า คือเจ้านั่นเอง!”
เมื่อได้เห็นหน้าชายผู้นั้นชัดๆ ฉือฟางอินก็ถึงกับเอ่ยทักเขาเสียงดังด้วยความดีใจ เพราะเขาเป็นหนึ่งกลุ่มชาย ที่เป็นคนของฉือหย่งหลิง ที่พานางและเฉียนเอ๋อร์ ไปซ่อนตัวที่ห้องลับในจวนสกุลฉือนั่นเอง
“ขอรับฮูหยิน ข้าน้อย จินซีจ่าว เองขอรับ”
จินซีจ่าวกล่าวตอบรับฉือฟางอิน พร้อมกับเดินเข้ามายืนแทรกกลาง ระหว่างฉือฟางอินและกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสี่คน ชายทั้งสามที่ยืนล้อมฉือฟางอินอยู่ก่อนหน้านี้ ได้ก้มหัวให้กับจินซีจ่าวคล้ายกับการทำความเคารพ ต่อคนที่มีสถานะใหญ่กว่าพวกเขา ฝ่ายของจินซีจ่าวเอง ก็หันไปก้มหัวให้กับชายอีกคนที่ดูจากภายนอกแล้ว น่าจะมีอายุมากกว่าเขาอยู่มาก แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่ากับคำที่เขาเรียกชายคนนั้นหลังจากที่ก้มหัวให้
“ท่านพ่อ”
“ซีจ่าว เมื่อครู่เจ้าบอกว่า สองคนนี้คือ…”
“ทั้งสองคนนี้คือฮูหยินฉือฟางอิน และคุณชายฉือเฟิ่งเฉียน ของท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับท่านพ่อ”
ทันทีที่ได้ยินชัดเจนว่าสตรีและเด็กตรงหน้าเป็นใคร ชายฉกรรจ์ทั้งสาม ที่ฉือฟางอินเดาเอาว่าน่าจะมีสถานะเป็นผู้น้อยที่สุดในที่นี้ ก็ได้คุกเข่าก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษนาง ที่ได้กระทำการล่วงเกินไปก่อนหน้านี้ ส่วนชายอีกคน ที่ฉือฟางอินเพิ่งได้ทราบเมื่อครู่ ว่าเขาคือบิดาของจินซีจ่าว แม้เขาจะไม่ได้คุกเข่าก้มหัวขออภัยจากฉือฟางอิน เหมือนอย่างที่สามคนนั้นทำ
แต่ทว่าท่าทีของเขา ก็เปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ดูจะไม่ชอบใจที่นางเข้ามาที่นี่ กลายเป็นสีหน้ากังวลเมื่อได้รู้ว่านางคือฮูหยินแห่งจวนสกุลฉือ และเมื่อสายตาของเขา ได้มองเลยไปยังด้านหลังของจินซีจ่าวผู้เป็นบุตรชาย บิดาของจินซีจ่าวก็ถึงกับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อได้สบตาเข้ากับสายตาคนอีกผู้หนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ด้านจินซีจ่าวที่เห็นบิดามีท่าทางเช่นนั้น เขาจึงหันตามสายตาของบิดาไป ถึงได้เห็นว่าคนที่บอกกับเขาว่าจะมอบหน้าที่ตรงนี้ ให้จินซีจ่าวจัดการทั้งหมด ส่วนตนเองจะขอแอบดูอยู่ห่างๆ แต่ทว่าตอนนี้กลับมายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้วเสียอย่างนั้น ฉือฟางอินที่เห็นสองพ่อลูกทำท่าทางแปลกๆและเมื่อเห็นว่าทั้งหมดละความสนใจนางไปหาใครอีกคน นางจึงได้แอบชะเง้อดูบ้าง ว่าบุคคลที่มาใหม่ผู้นั้นเป็นใครกัน และเมื่อชะเง้อจนสุดคอ นางก็ได้เห็นว่าบุคคลปริศนาที่มาใหม่นั้น
เป็นบุรุษร่างสูงที่สวมชุดสีดำไปทั้งตัวและใบหน้า เหลือไว้แค่เพียงดวงตาทั้งสองข้าง การแต่งกายเช่นนี้ฉือฟางอินเคยเห็นมัน ด้วยเพราะนางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ล้วนต้องเคยได้เห็นการฝึกฝนของเหล่าทหารมาก่อน นี่เป็นชุดสวมใส่เพื่ออำพรางตัวตน ในยามที่บุคคลนั้นได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ โดยห้ามให้ผู้ใดรู้ตัวตนว่าเขาเป็นใครและถูกสั่งการมาโดยผู้ใด
“อื้อ…แอ๊ะ!”
ขณะเดียวกันระหว่างที่ฉือฟางอิน กำลังชะเง้อมองคนผู้นั้นอย่างใคร่รู้ เฉียนเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ได้นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของนาง ไม่ได้ร้องส่งเสียงเหมือนรู้ความว่า เวลานี้ตนเองต้องทำตัวเช่นไร เพื่อไม่ไปรบกวนมารดาที่กำลังพยายามตั้งสติ หาทางช่วยเหลือตนเองอยู่ ตอนนี้กลับออกแรงดิ้นพร้อมส่งเสียง เรียกร้องความสนใจจากฉือฟางอิน ให้หันมาสนใจเขาได้แล้ว
แต่ดูเหมือนว่าเสียงที่เฉียนเอ๋อร์ร้องออกมานั้น จะดังเกินกว่าที่จะเรียกความสนใจ จากมารดาของเขาเพียงแค่คนเดียว เหล่าบุรุษที่นั่งยืนล้อมกันเองอยู่นั้น ถึงได้หันมาทางสองแม่ลูกเมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกตัวน้อยร้องส่งเสียงออกมา รวมไปถึงชายที่อยู่ในชุดอำพรางตัวผู้นั้นด้วย หากแต่ทว่าเมื่อชายผู้นั้นหันมา แล้วเห็นสภาพของฉือฟางอินในตอนนี้ ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยจนเกือบเห็นอะไรไปถึงไหน ก็ถึงกับต้องเอ่ยกับจินซีจ่าว บิดาของเขาและพักพวกด้วยเสียงเย็น รอดผ่านไรฟันออกมาอย่างหัวเสีย
“หันหน้าของพวกเจ้ากลับมาเดียวนี้”
คนทั้งห้าเมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้น ก็พร้อมใจกันหันหลังให้กับฉือฟางอินกันอย่างพร้อมเพียง หลังจากนั้นชายชุดดำก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาฉือฟางอินด้วยตนเอง ท่าทางเช่นนั้นตกอยู่ในสายตาบิดาของจินซีจ่าวทั้งหมด จนเขาอดที่จะกระซิบถามบุตรชายไม่ได้
“นี่ ซีจ่าว”
“ขอรับท่านพ่อ”
“ไหนเจ้าบอกว่า ท่านแม่ทัพมิได้มีแก่ใจ จะสนใจใยดีฮูหยิน และมิได้รู้สึกอันใดกับนางแม่แต่น้อยอย่างไรเล่า แล้วเหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้มีท่าทางเช่นนั้นกัน นี่มันมิใช่ท่าทางของสามีที่หวงภรรยา ที่กำลังถูกบุรุษอื่นมองหรอกหรือ”
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี