Share

บทที่ 16

ฮั่วหยุนเซียวกระชับวงแขนกอดเฉินมู่แน่นขึ้นอีกนิด และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบที่โอวจินไม่เคยได้ยินมาก่อน “ผมมาช้าไป”

เฉินมู่จุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก พลางเอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะสลบไสลไปในอ้อมแขนของฮั่วหยุนเซียว

“โอวจิน!” ฮั่วหยุนเซียวตะโกนเรียก

โอวจินรีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบทันควัน “แค่หมดสติไปน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

ฮานเฉิงลากประธานจางที่หน้าซีดเผือดให้เดินเข้ามาใกล้ พร้อมถามเสียงนิ่ง “บอสครับ จะจัดการยังไงต่อดี?”

ฮั่วหยุนเซียวหันไปมองประธานจางแวบหนึ่ง แววตาของเขาดำมืดเหมือนคลื่นใต้น้ำ มันลึกจนไม่อาจเห็นก้นบึ้งของความคิด

เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ประธานจางตกใจกลัวจนตัวสั่น เจ้าตัวหมอบลงกับพื้นแล้วเอาศีรษะโขกอย่างเอาเป็นเอาตาย “บอสฮั่ว! บอสฮั่ว! ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นคนของท่านนะครับ! ผม...”

ฮั่วหยุนเซียวกล่าวเสียงเย็น “ตัดแขน ตัดขาแล้วเอาไปขังคุกซะ”

“บอสฮั่ว! บอสฮั่ว!” ประธานจางร้องไห้ฟูมฟาย แต่ฮั่วหยุนเซียวกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง

เมื่อถึงโรงพยาบาล โอวจินตรวจสอบร่างกายของเฉินมู่อย่างละเอียด พอฉีดยาและพันผ้าพันแผลเสร็จอีกครั้งถึงได้เดินกลับไปที่ห้องทำงาน

ฮั่วหยุนเซียวเบนสายตามองเพื่อนสนิท เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงเท่าที่ควร “เป็นยังไงบ้าง?”

โอวจินถอดเสื้อกาวน์ออก “วางใจเถอะ เป็นแค่แผลภายนอกที่ทำให้คนมองตกใจก็เท่านั้น บาดแผลทั่วร่างรวมกันยังไม่ร้ายแรงเท่าแผลที่ข้อมือเลย”

ฮั่วหยุนเซียวกำแก้วในมือแน่น “มีกี่แผล?”

โอวจินชะงักไป “นั่นฉันไม่ได้นับไว้ อาจจะสิบกว่าแผลมั้ง มีรอยขีดข่วน แล้วก็ยังมีรอยถูกเฆี่ยนกับรอยฟกช้ำอีกด้วย”

พลันบอสฮั่วก็ยกยิ้มเย็น เสียงทุ้มต่ำว่าตอบ “เก่งจริงนะ ตระกูลเฉิน ฝีมือไม่เบาเลย”

ได้ยินแบบนั้น โอวจินก็ถึงกับตัวสั่นงันงก

ฮั่วหยุนเซียวอยู่ในตำแหน่งที่สูงมาเป็นเวลานาน แทบจะไม่มีใครกล้าไปยั่วยุเขาเพื่อรนหาที่ตาย ทว่าครั้งนี้ โอวจินรับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่าอาการบาดเจ็บของเฉินมู่ได้ทำให้ฮั่วหยุนเซียวโมโหเข้าแล้ว

โอวจินเอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา “หยุนเซียว การตัดแขนตัดขาเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดแล้ว ในประเทศที่มีสภาพแวดล้อมแบบนี้ จะทำมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”

แก้วในมือของฮั่วหยุนเซียวถูกวางลงบนโต๊ะหินอ่อนดังเคร้ง เสียงสะท้อนดังกังวานไพเราะราวกับเข็มเงินที่ตกลงสู่พื้น แต่มันกลับทำให้ผู้คนที่ได้ยินหวาดกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ

เสียงเข้มเอ่ยชัดเจน “ฉันแค่ไม่ได้มือเปื้อนเลือดมาสองสามปี แต่มันกลับทำให้คนพวกนี้ลืมไปแล้วสินะ ว่าทั้งบนพื้นและใต้ดินในโลกสีขาวดำของเมืองปินไห่แห่งนี้ ใครกันแน่ที่เป็นราชาตัวจริง!”

บรรยากาศกดดันราวกับว่าห้องทั้งห้องนั้นมืดมนไปหมด ทว่าทันใดนั้นก็มีพยาบาลผลักประตูเข้ามาพลางพูดตะกุกตะกัก “ท่านคณบดีคะ...คุณหนูเฉินฟื้นแล้วค่ะ”

“ฟึบ” ฮั่วหยุนเซียวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาว ๆ ออกจากห้องทำงานไปทันที ส่วนฮานเฉิงเองก็ตามหลังไปติด ๆ

ขายาวเดินเร็วจนมาถึงห้องพักผู้ป่วย หญิงสาวที่อ่อนแรงเมื่อครู่ก่อน ตอนนี้ได้นั่งอยู่บนเตียงและขมวดคิ้วพูดคุยบางอย่างอยู่กับนางพยาบาล

“ฮานเฉิง” จู่ ๆ ฮั่วหยุนเซียวก็พูดออกมา “ให้เวลานายสามวัน ฉันต้องการข้อมูลของเฉินมู่ทั้งหมดตั้งแต่เด็กจนโต”

เดิมทีเขาคิดว่า เฉินมู่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของตระกูลเฉินขนาดนั้น แต่พอมองตอนนี้ ไม่เพียงแค่ไม่ได้รับความรักแล้ว ตระกูลเฉินยังอยากจะทำทุกทางให้เธอตายเลยด้วยซ้ำ!

“ครับ บอส” ฮานเฉิงตอบรับ พลันรีบไปจัดการทันที

ฮั่วหยุนเซียวเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เฉินมู่ยกแก้วน้ำในมือขึ้นแล้วจิบน้ำอึกเล็ก ๆ

ไอน้ำร้อนลอยขึ้นมาจนหน้าเธอแดงไปหมด มันดูงดงามและน่ารักมาก ไม่เหมือนคนที่ฮั่วหยุนเซียวเห็นตอนที่บุกเข้าไปในห้องเลยสักนิด เธอในตอนนั้นเป็นเหมือนนักรบหญิงที่เกือบจะฆ่าผู้ชายรูปร่างกำยำจนตาย

“เฉินมู่” ฮั่วหยุนเซียวเรียกเธอ

เฉินมู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองไปยังฮั่วหยุนเซียว เธอเลิกคิ้วขึ้นพร้อมฉีกยิ้ม “คุณชายฮั่ว คุณยังไม่กลับไปอีกเหรอคะ?”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเดินเข้ามานั่งลงที่ขอบเตียงเพื่อไถ่ถาม “ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม? โอวจินอยู่ที่นี่ ควรให้เขาช่วยตรวจดูอีกสักรอบหน่อยดีกว่า”

เฉินมู่ส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว มันเป็นแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นเอง”

เธอยิ้มออกมาจากดวงตา ไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย

แต่ฮั่วหยุนเซียวกลับปวดใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ปกติผู้หญิงที่พบเจอประสบการณ์เหล่านี้ ในเวลาแบบนี้พวกเธอจะร้องไห้ออกมาด้วยจิตใจที่แตกสลาย แต่สำหรับเฉินมู่แล้ว มันเปรียบเหมือนเรื่องทั่วไปที่พบได้ในกิจวัตรประจำวัน

ในช่วงเวลาที่เฉินมู่ไม่ได้พบกับเขา ในแต่ละวันเธอต้องใช้ชีวิตยังไงนะ?

ฮั่วหยุนเซียวยกฝ่ามืออุ่น ๆ ขึ้นลูบเส้นผมบนศีรษะของเธออย่างนุ่มนวล พูดเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยที่ถูกรังแกมา “สาวน้อย เวลาได้รับบาดเจ็บก็ต้องเรียนรู้ที่จะตะโกนออกมาว่าเจ็บนะ”

เฉินมู่ชะงักอึ้ง ขอบตาเรียวเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

ตั้งแต่เด็กจนโต เธอเติบโตที่เคโจว ตราบใดที่ไม่ได้เสียแขนและขาไป บาดแผลเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นที่ภายนอกผิวหนังเท่านั้น เธอเป็นควีนขององค์กรนะ เป็นถึงตำนานที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใคร เป็นบุคคลที่ไม่สามารถร้องตะโกนออกมาว่าเจ็บได้

ทว่าวันนี้ วันที่เธอฟื้นขึ้นมาเจอกับฮั่วหยุนเซียว ในใจกลับเต้นแรงด้วยความยินดี แถมยังคิดบอกตนเองว่านี่มันสุดยอดจริง ๆ ชีวิตที่ได้รับหลังจากภัยพิบัตินี่แหละ ที่ทำให้เธอมีความสุขมาก

แต่ฮั่วหยุนเซียวกลับพูดเตือนเธอว่า ตอนได้รับบาดเจ็บ เธอควรที่จะตะโกนออกมาเลยว่า เจ็บ

ในใจนั้นก็รู้สึกกล้ำกลืนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็กลัวอยู่หน่อย ๆ

หากสติปัญญาส่วนลึกดันบอกกับตัวเองว่า คนอย่างฉินมู่ไม่ควรที่จะเป็นเช่นนั้น เธอควรที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยความสุขุมเยือกเย็น มั่นคงดั่งขุนเขา แต่ถ้าหันกลับมาคิดถึงคำพูดที่ฮั่วหยุนเซียวเตือนสติเธอ ก็เกือบจะทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาโดนไม่รู้ตัว และทำให้ตัวเธอเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงอ่อนแอ

ผู้ชายคนนี้ เขาพยายามทะลวงเข้ามาในใจเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำลายแนวกำแพงที่ตั้งสูงนั่นให้พังทลายลง

แววตาของเฉินมู่นั้นสว่างไสว เธอยังคงสีหน้าปกติ ก่อนตอบ “แผลเล็กนิดเดียว ไม่เจ็บจริง ๆ ค่ะ”

ฮั่วหยุนเซียวสัมผัสได้ถึงการป้องกันตัวเองจากสายตาเฉียบคมของเธอ ร่างบางตรงหน้าสวมเปลือกหนา ๆ ห่อหุ้มเอาไว้ เชิงไม่อนุญาตให้ใครเปิดเผยความยิ่งใหญ่ของเธอ

แต่ว่าดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้น กลับแสดงออกให้เห็นได้ชัดว่ามันแฝงไปด้วยสีแดงเหมือนกระต่ายน้อยที่ถูกรังแก

เฉินมู่ดื่มน้ำอีกหนึ่งครั้ง จึงถามต่อ “แล้วประธานจางคนนั้นล่ะ?”

ฮั่วหยุนเซียวขมวดคิ้วมองเธอ “คุณอยากจัดการมันเหรอ?”

เฉินมู่พยักหน้า “แน่นอนค่ะ นี่มันเป็นธุระของฉัน แล้วก็เฉินชิงเสวี่ยด้วย ฉันจะจัดการเอง”

ร่างสูงรู้อยู่นานแล้ว เฉินมู่แตกต่างจากคนอื่น เธอไม่ใช่สาวน้อยที่ชอบพึ่งพาคนอื่น เธอคือหมาป่าจ่าฝูง

“ตกลง รอให้คุณดีขึ้นสักหน่อย แล้วผมจะพาคุณไปดูเอง” ฮั่วหยุนเซียวบอก

เฉินมู่ก้มหน้าดื่มน้ำ หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณชายฮั่วคะ ไม่ต้องดีกับฉันขนาดนี้ก็ได้ค่ะ”

ฮั่วหยุนเซียวยกยิ้ม “นี่เรียกว่าดีสำหรับเธอแล้ว?”

