Share

บทที่ 25

last update Last Updated: 2025-02-16 08:05:05

เช้าวันใหม่

ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สราง เพราะเสียงร้องของเฉียนเอ๋อร์ เวลานี้คงจะเป็นเวลาตื่นของเขา พอเห็นว่ามารดายังคงนอนหลับอยู่ เจ้าก้อนหมั่นโถวถึงได้แผดเสียงปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามารดาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยก็ชูมือและแขนเล็กป้อมของตนเอง ขึ้นมากลางอากาศอย่างสื่อความหมาย

 ฉือฟางอินที่รู้งานอยู่แล้ว จึงได้ก้มลงหอมแก้มกลมของเขาหนึ่งฟอดใหญ่ ก่อนที่จะลุกขึ้นอุ้มเจ้าก้อนหมันโถวขึ้นมาไว้แนบอก เจ้าตัวน้อยได้ทีก็รีบหันหน้าเข้าหาอกอุ่น พร้อมกับเอาปากถูไถไปกับอกของมารดาทันที

“ที่แท้ เจ้าก็หิวนี่เอง” ฉือฟางจึงรีบจัดการปลดชุดของนางออก เพื่อให้บุตรชายได้กินนม เจ้าก้อนหมั่วโถวเองก็ไม่รอช้า รีบผวาเข้าเต้าของมารดาทันที

“เด็กดีในเย็นๆ ไม่ต้องรีบ แม่ไม่หนีเจ้าไปไหนหรอก”

ฉือฟางอินนั่งให้เฉียนเอ๋อร์ดูดนมจากอกนางจนอิ่ม จากนั้นก็อุ้มเขามาวางบนตัก ใช้มือข้างหนึ่งประคองหน้าอกของเขาเอาไว้แล้วเอนตัวเขาไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้มือข้างที่เหลือตบที่หลังของเฉียนเอ๋อร์เบาๆ เพื่อไล่ลมให้ได้เรอออกมา

“เอิ๊ก!”

“เก่งมากลูกแม่ สบายท้องแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราไปล้างหน้าล้างตากัน”

เนื่องจากเรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในป่า ทำให้บรรยากาศในตอนเช้านั้นเย็นมากกว่าที่จวนสกุลฉือ ที่ตั้งอยู่ในเขตคนเมืองหลายเท่านัก แต่ยังดีที่เรือนแห่งนี้มีห้องอาบน้ำ ที่ด้านล่างเป็นปล่องเอาไว้จุดฟืนให้น้ำในอ่างอุ่นขึ้น ทำให้ฉือฟางอินได้มีน้ำอุ่นเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น หลังจากล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนผ้าให้กับเฉียนเอ๋อร์ และจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว ฉือฟางอินที่เห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดมาที่เรือนนี้ นางจึงอยากพาเฉียนเอ๋อร์ ออกไปเดินเล่นที่ด้านนอกของเรือน และถือโอกาสนี้สำรวจบริเวณรอบๆ เรือนหลังนี้ไปด้วย หญิงสาวจัดการห่อตัวบุตรชาย ให้หนาขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เพื่อที่เจ้าตัวน้อยจะได้ไม่สัมผัส ถูกไอหมอกและน้ำค้างยามเช้า ที่อาจจะทำให้เขาไม่สบายเอาได้

“เสร็จแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถิด”

แม้เรือนหลังนี้จะตั้งอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน แต่กระนั้นบรรยากาศโดยรอบ กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัวแต่อย่างใด น่านับถือชาวบ้านที่นี่ไม่น้อย ที่สามารถปรับตัวจากคนในวงสังคมชั้นสูง มาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สองแม่ลูกเดินชมนกชมไม้กันอยู่ครู่หนึ่ง ท้องฟ้าที่เคยมีแดดจางๆ ก็กลับกลายเปลี่ยนเป็นเมฆครึ้ม พร้อมกับมีหมอกปกคลุม ฉือฟางอินจึงจำต้องพาเฉียนเอ๋อร์กลับเข้าไปในเรือนตามเดิม

“เฉียนเอ๋อร์ เรากลับขึ้นกันดีกว่านะ”

ให้หลังจากที่กลับขึ้นเรือนไปไม่นาน ฉือฟางอินก็ได้ยินเสียงชาวบ้าน ออกทำกิจวัตรประจำวัน พร้อมเสียงลูกเด็กเล็กแดงออกมาวิ่งเล่นหยอกล้อกันตั้งแต่เช้าตรู่

“นู่นมันหนีไปนู่นแล้ว ไปเร็วตามมันไป”

“ข้างหน้าหมอกหนามาก ข้ามองไม่เห็นเจ้านั่นแล้ว”

“ไม่เป็นไรหน่า จะกลัวอะไรกับแค่อิแค่หมอก”

“เจ้าไม่กลัว ก็มาเดินนำสิ เอาแต่สั่งอยู่ได้”

“นั่นพวกเจ้าจะไปไหนกัน ทางนั้นมันทางไปเรือนของท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงมิใช่หรือ แล้วเสียงดังโวยวายกันถึงเพียงนั้น มิใช่ดังไปรบกวนฮูหยินฉือฟางอินกับคุณชายน้อยแล้วรึ กลับมานี่กันให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เสียงพวกเด็กๆ คุยกันและหนึ่งเสียงของผู้ใหญ่ ที่กำลังกำราบความซุกซนของพวกเขา ทำเอาฉือฟางอินที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ อดที่จะหัวเราะ และหันมาพูดเปรียบเทียบกับเจ้าก่อนหมั่นโถว ที่นางกำลังอุ้มอยู่ไม่ได้

“เฉียนเอ๋อร์ หากเจ้าโตมาเท่าพวกพี่ชายเหล่านั้น เจ้าจะซุกซนเหมือนพวกเขาหรือไม่ หืม”

“แอ้ แอ๊!” สิ้นเสียงของมารดา เฉียนเอ๋อร์ก็ตอบรีบกลับมาเหมือนเด็กรู้ความเหมือนเคย และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มโชว์เหงือกแดงมาให้กับนาง

“แต่แม่ว่า เจ้าจะต้องช่างเจรจาเป็นแน่ แม่พูดถูกหรือไม่”

“อื้อ…ฮะ…อู้”

“ฮ่าๆๆ

“หงิงงง หงิงงง”

“หือ นั่นเสียงอะไรน่ะ”

ระหว่างที่ฉือฟางอินกำลังหยอกล้อกับเฉียนเอ๋อร์ ที่นอนเล่นอยู่ในเปล หูของนางก็ได้ยินเสียงร้องประหลาด ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทางด้านนอกของเรือน

“เฉียนเอ๋อร์เจ้ารอแม่อยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวนะ”

“หงิงง หงิงง”

เมื่อเดินออกมานอกเรือนนางก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องนั่นอย่างชัดเจน ฉือฟางอินจึงได้ลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง

“ดังมาจากใต้ถุนเรือนสินะ

ฮึบ!

เจอแล้ว! เป็นเจ้านี่เอง”

เสียงร้องประหลาดที่ว่านั่น ที่แท้แล้วก็คือเสียงของลูกหมาตัวสีดำผอมโซตัวหนึ่ง ที่กำลังซ่อนตัวหลบอยู่ในใต้ถุนของเรือน ด้วยท่าทางตัวสั่นด้วยความกลัว

“เอ๊งๆๆๆ

ยามที่ฉือฟางอินประคองอุ้มมันออกมา เจ้าหมาน้อยก็ส่งเสียงร้องดังขึ้น เหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดอยู่

“เหตุใดถึงร้องเสียงดังเช่นนี้ เจ้าบาดเจ็บอยู่หรือ จริงด้วยที่ขาของเจ้า”

ฉือฟางอินตัดสินใจอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาบนเรือน ให้มันได้นอนซุกอยู่บนกองผ้า ที่ไม่ได้ใช้งานกองหนึ่งไปก่อน ในเรือนไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมันได้ ต้องรอให้พวกท่านป้ากับจินซีจ่าวมาที่นี่เสียก่อน นางถึงจะได้ขอให้พวกเขาช่วยหาวิธีรักษาขาที่บาดเจ็บของมัน

“ฮูหยินพวกเรามาแล้วเจ้าค่ะ”

“มากันแล้วหรือ ข้ากำลังรอพวกท่านอยู่พอดี”

“มีอะไรหรือเจ้าคะ โอ๊ะ! เจ้าหมาน้อยตัวนี้ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“มันหลบอยู่ใต้ถุนเรือนน่ะ ขาหลังก็ได้รับบาดเจ็บ ที่นี่พอจะมีใครรักษามันได้หรือไม่”

“อืมม หากเป็นท่านหมอประจำหมู่บ้าน ข้าว่าก็น่าจะพอได้นะเจ้าคะ”

“เช่นนั้นท่านน้าลู่ซือ พอจะนำไปให้ท่านหมอได้หรือไม่ ส่วนเงินค่ารักษาและยา ก็ให้ท่านหมอแจงรายละเอียด มาเก็บเงินกับข้าได้เลย”

“ได้เจ้าค่ะ”

หลังจากให้คนพาเจ้าหมาน้อยไปหาท่านหมอ และกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่นานจินซีจ่าวก็มาถึง พร้อมกับคนงานที่จะมาปรับปรุงเรือน ตามที่ฉือฟางอินต้องการ

“นี่เป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดในหมู่บ้านของเรา ท่านอยากปรับปรุงตรงไหนของเรือน ก็บอกกับพวกเขาได้เลยขอรับ”

“ข้ารบกวนพวกเจ้าไม่มากหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือใช้พื้นที่ถัดจากห้องอาบน้ำ ไว้สำหรับเป็นครัวทำอาหาร พร้อมด้วยโต๊ะกินข้าวหนึ่งโต๊ะ และข้าอยากจะให้พื้นที่เล็กๆ ข้างกันนั้นเอาไว้สำหรับซักล้างทำความสะอาด พร้อมกับถังใบใหญ่สองถัง ส่วนอย่างสุดท้ายคือทางน้ำไหลชั่วคราว”

“ทางน้ำไหลชั่วคราวหรือขอรับ”

“ใช่ หากข้าไม่ได้หูแว่วไปเอง ข้าว่าข้าได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ อยู่แถวนี้ ไม่รู้ว่าเสียงนั่นจะใช่น้ำที่ไหลมาจากภูเขาหรือไม่ ถ้าใช่ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้า จะสามารถสร้างทางน้ำไหลเวียนไปมายังเรือนนี้ชั่วคราว ระหว่างที่ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งในหมู่บ้าน จะได้ไม่ต้องลำบากไปแบกน้ำมาให้ข้าใช้ทุกวัน”

เหล่าคนงานเมื่อได้ฟังความต้องการของฉือฟางอิน พวกเขาก็หันหน้าล้อมวงเข้าหากัน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับงานของพวกเขาในครั้งนี้ เมื่อหารือกันสำเร็จก็หันหน้ามาทางฉือฟางอินกันอย่างพร้อมเพรียง

“ได้ขอรับฮูหยิน พวกข้าน้อยขอเวลาสองวัน กับงานสามอย่างนี้ขอรับ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status