เดิมทีแล้วชาวบ้านในหมู่บ้านหั้วห่าว ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นลูกหลานของอดีตเสนาบดี และเหล่าขุนนางที่สนับสนุนให้หั้วชินอ๋องชิงตำแหน่งรัชทายาท จากพระอนุชาที่เกิดจากครรภ์ฮองเฮา เพราะความแค้นที่หั้วชินอ๋อง ได้มารู้ความจริงภายหลังว่าฮองเฮา เป็นผู้วางแผนใส่ร้ายจี้หรงเฟยมารดาของเขา ว่าลักลอบแอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์ ทำให้ฮ่องเต้สั่งประหารมารดาของเขา
แต่ทว่าบทสรุปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ลงเอยด้วยการที่หั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ด้วยคุณงามความดีที่หั้วชินอ๋อง เคยได้ทุ่มเทมทั้งความคิดและแรงกาย ในกับการแก้ปัญหาบ้านเมือง และยังเป็นกำลังสำคัญในสงครามยุติ ความขัดแย้งต่างๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นฟู่กับแคว้นอื่น ฮ่องเต้จึงเล็งเห็นว่าบุตรชายคนนี้ ยังมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอยู่มาก โทษหนักที่หั้วชินอ๋องได้รับจึงไม่ใช้โทษประหาร แต่เป็นการถูกสั่งให้มาพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ทุรกันดาร ทางเขตตะวันออกของแคว้นฟู่ โดยมีบิดาของฉือหย่งหลิง ที่ภายหลังถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพใหญ่คู่กายติดตามมาด้วย
แน่นอนว่าการถูกสั่งให้มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นปัญหากับหั้วชินอ๋องที่มีความทั้งเก่งและความหัวก้าวหน้าแต่อย่างใด แต่ทว่า กับฝ่ายอดีตเสนาบดีและขุนนางที่จงรักภักดีกับเขานั้น ได้ถูกคนจากฝ่ายเสนาบดี ที่หนุนหลังให้รัชทายาทและฮองเฮา ตามกวาดล้างจนเหลือเพียงคนในครอบครัวของพวกเขาไม่กี่คน หนีตายมาหาหั้วชินอ๋องที่แดนตะวันออก
แม้อดีตเสนาบดีและขุนนางเหล่านั้น จะเคยกล่าวกับหั้วชินอ๋องว่า ทางเดินนี้เป็นทางเดินที่พวกเขาตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น ขอให้จำเอาไว้สิ่งนั้นมันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เมื่อถึงคราที่ต้องมารับรู้ว่าคนหล่านั้น ต้องถูกกวาดล้างพร้อมกับครอบครัว จนเหลือไม่กี่คนที่สามารถเอาชีวิตรอด
นำเอาจดหมายที่อดีตเสนาบดี และขุนนางเหล่านั้นเขียนถึงหั้วชินอ๋อง ขอให้หั้วชินอ๋องช่วยชีวิต คนในครอบครัวที่เหลืออยู่ของพวกเขา หั้วชินอ๋องก็อดที่จะรู้สึกโทษตัวเองไม่ได้ ว่าถ้าหากวันนั้นเขาเป็นผู้ชนะ พวกเราทั้งหมด ก็คงไม่ต้องสูญเสียหลายชีวิต ไปมากมายถึงเพียงนี้
แต่กระนั้นจะให้เอาแต่โทษตัวเองโดยที่ไม่ทำอะไร ตัวเขาเองก็คงไม่สามารถไปสู้หน้า คนที่สละชีวิตเพื่อเขาที่ปรโลกได้ หั้วชินอ๋องจึงได้พาผู้ที่รอดชีวิต มาตั้งหมู่บ้านหั้วห่าวอยู่ที่หลังหุบเขานี้ เพื่อไม่ให้คนของฮองเฮา และคนของรัชทายาทหาพวกเขาเจอ โดยมีบุตรชายคนเล็กของอดีตเสนาบดีจินนามว่าจินซือโจว บิดาของจินซีจ่าวเป็นผู้นำหมู่บ้าน
จินซือจูที่เกิดมาภายหลัง ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของนาง จึงพบเจอแต่ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านหั้วห่าวด้วยกันเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่หั้วชินอ๋อง พาเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ และเพิ่งจะสูญเสียบิดามารดาไปเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อฝากฝังให้จินซือโจวช่วยดูแล ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้น ก็คือฉือหย่งหลิงในวัยสิบเจ็ดหนาวนั่นเอง
การที่หั้วชินอ๋องนำฉือหย่งหลิงมาหลบอยู่ที่นี่ เพราะสงสัยว่าพวกสกุลฉือสายรอง อาจะอยู่เบื้องเหตุการณ์ลอบฆ่า สามคนพ่อแม่ลูกสกุลฉือสายหลัก ทำให้บิดามารดาของฉือหย่งหลิง ต้องสละชีวิตของพวกเขาเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายเอาไว้ เวลากว่าห้าปีที่ฉือหย่งหลิง ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านหั้วห่าว เขาตั้งใจฝึกวรยุทธและวิชาแขนงต่างๆ อย่างที่บุรุษนักรบพึงมี โดยมีหั้วชินอ๋องที่เปรียบเสมือนบิดาคนที่สอง คอยสอนวิชาทั้งหมดให้ด้วยตัวเองระหว่างนั้นเอง โดยมีบุตรสาวของผู้นำหมู่บ้านจินซือโจว นามว่าจินซือจู คอยแอบเฝ้ามองเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพราะใบหน้ารูปงามและความสามารถ ที่เด็กหนุ่มในหมู่บ้านหั้วห่าว ที่นางเกิดและเติบโตมาไม่สามารถเทียบทันได้ จึงทำให้นางลุ่มหลงในตัวฉือหย่งหลิงเป็นอย่างมาก และยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกที่มีให้กับฉือหย่งหลิง ก็ยิ่งมากขึ้นจนล้นอก จินซือจูจึงพยายามเอาตัวไปอยู่ในสายตาฉือหย่งหลิง อาสาคอยช่วยเหลือบางสิ่งให้กับเขา หวังว่าสักวันหนึ่งคุณชายรูปงาม ที่ได้เติบโตขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้สง่างาม จะตกหลุมรักนางเข้าสักวัน
แต่ใครจะไปคิดว่าระหว่างที่นางรอที่จะได้พบหน้าเขา หลังจากเสร็จภารกิจช่วยแคว้นหลูรวมแคว้น นางกลับต้องผิดหวังเมื่อได้ทราบข่าวจากจินซีจ่าวผู้เป็นพี่ชาย ว่าท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิงได้เข้าพิธีแต่งงาน กับคุณหนูสกุลขุนนางใหญ่ในแคว้นหลูไปแล้ว เด็กสาวร้องไห้อย่างคนตรอมใจอยู่หลายวัน โดยมีมารดาอย่างจิซีหลันที่รู้ว่าบุตรสาว แอบรักท่านแม่ทัพมาเนิ่นนาน คอยดูแลและปลอบใจอยู่ข้างๆ พร้อมทั้งพยายามอย่างหนัก ในการพูดให้นางตัดใจ ส่วนจินซีจ่าวพี่ชายของนาง ที่ก็รับรู้มาตั้งแต่แรก ว่าน้องสาวของตนเองแอบรักผู้เป็นเจ้านาย
ก็ได้แต่มองดูน้องสาวตัวเองอย่างเวทนา เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขา ได้เคยเอ่ยปากเตือนนางไปแล้วว่าอย่างไรแล้ว ท่านแม่ทัพก็ไม่มีวันมองนางอย่างชายหนุ่มมองสตรีคนหนึ่งได้ แต่นางก็ไม่ยอมฟังที่เขาพูด นางถึงได้ต้องมาเสียใจอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เรื่องนี้ หลุดไปถึงหูของจินซือโจวว่า แท้จริงแล้วที่บุตรสาวคนเล็ก มีอาการเซื่องซึมไม่ยอมกินข้าวกินปลานั้น ไม่ได้เกิดเป็นผลข้างเคียง จากการเป็นไข้ป่าอย่างที่เขาเข้าใจ แต่เป็นเพราะบุตรสาวของเขา กำลังเสียใจเรื่องการแต่งงานของแม่ทัพฉือหย่งหลิง จึงทำให้จินซือโจวโมโหเป็นอย่างมาก ที่ทั้งสามคนร่วมกันปิดบังเขา