เฉินมู่ชะงักไป ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกหรือ! อย่างว่า ถึงเธอจะโตมาขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมาก่อนเลย เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้ มีผู้ชายที่หล่อเหลาและรวยมากมาคอยเอาใจใส่กันอยู่ แบบนี้ยังไม่เรียกว่าดีอีกหรือ?

ฮั่วหยุนเซียวพูดเสริม “งั้นคุณก็รู้สึกว่าผมดีกับคุณมาตลอดเลยสินะ”

แต่คำพูดที่เฉินมู่คิดจะตอบกลับดันติดอยู่ที่ปลายลิ้น จึงทำได้เพียงเงียบแล้วกลืนมันกลับไป จากความคิดของเธอ เธอคิดออกแค่ว่าฮั่วหยุนเซียวอาจจะมีชีวิตที่ขาดสีสัน เขาเลยมาหาความสนุกสนานกับเธอ

เพราะความจริงแล้วฮั่วหยุนเซียวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้นนะ อีกฝ่ายก็มองเห็นแผลเป็นทั้งหมดบนใบหน้าของเธอนี่

แต่ต่อให้ชายคนนี้มาหาความสนุกธรรมดา มันก็ยังทำให้เฉินมู่รู้สึกว่าตัวเองยังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี

ฮั่วหยุนเซียวไม่ได้ดึงดันอะไรมาก เสียงทุ้มเอ่ยเพียง “พักผ่อนเถอะ เรื่องอื่นพวกเราค่อยว่ากัน”

เฉินมู่ร้องตอบ “อื้อ” แล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย

หลังจากชายหนุ่มร่างสูงเดินออกไป มือบางก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากใต้หมอนแล้วเปิดเครื่องติดตาม ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็นศพคนคนนั้นด้วยตาตัวเอง ภายในจิตใจเธอก็ยังไม่ยอมสงบนิ่ง

โอวจินที่อยู่ในห้องทำงานอย่างสุดแสนจะเบื่อหน่ายได้แต่นั่งถอนหายใจ รออยู่นานหลายนาที ในที่สุดฮั่วหยุนเซียวก็กลับมา คนเป็นเพื่อนสนิทจึงรีบเอ่ยถามอย่างหยอกล้อ “หยุนเซียว ดอกรักของนายมันจะผลิบานเร็วไปหน่อยไหม? สนิทมากจนห่างไม่ได้เลยนะ?”

ฮั่วหยุนเซียวส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เปิดแค่ฝ่ายเดียว”

“อะไรคือเปิดแค่ฝ่ายเดียว?” โอวจินถาม

ฮั่วหยุนเซียวคิดไปคิดมาอยู่พัก พลางเอ่ย “เปิดใจแค่ฉันฝ่ายเดียวไง”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งและต้องการปฏิบัติต่อเธอด้วยหัวใจ

แต่ว่าเฉินมู่คนนี้ พอดีกับเธอแบบโจ่งแจ้งเกินไป การป้องกันตัวของเธอก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มักจะถอยออกพร้อมเว้นระยะห่างอย่างเงียบ ๆ ทำให้ฮั่วหยุนเซียวปวดหัวอยู่เล็กน้อย

โอวจินถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง เป็นถึงบอสใหญ่ผู้สง่าผ่าเผย กว่าจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนก็ยากเย็นแสนเข็ญ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้จะไม่สามารถทำให้คนอีกที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยเริ่มเปิดหูเปิดตาและเปิดใจให้ตัวเองได้ น่าแปลกเสียจริง?

ถ้าไปบอกใครว่าเป็นพี่น้องกับคุณชายโอวผู้เชี่ยวชาญด้านความรักนี่มันจะน่าขายหน้าเกินไปแล้ว เอาล่ะ ถึงเวลาที่เขาต้องออกโรงไปบ่นจู้จี้เรื่องคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ของการช่วยชีวิตคนในวันนี้เสียหน่อยแล้ว!

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status