แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: มู่เหลียง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-05 22:27:59

แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ฉือฟางอินต้องคิดหาวิธีให้ได้ก่อนว่า นางจะหนีออกจากจวนสกุลฉืออย่างไร และไม่ให้ฉือหย่งหลิงจับได้ เพราะการหนีในครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีไปเดินเที่ยวเตร่ที่ตลาด ในเมืองยามค่ำคืนเหมือนอย่างเคย ที่ถึงแม้เรื่องจะไปถึงหูของฉือหย่งหลิง แต่เขาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าการว่าตักเตือนนางด้วยถ้อยคำร้ายๆ ว่าแม่พันธุ์หมูอย่างนางกำลังทำให้เด็กในท้องเกิดอันตราย อีกอย่างนางจะไม่เสี่ยงหอบครรภ์โตหกเดือนนี่ หนีไปให้ลำบากขึ้นหลายเท่าแน่นอน

สามเดือนผ่านไป...

ในที่สุดฉือฟางอิน ก็สบโอกาสที่จะพาตนเองหนีไปจากฉือหย่งหลิง เมื่อทางวังหลวงมีราชโองการเรียกตัวหั้วชินอ๋องยกกำลังพล  ไปช่วยปราบกบฏที่ชายแดนทางเหนือ และไม่ว่าอย่างไร ฉือหย่งหลิงที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ข้างกายหั้วชินอ๋อง ก็จะต้องเดินทางไปทำศึกครั้งนี้ด้วย และการออกรบแต่ละครั้งนั้นกินเวลานานไม่ต่ำกว่าสามเดือน ระหว่างที่ฉือหย่งหลิงไปออกรบ นางจะต้องหาทางหนีไปจากจวนแห่งนี้ให้ได้ เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่นางได้รับ 

ซึ่งก่อนหน้าที่ฉือหย่งหลิง จะได้เดินทางไปยังเมืองหลวงนั้น ฉือฟางอินก็ได้เจ็บท้องและคลอดบุตรชายออกมา เขาจึงอยู่ทันได้เห็นหน้าลูกคนแรก และตั้งชื่อให้กับทารกตัวน้อยว่าฉือเฟิ่งเฉียน จากนั้นก็พาบุตรชายไปฝากไว้กับแม่นม ที่เขาได้หาเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ไม่ยอมให้ฉือฟางอินได้เห็นหน้าลูก ตามคำที่นางเคยว่าไว้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมาเมื่อไหร่ นางจะไม่เหลียวแลแม้แต่ปลายเล็บ แม้เขาจะรู้ดีว่าที่นางพูดออกมาเช่นนั้น ก็เพื่ออยากที่จะประชดประชันเขา

ที่เขาบอกว่านางก็เป็นแค่แม่หมูแม่พันธุ์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงดูไว้ให้ออกลูกให้เขา แต่ทว่าฉือหย่งหลิงนั้นกลับไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด ในเมื่อนางไม่เคยประพฤติตนอย่างภรรยาที่ดีควรจะทำ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้หน้านางเช่นกัน เมื่อต่างคนต่างประชดกันไปมา สุดท้ายแล้วฉือฟางอินก็ไม่เคยได้พบหน้าบุตรชายเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันที่นางคลอดเขาออกมา สามวันต่อมา ก็ได้เวลาที่ฉือหย่งหลิงจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง พลันในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เขากลัวว่าเมื่อเขาจากไปแล้ว

 เวลาหลายเดือนนี้จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้น ด้วยฝีมือของฉือฟางอินอย่างแน่นอน ครั้นจะพาตัวนางไปด้วย ในสถานการณ์ทำศึกเช่นนั้น ก็เกรงว่าจะเพิ่มความลำบาก ให้กับทหารในกำลังพลคนอื่นๆ และเขาเองก็คงจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มที่นักเช่นนั้น ในคืนก่อนที่จะเดินทาง ฉือหย่งหลิงได้เรียกหัวหน้าคนงานในจวน และแม่นมของเฉียนเอ๋อร์ มาสั่งงานด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง 

“พ่อบ้านหม่า ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่จวน นอกจากหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในจวนของเจ้าแล้ว ข้าขอสั่งให้เจ้าจับตาดูฮูหยินเอาไว้ให้ดี หากนางก่อเรื่องเมื่อไหร่ ให้ส่งคนไปรายงานข้าทันที”

“รับทราบขอรับ ท่านแม่ทัพ”

“ส่วนแม่นมหลี่ ดูแลเฉียนเอ๋อร์ให้ดี อย่าให้เขาได้รับอันตรายเป็นอันขาด”

“รับทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ แต่เอ่อ ... คือว่า”

“อะไรหรือ”

“ถ้าฮูหยิน ต้องการพบคุณชายล่ะเจ้าคะ”

ฉือหย่งหลิง เลิกคิ้วขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแม่นมหลี่ถามขึ้นมา เพราะตลอดสามเดือนหลังจากที่บุตรชายเกิดมา ฉือฟางอินไม่มีความพยายามที่จะเป็นแม่คนเลยสักนิด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาดูหน้าเด็ก ที่นางเป็นคนเบ่งออกมา ฉือหย่งหลิงจึงไม่เคยคิดถึงเรื่อง ที่จะให้ฉือฟางอินได้พบหน้าเฉียนเอ๋อร์ ในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ที่จวนเป็นเวลานานเช่นนี้ ฉือหย่งหลิงใช้เวลาคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงหันไปสั่งการเรื่องนี้กับแม่นมหลี่

“หากนางมาดีก็ให้นางมา แต่แม่นมหลี่จะต้องอยู่ตรงนั้นด้วย ห้ามให้นางอยู่กับเฉียนเอ๋อร์ตามลำพัง และหากที่ตัวนางมีกลิ่นสุรา ห้ามให้นางเฉียดเข้าใกล้เฉียนเอ๋อร์แม้แต่ปลายเล็บ”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”

เช้าวันที่ฉือหย่งหลิงต้องออกเดินทาง ฉือฟางอินที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อมายืนแอบดูเขาผ่านหน้าต่าง ทว่านางกลับไม่รู้เลยว่าคนที่นางเฝ้าดูอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้ว ได้มายืนกอดอกมองนางอยู่ครู่ใหญ่แล้ว จนเมื่อเขาเอ่ยปากพูดขึ้นมานางถึงได้รู้ตัว

“เหตุใดถึงทำท่าลับๆ ล่อๆ เช่นนั้น เจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ”

“ว๊าย! ท ท่าน เข้ามาได้อย่างไรกัน”

“จวนสกุลฉือมีข้าเป็นเจ้าของ เรือนนี้ที่เจ้าอาศัยอยู่ก็เป็นเรือนของสกุลฉือ แล้วเหตุใดข้าจะเข้ามาไม่ได้” 

 ฉือฟางอินเม้มปากกำหมัดกับคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี

“แล้วท่านเข้ามาทำไม มีอะไรกับข้าอย่างงั้นรึ”

“หึ” 

ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ ยามที่ได้เห็นท่าทางและน้ำเสียงไม่พอใจของหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหานาง หญิงสาวที่เห็นสามีเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางน่ากลัวเช่นนั้น นางจึงค่อยๆ ถอยเพื่อจะหลบจากเขา แต่ยังไม่ทันที่จะเดินหนีไปที่ใด ก็ถูกฉือหย่งหลิงคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อน ทำให้ใบหน้าของนาง ชนเข้ากับแผงอกเขาอย่างจัง ส่วนเอวของนางนั้น ก็ถูกเขารั้งกอดเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ยิ่งนางดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดนางแน่นมากเท่านั้น 

หากเป็นคนอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนสกุลฉือ ผ่านมาเห็นภาพนี้เข้า อาจจะคิดไปในแง่ดีที่เห็นสองสามีภรรยา ท่านแม่ทัพฉือหย่งหลิง และฮูหยินฉือฟางอิน คงจะกำลังล่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์  แต่ทว่าความจริงแล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

“นี่ท่าน! ปล่อยข้านะ ไหนท่านบอกว่าจะไม่แตะต้องตัวข้าอีกอย่างไรเล่า”

“ไม่ต้องห่วง ข้าปล่อยแน่ เพราะข้าเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้เจ้านักหรอก แต่ข้ามีเรื่องจะต้องเตือนเจ้าเสียก่อน”

“มีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาสิ เหตุใดต้องทำรุนแรงเช่นนี้”

“ก็เพราะคนอย่างเจ้า พูดดีๆ ด้วยไม่ได้น่ะสิ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ฉือฟางอิน แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่นี่ แต่เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ทำสิ่งใดตามอำเภอใจ หากเจ้าก่อปัญหาขึ้นมาล่ะก็ ข้ากลับมาจัดการเจ้าอย่างแน่นอน อ่อ แล้วก็เฉียนเอ๋อร์ หากเกิดขึ้นอะไรกับเขาเพราะเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”

นั่นคือสิ่งที่ฉือหย่งหลิงต้องการกล่าวกับนาง ก่อนที่เขาจะผลักนางออกแล้วเดินจากไป ฉือฟางอินรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำขู่ บุรุษผู้นั้นทำอย่างที่เขาพูดเอาไว้แน่ แม้ลึกๆ ภายในใจจะเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็จะไม่เปลี่ยนความคิด ระหว่างเขาและนางไม่มีวันเป็นเหมือนสามีภรรยาคู่อื่นได้ สู้นางหนีไปให้ไกลจากเขาเสีย ดีกว่าต้องทนทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ต่อไป

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทส่งท้าย

    “นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 63

    “ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 62

    เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 61

    “แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 60

    “อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่

  • เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้   บทที่ 59

    “เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status