“เพียงเพราะชายเพียงคนเดียว เจ้าถึงกับต้องทำตัวเองให้อยู่ในสภาพนี้เชียวหรือ และชายผู้นั้นยังมิเคยทำสิ่งใดที่สื่อว่าเขา คิดกับเจ้าเกินเลยสักครั้ง ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่อาราม”
“ท่านพี่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องพูด! เจ้าเองก็รับรู้มาตลอดมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงไม่ห้ามนาง เจ้าเองก็สมควรตามนางไปอยู่ที่อาราม ไปสำนึกหน้าที่แม่ของตนเองเช่นกัน เจ้าก็ด้วยซีจ่าว สมไปอยู่ด้วยกันให้หมด”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธท่านแม่กับท่านพี่เลยนะเจ้าค่ะ พวกเขาพยายามห้ามข้าแล้ว แต่เป็นตัวข้าเองที่ไม่ฟัง”
“ดี เจ้ารู้ตัวเองก็ดี เช่นนั้นไปอยู่ที่อาราม หักห้ามใจตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
จินซือจูตกปากรับคำยอมทำตามที่บิดาบอก แต่ไม่ใช่เพราะว่านางสำนึกได้อย่างอย่างใด นางเพียงแค่ไม่อยากให้มารดา และพี่ชาย ต้องถูกบิดาโกรธไปด้วย และการถูกส่งไปยังอารามสงบใจนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีที่นางจะสบโอกาส ติดสินบนไหว้วานให้พี่ชายของสหายรักนามว่าเลี่ยงซู ที่มักจะแอบมาเยี่ยมนางที่อารามบ่อยๆ ไปสืบข่าวคราวในจวนสกุลฉือให้นาง เพราะพี่ชายของเลี่ยงซูนั้น ทำงานเป็นช่างตัดไม้อยู่ที่โรงตัดไม้ในเมืองอี้
แต่ด้วยความที่พี่ชายของเลี่ยงซู ไม่ได้สนิทสนมหรือรู้จักกับผู้ใดที่ทำงานอยู่ในจวนสกุลฉือแม้แต่คนเดียว ข่าวสารเดียวที่เขาได้รับจึงมาจากสิ่งที่ชาวบ้านพูดกันมาปากต่อปาก ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ฮูหยินทำตัวไม่เหมาะสม อย่างที่ฮูหยินในจวนแม่ทัพพึงมี
ด้วยข่าวคราวที่ได้รับฟังมานี้ จึงทำให้เด็กสาวพอที่จะมีความหวัง ที่ฉือหย่งหลิงจะหันมามองนางขึ้นมาได้บ้าง แม้ว่าภายหลังจากได้รับข่าวลือนี้ไม่นาน ความหวังของนางจะถูกสั่นคลอนอีกครั้ง ด้วยข่าวการตั้งครรภ์ของฮูหยินฉือฟางอินก็ตาม แต่จินซือจูก็ยังเชื่อมั่นในความคิดของตนอยู่ตลอดเวลา
เพราะในทุกครั้งเมื่อถึงคราที่ฉือหย่งหลิง เดินทางมาที่หมู่บ้านหั้วห่าว ชายหนุ่มไม่เคยเอ่ยปาก พูดคุยหรือแสดงกิริยาอะไรถึงฮูหยินเลยสักครั้ง เด็กสาวจึงคิดเข้าข้างตัวเองว่าท่านแม่ทัพนั้น คงไม่ได้เต็มใจ เข้าพิธีแต่งงานอย่างที่ข่าวลือบอก เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงเชื่ออย่างสุดใจว่า ตัวนางนั้นยังคงมีสิทธิ์ในตัวท่านแม่ทัพอยู่ เมื่อวันหนึ่งที่ต้องพบกับผู้ที่เป็นเสี้ยนหนามหัวใจ นางถึงได้กล้าแสดงท่าทางไม่ชอบใจ ให้ฉือฟางอินรับรู้ซึ่งหน้าเช่นนี้
‘หึ ทานป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพแล้วอย่างไร ในตำรารักที่เคยได้อ่าน ก็ยังมีหลายเรื่องพรรณนาถึง ความรักอันหวานชื่น ของบุรุษชั้นสูงกับหญิงสาวที่เป็นอนุภรรยา ส่วนฮูหยินอย่างท่านก็เป็นเพียงภรรยาที่เขาไม่ปรารถนา และมีหน้าที่คลอดทายาทสืบสกุลก็เท่านั้น เช่นนั้นข้าเองก็ยังมีสิทธิ์
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี