ทั้งจินซีหลันและจินซีจ่าว ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังการกระทำทั้งหมด ของบุตรสาวและน้องสาวของตนเองเป็นอย่างดี ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางจบลงง่ายๆ เพราะดูจากการกระทำของซือจูในวันนี้ ก็ทำให้พวกขเขาได้รู้แล้วว่า ที่นางเขียนจากอารมสงบใจ บอกกับบิดาว่านางได้สำนึกผิดและหักห้ามใจ ที่มีต่อท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงได้แล้วนั้น แท้ที่จริงแล้วนางโกหก
หลังจากวันนี้ไปเขาที่เป็นพี่ชาย จะต้องพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจัง เพราะพวกเขาจะปล่อยให้จินซือจู ทำอะไรสิ่งใดโดยที่ไม่ให้เกียรติฮูหยินของท่านแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นจะเสียหน้าไปถึงบิดา ที่เป็นถึงผู้นำหมู่บ้านเอาได้ มื้อค่ำในวันนั้นจึงเป็นจินซีจ่าว ที่คอยพูดสร้างบรรยากาศดีๆ ด้วยการชวนฉือฟางอินพูดคุย
รวมไปถึงการบอกเล่ารายระเอียด ในแต่ละพื้นที่ของหมู่บ้านหั้วห่าว ให้ฉือฟางอินได้ทราบ โดยมีจินซีหลันผู้เป็นมารดาคอยช่วยพูดส่งเสริมอีกแรง ฉือฟางอินเองก็รับรู้ได้ถึง ความพยายามของคนทั้งสอง นางจึงพุ่งความสนใจไปที่จินซีจ่าวกับมารดา และทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำของเด็กสาวที่นั่งหน้าบูดอยู่ตรงหน้าไป
“ฮูหยิน ท่านต้องการให้มีคนคอยเฝ้าท่าน กับคุณชายน้อยในตอนกลางคืนหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าท่านจะกังวลที่ต้องพักผ่อนในที่ที่ไม่คุ้นเคย”
“นั่นสิขอรับ ให้ข้าน้อยกับคนของท่านแม่ทัพคนอื่นๆ มาเฝ้ายามกลางคืนให้ ดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องลำบากท่านป้ากับพวกเจ้าหรอก อีกอย่างเมื่อครู่นี้เจ้าเองก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือ ว่ามีเวรยามคอยอยู่รอบๆ หมู่บ้าน”
“ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้น ก็ทำอย่างที่เคยทำมาเถิด ข้ากับเฉียนเอ๋อร์อยู่ด้วยกันสองคนได้”
“ขอรับ งั้นพวกข้าไม่อยู่รบกวนฮูหยินแล้วขอรับ เชิญฮูหยินและคุณชายน้อย พักผ่อนกันตามสบายขอรับ”
“วันนี้ขอบใจทุกคนมาก ที่ต้อนรับข้าเป็นอย่างดี”
ให้หลังจากที่ทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว ฉือฟางอินจึงได้พาตัวเองและเฉียนเอ๋อร์ไปอาบน้ำ โดยไม่ลืมลากเปลของแม่เฒ่าลี่เข้าไปด้วย นางจัดการวางเจ้าก้อนหมั่นโถวลงในเปล ที่นอกจะสามารถลากไปไหนมาไหนได้สะดวกแล้ว ก็ยังสามารถเอนฐานรองเปล ให้เฉียนเอ๋อร์สามารถอยู่ในนั้น ด้วยท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนได้ เพื่อให้เขามองเห็นนางยามที่นางกำลังแช่ตัวเพื่อชำระร่างกาย เจ้าตัวน้อยจะได้ไม่ร้องโยเยเพราะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา
ยามที่อยู่กันตามลำพังสองคนแม่ลูก ฉือฟางอินจึงจำต้องจัดการตัวเองให้เร็วสักหน่อย ยังไม่ทันได้สวมชุดให้เรียบร้อย ฉือฟางอินที่สวมเพียงแค่ชุดด้านใน ที่เป็นเพียงผ้าสีขาวผืนบาง ก็ต้องรีบมาอาบน้ำให้ลูกน้อย เพราะกลัวน้ำที่เตรียมไว้กะละมัง จะหายอุ่นเสียก่อน
“คิก อื้อ แอ๊!”
ระหว่างที่อาบน้ำอยู่นั้น เจ้าก่อนหมั่นโถวขาวอวบ ก็ใช้ขาตีน้ำในกะละมัง พร้อมกับคุยจ้อกับมารดาไม่หยุดปาก ฉือฟางอินเห็นดังนั้นก็ได้แต่หัวเราะด้วยความเอ็นดู และกล่าวตอบโต้เฉียนเอ๋อร์กลับไปบ้างเจ้าเด็กน้อยก็ยิ่งส่งเสียงคุยดังขึ้น แล้วยังทำหน้าตาตลกใส่ ทำให้ฉือฟางอินหัวเราะชอบใจไม่หยุดเช่นกัน
สองแม่ลูกผลัดกันหยอกล้อกันอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉือหย่งหลิง ได้แอบเข้ามาในยืนดูพวกเขาอยู่พักใหญ่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉือหลังเสร็จจากการประชุม วางแผนจัดการกลุ่มโจรกบฏ ตัวเขาได้ออกมาชมบรรยากาศยามค่ำคืน ด้านบนหอประจำการของหมู่บ้าน
จึงได้เห็นว่าจินซีจ่าวที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะต้องติดตามมารดา ไปดูแลความเรียบร้อยให้กับฉือฟางอินและเฉียนเอ๋อร์ กำลังมุ่งหน้ากลับมาที่หอประจำการ ชายหนุ่มจึงอาศัยจังหวะนี้ ใช้วิชาตัวเบาลัดเลาะไปตามจริงไม้ มุ่งหน้าไปยังเรือนของตน แล้วหลบอยู่ในห้องทำงาน เพื่อลอบดูพฤติกรรมของฉือฟางอิน
แต่ทว่าเสียงเจื้อยแจ้วของของบุตร ที่ประสานกับเสียงหัวเราะจากมารดาของเขา ที่ดังแว่วมาจากในห้องอาบน้ำนั้น กลับทำให้ทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ก้าวพ้นออกจากที่หลบซ่อน เดินมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ เพราะต้องการเห็นด้วยตาของตนเองว่า เหตุใดคนทั้งสองถึงได้ส่งเสียงอย่างอารมณ์ดีเช่นนั้น
เมื่อลอบแอบดูสองแม่ลูกผ่านช่องระหว่างประตู ภาพที่ฉือหย่งหลิงกได้เห็น คือภาพของหญิงสาวกำลังนั่งอาบน้ำ ให้กับบุตรชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในกะละมัง โดยมีแขนข้างหนึ่งของมารดาคอยประคองเอาไว้อยู่ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังวักน้ำ ลูบไปตามตัวของบุตรชายอย่างคล่องแคล่ว
“เอาล่ะ แม่ให้เจ้าเล่นนานแล้ว พวกเราไปทำตัวให้แห้งแล้วรีบสวมชุดกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายเอาได้”
“อื้อ…แอ๊”
ฉือหย่งหลิงรีบพาตนเอง เข้าไปหลบอยู่ในที่ซ่อนเดิมทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของสองแม่ลูก ใกล้จะออกมาห้องอาบน้ำ ฉือฟางอินที่ไม่ยังคงไม่รู้ว่าเวลานี้ สองคนแม่ลูกไม้ได้อยู่ในเรือน กันเพียงแค่สองคน นางจึงไม่ได้สนใจว่าชุดผ้าบางที่นางสวมใส่อยู่ เมื่อนางขยับร่างกาย ยามที่เช็ดตัวและผูกผ้าเตี่ยว ปกปิดช่วงล่างให้กับเฉียนเอ๋อร์ จะทำให้ผ้าบางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ได้แนบไปกับเนื้อตัวจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน และคนเดียวที่ได้เห็นภาพนี้ ก็ฉือหย่งหลิงที่แอบอยู่อีกห้องหนึ่ง
ทุกการกระทำของนาง ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา จากที่จะมาแอบดูเห็นกับตา ว่าเมื่อยู่ตามลำพังแล้ว หญิงสาวจะสามารถดูแลลูก ได้จริงอย่างที่พูดหรือไม่ แต่ทว่าตอนนี้สายตาของฉือหย่งหลิงนั้น กลับไม่ได้มองไปที่บุตรชายตัวน้อย แต่กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยชุดสีขาวบางเบาเปียกชุ่ม ที่กำลังแนบไปกับเนื้อตัวของฉือฟางอิน ทำให้เขาได้เห็นเนินอก และสัดส่วนอวบอัดแต่ก็เข้ารูป ของนาวอย่างเต็มตา
ไหนจะไรผมที่เปียกชุ่ม ที่เรียงรายอยู่ที่ต้นคอของนาง กว่าที่จะรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ ก็ในตอนที่ฉือฟางอินตั้งท่าจะถอดชุดผ้าบางนั่นออก เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ฉือหย่งหลิงถึงกับอ้าปากค้าง อย่างคนหาเสียงตนเองไม่เจอ ก่อนจะรีบหันหลังออกจากเรือนไป
‘บ้าจริง! นางนึกอย่างจะทำอะไรก็ทำ ไม่ระวังตัวบ้างเสียเลย หากมีใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร’
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี