“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย
“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ
“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”
“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน
“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”
“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”
“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพคะ แม้จะแต่งงานแล้วหรือไม่แต่งก็จับมือทักทายได้เพคะ” สิ้นเสียงเจียวซินทั่วทั้งท้องพระโรงก็มีเสียงอื้ออึงแสดงถึงความแปลกใจ
“แปลกยิ่งนัก เอาเถิดบอกกล่าวเขาเถิดว่าแคว้นของเรายินดีที่พวกเขามาเยือน มีสิ่งใดเจรจาสามารถพูดคุยได้” จากนั้นในท้องพระโรงก็เงียบลงเพื่อพูดคุยเจรจาการค้ากับชาวตะวันตกที่ต้องการนำสินค้าต่างแดนมาขายทั้งยังต้องการซื้อสินค้าจากแคว้นเฉินกลับไปอีกด้วย
“กราบทูลฝ่าบาท ทางนั้นเสนอว่าจะแบ่งปันกำไรให้เราสี่ในสิบส่วน เพียงแค่เรายอมให้เรือสินค้าของพวกเขาเทียบท่าเพคะ”
“สี่ส่วนหรือ…แล้วตามปกติแล้วเขาขายได้กำไรเท่าไรเล่า”
“เคยขายได้สูงถึงหนึ่งพันตำลึงทองต่อเรือหนึ่งลำเพคะ หากเขาขายได้หนึ่งพันตำลึงทอง เราจะได้ส่วนแบ่งสี่ร้อยตำลึงทองโดยมิต้องทำสิ่งใดเลยเพคะ”
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ หากเราขอรับกำไรแค่สองส่วนแต่ขอให้เขาลดราคาขาย ลงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านจะได้ของที่ราคาถูกลง” องค์รัชทายาทเฉินเฟยฉีเสนอแนวทางช่วยลดราคาขายลง
“อืม ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร หากจะรับกำไรเพียงสองส่วน”
“ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“เช่นนั้นก็กล่าวตามนี้เถิดเจียวซิน” องค์ฮ่องเต้กล่าวบอกเจียวซินที่ทำหน้าที่ส่งสาร นางจึงรีบแปลความบอกกล่าวทางราชทูตทันที
“ทางราชทูตกล่าวว่าจะลดราคาของแต่ละชิ้นลงยี่สิบในร้อยส่วนเพคะ” ขุนนางน้อยใหญ่กำลังคำนวณราคาของอยู่ในใจ ไม่เว้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้
“ถ้าเป็นราคาของจริงจะลดเท่าไหร่หรือนี่” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวขึ้น
“เอ่อ หากท่านทั้งหลายนึกภาพมิออก ข้าจะยกเอาปิ่นเงินมาเป็นตัวอย่าง ปิ่นเงินมีราคา 20 ตำลึงเงิน ท่านจะได้จ่ายเพียง 16 ตำลึงเงินเท่านั้น นั่นคือลดไป 4 ตำลึงเงิน กราบทูลฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่าข้อเสนอนี้เราได้ประโยชน์มากว่าเสียประโยชน์เพคะ” เจียวซินกล่าวอธิบายเพิ่มเติมและแสดงความเห็นของตนลงไป จนหลายคนอึ้งกับการคำนวณที่รวดเร็วของนางมิได้
“อืม เอาตามนั้นเถิด” เจียวซินจึงจัดการเจรจาและนำหนังสือสัญญาถวาย แด่องค์ฮ่องเต้ ทั้งยังมีการเจรจาการค้าในอีกหลายเรื่องซึ่งแคว้นเฉินได้ผลประโยชน์จากการเจรจาครั้งนี้อยู่ไม่น้อยจนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามจึงเสร็จสิ้น คณะราชทูตเดินทางกลับในทันที
“วันนี้ลำบากเจ้าแล้วสะใภ้ข้า ฮ่าๆ กงกงมอบรางวัลให้สะใภ้ข้า” ฮ่องเต้ เฟยหลงปราบปลื้มกับความสำเร็จในครานี้เป็นอย่างมาก
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ของรางวัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่พระชายาของ ท่านอ๋องสามเป็นผ้าแพรสิบทับ เครื่องประดับจากหยกมันแพะห้าชิ้น เงินรางวัลห้าสิบตำลึงทอง และที่ดินว่างเปล่าติดจวนอ๋องสามอีกหนึ่งผืนพ่ะย่ะค่ะ” เจียวซินตกตะลึงกับของรางวัลที่มากมายเช่นนี้
คุ้มค่ากับหนึ่งเดือนที่เสียไปกับการเตรียมตัว
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เจียวซินก้มคำนับต่อองค์ฮ่องเต้ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรงเฟยเทียนจึงพาเจียวซินเข้าเฝ้าฮองเฮาหลี่หนิงเฟิง
“หุบยิ้มเสียบ้างเถิด ใครผ่านไปมาจะหาว่าข้ามีชายาวิปลาส” เฟยเทียนเอ่ยเย้าชายาของตนอย่างอดไม่ได้ ก็นางเอาแต่ยิ้มแก้มแทบจะปริแตก มองดูก็รู้ว่าพอใจกับของรางวัลมากเท่าใด
“ท่านจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสักหนึ่งชั่วยามมิได้เลยหรือ”
“หึๆ ประเดี๋ยวจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ อาจจะมีรัชทายาท เฟยเฟิ่งและหนิงหลงอยู่ด้วย จำพวกเขาได้หรือไม่”
“จำรูปร่างหน้าตามิได้เพคะ รู้เพียงนามและสถานะเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นใคร เสด็จแม่อาจพูดขัดหูเจ้าไปบ้างอย่าได้นำมาใส่ใจมากนัก เสด็จแม่ของข้าแข็งนอกอ่อนใน วาจาร้ายกาจแต่ก็ใจดีไม่น้อย” ไม่นานเฟยเทียนและเจียวซินก็เดินมาถึงตำหนักที่ประทับของฮองเฮา ไม่ทันจะก้าวเข้าไปในตำหนักก็มีเด็กชายตัวน้อยวิ่งมาชนเจียวซิน
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ะ เด็กน้อยเจ้าเจ็บที่ใดหรือไม่” เจียวซินรีบคว้าเด็กชายขึ้นมาสำรวจจนทั่ว พอได้สตินางก็เริ่มคิดได้ว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้คงจะเป็นองค์ชายเฉินหนิงหลงมิผิดแน่ จึงรีบกล่าวขอโทษทันที
“ขออภัยด้วยเพคะองค์ชาย”
“มิเป็นไย แล้วเจ้าเป็นคายจึงมาที่นี่ด้าย” เสียงเล็กดูเย่อหยิ่งพูดขึ้น
“อะแฮ่ม!!” เฟยเทียนกระแอมขึ้นมาขัดจังหวะการไต่สวนขององค์ชายตัวน้อย
“อ๊ะ…คารวะพี่สามพะยาค่า” องค์ชายตัวน้อยเอ่ยคารวะผู้เป็นพี่ชาย
“นางเป็นชายาของข้า นามว่า จางเจียวซิน มาเถิดข้าจะอุ้มเข้าไปด้านใน ทุกคนคงรออยู่แล้วกระมัง” เฟยเทียนกำลังจะย่อตัวลงอุ้มน้องชาย แต่ทว่า...
“ให้พระชายาอุ้มได้หยือไม่พะยาค่า” หนิงหลงจ้องมองไปที่เจียวซินไม่ละสายตา สายตาเย่อหยิ่งก่อนหน้าลดลงไม่น้อยเมื่อรู้ว่านางคือชายาของพี่ชาย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากอุ้มองค์ชายเพคะ ขอหม่อมฉันอุ้มได้หรือไม่เพคะ” เจียวซินที่รักเด็กเป็นทุนเดิม พอเห็นองค์ชายที่น่าตาน่ารักน่าชังจึงอยากเล่นด้วย
“อืม แต่เขาตัวหนักมาก หากหลังเดาะข้าจะไม่เรียกหมอหลวงให้หรอกนะ” เฟยเทียนอุ้มหนิงหลงส่งให้เจียวซิน
“ม่ายหนัก น้องม่ายหนักพะยาค่า” องค์ชายน้อยโบกไม้โบกมือว่าตนไม่หนัก
“ไม่หนักเพคะ หม่อมฉันอุ้มองค์ชายได้ทั้งวันเลยเพคะ” เจียวซินหันไปหยอกล้อกับองค์ชายน้อย
“งั้นพระชายาต้องอุ้มน้องท้างวัน”
“ได้เพคะ แต่องค์ชายเรียกหม่อมฉันว่าเจียวซินก็ได้เพคะ”
“เจียวซิน เจียวซิน”
“เพคะ คิกๆ” เฟยเทียนที่มองเด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งหยอกล้อกันดังเคยพบกันมาแต่ชาติปางก่อนแล้วถอนหายใจหนัก นี่มิมีผู้ใดสนใจเขาเลยใช่หรือไม่ เขายังมีตัวตนในสายตาอยู่หรือไม่
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบเข้ากับฮองเฮา รัชทายาท และองค์หญิงเฟยเฟิ่งรออยู่แล้ว เห็นดังนั้นเจียวซินจึงวางองค์ชายลงเพื่อที่จะกล่าวถวายพระพรต่อฮองเฮา รัชทายาทและองค์หญิงองค์ชาย“มิต้องมากพิธี ขึ้นมานั่งเถิด”“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเจียวซินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก็มีร่างเล็กพยายามปีนขึ้นมานั่งบนตัก เจียวซินจึงอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาบนตัก“หนิงหลงเจ้าจะรบกวนพระชายาเกินไปแล้ว” องค์หญิงเฟยเฟิ่งที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นกล่าวเตือนน้องชาย“เจียวซินอุ้มน้องท้างวัน ท้างวันเลย”“ได้ยินว่าตกน้ำตกท่าจนวิปลาส หายดีแล้วหรือ” ฮองเฮาหลี่กล่าวถามเจียวซินป๊าป! เข้าให้ หน้าชาไปครึ่งหน้าแล้วกระมัง“หายดีแล้วเพคะ มีเพียงความจำที่หดหายไปเพคะ”“หากความจำเจ้าหดหายไปแล้วเป็นผู้เป็นคนส่งเสริมสวามีเช่นนี้ ก็ภาวนะ อย่าให้ความจำมันกลับมาเลย”ป๊าป! ชาทั้งหน้าแล้วหล่ะตอนนี้“แหะๆ เพคะ หม่อมฉันก็คิดเห็นดังนั้นเพคะ” เจียวซินยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้“จริงสิ รู้ตัวผู้บงการเหตุลอบทำร้ายพวกเจ้าหรือยังน้องสาม” องค์รัชทายาทเฟยฉีกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันทีมิให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่านี้“หากจะคุยเรื่องนี้ก็เข้าไปคุยในที่ห้องทำงาน กำแพงกั้นยังมีหู* อ
“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพ
และแล้วช่วงเวลาที่คณะราชทูตจะมาเยือนก็มาถึง ในวันรุ่งขึ้นเฟยเทียนและเจียวซินจะต้องออกไปต้อนรับคณะราชทูตในท้องพระโรง เจียวซินตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะเล่าเรียนการปฏิบัติตน อ่านตำราการค้าต่างๆ มากมาย แต่นางก็กดดันไม่น้อย เพราะหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางอาจถูกใช้เป็นหอกทิ่มแทงท่านอ๋องได้ นางมิอยากให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อน ความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเถียงกันตลอดเวลาก็เถอะ คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักเจียวซินก็เข้าสู่ห้วงนิทรา รุ่งขึ้นเจียวซินตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวปักลายหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) สีเงินแซมทองที่ท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้ เพื่อแสดงถึงโชคลาภ ผลกำไรและผลประโยชน์ เจียวซินผัดหน้าทาปากด้วยตนเองแล้วให้หนิงเออร์ทำหน้าที่รวบผม“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เจียวซินได้ยินเสียงท่านอ๋องดังอยู่ด้านนอกจึงเร่งให้คนสนิทเร่งมือ“เจ้าไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องที” นางกำนัลเดินไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องตามคำสั่งของผู้เป็นนายเฟยเทียนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองเงาสะท้อนขอผู้เป็นชายา“ใกล้เสร็จแล้วเพค
“อะ โอ๊ย…อื้อ~ แน่นเกินไปแล้วเพคะ”“ยังไม่พอ เจ้ารัดข้าแน่นกว่านี้เสียอีก ฮึบ”“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเพคะ พอแล้วๆ ฮื่อออออ”“รอก่อน อดทนไว้ก่อน”เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมของท่านอ๋องทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ มิต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้น คงไม่ผิดจากที่พวกนางคิดไว้เป็นแน่แต่…ผิดจ้ะ! ผิดทั้งหมด! เพราะตอนนี้เจียวซินกำลังนอนเป็นหมอนให้ท่านอ๋องกอดรัดคืน ด้วยท่านอ๋องอ้างว่าเจียวซินใช้แขนและขากอดก่ายจน ท่านอ๋องนอนไม่สบาย นางจึงถูกลงโทษอยู่เช่นนี้ หากมิยอม ท่านอ๋องก็หาว่านางเป็นเด็ก ทำผิดมิรู้จักไถ่โทษ หึ!!! ใครกันแน่ที่เด็ก คิดแต่จะเอาคืนผู้อื่น“พอแล้วเพคะ โอ๊ย~ หม่อมฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”“ได้ๆ แต่ครั้งหน้าข้าจะทำหลายๆ รอบ” เฟยเทียนคาดโทษเจียวซินไว้ จากนั้นจึงลุกออกมาเรียกหาขันทีจิ้นหนาน“พวกเจ้าเข้าไปปรนนิบัติพระชายา หากช้ากว่านี้จะรับสำรับสายเอาได้”“พะ เพคะ” หนิงเออร์ นางกำนัลชีชีและซวนซวนเข้าไปหาพระชายาด้วย สีหน้าแดงก่ำ อาบน้ำ แต่งกายเสร็จจึงพาพระชายาไปรับสำรับที่ห้องโถงของตำหนักใหญ่ เจียวซินถูกหนิงเออร์พยุงให้นั่งลงที่ว่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งนางเองก็มิเ
“หยุดความคิดของเจ้าเสีย ข้าเพียงจะให้เจ้าไปประคบเย็นให้ข้าเท่านั้น”“หม่อมฉันมิได้คิดอันใดเพคะ” เจียวซินเบือนหน้าหนีสายตาคมเพราะอับอายที่ถูกจับได้“หึ อย่างเจ้าคงคิดไปถึงว่าข้าจะบังคับให้เจ้าเสพสังวาสด้วยแล้วกระมัง” เฟยเทียนกล่าวคาดเดาออกไป“นี่ นี่ท่านมีวิชาอ่านใจคนหรืออย่างไร” เจียวซินอึ้งกับคำพูดของเฟยเทียน ไม่น้อย“หึ หากเจ้าคิดได้ว่าข้าจะนำเจ้ามาเป็นนางบำเรอ เรื่องนี้เจ้าก็คงคิดได้ไม่ยาก” เฟยเทียนยิ้มขำกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเจียวซิน“ชิ ข้าเพียงผิดพลาดเล็กน้อย ท่านถึงกับเก็บคำพูดข้ามาใส่ใจถึงเพียงนี้เลยหรือ” ไม่ทันได้ตอบกลับ เฟยเทียนกับเจียวซินก็มาถึงตำหนักของเฟยเทียน ขันทีจิ้นหนานเห็นผู้เป็นนายมากับพระชายา จำรีบเข้าไปต้อนรับ“ยังมิเข้านอนหรือจิ้นหนาน” เฟยเทียนเอ่ยถามขันทีคนสนิท“นายมินอน ข้ารับใช้จะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“หนิงเออร์ของข้าหลับเป็นตาย มิรู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบออกมา คิกๆ” เจียวซินพูดถึงคนสนิทที่บัดนี้คงนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ที่ตำหนัก ขันทีจิ้นหนานยิ้มขำกับคำพูดของเจียวซินพระชายาช่างซุกซนเสียจริง“หึ เจ้ามันดื้อ แอบย่องมากลางดึกเช่นนี้มันอันตราย” เจียวซินเงียบปากลงเ
..“รอดไปได้อีกแล้วหรือ พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร เพียงแค่สตรีผู้หนึ่งยังจัดการมิได้”“ขออภัยขอรับนายท่าน ท่านอ๋องวางคนคุ้มกันพระชายาแน่นหนา คนของเราที่แฝงตัวไปกับนักฆ่าล้วนตายตกไปตามกันขอรับ”“อย่างไรเสียก็ต้องทำให้เหล่าทหารแครงใจกับเฟยเทียนให้ได้ และวิธีเดียวคือฆ่าจางเจียวซิน อย่างน้อยก็ทำให้จางซีห่าวแตกคอกับเฟยเทียน”“ใช้คนของเราที่อยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่ขอรับ”“อืม หากจนหนทางจริงค่อยใช้วิธีนั้น ข้ายังมิอยากเสียคนในนั้นไป” มือหนาหมุนแหวนหยกบนนิ้วอย่างใช้ความคิด..เจียวซินเมื่อกลับถึงตำหนักก็โล่งใจที่ไม่ถูกทำโทษ หนิงเออร์และ นางกำนัลช่วยกันชำระกายให้ผู้เป็นนายจนแล้วเสร็จ เจียวซินจึงได้เข้านอน แต่นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ข่มตานอนก็แล้ว นับแกะก็แล้ว เจียนซินจึงตัดสินใจลุกออกไปเดินเล่น“เห้อ~ กว่าจะออกมาได้” เจียวซินถอนหายใจ เพราะกว่าจะผ่านหนิงเออร์และนางกำนัลที่นอนเฝ้าออกมาได้ก็แทบแย่ นางเดินเตร็ดเตร่ไปจนถึงศาลาริมน้ำหลังเดิม แต่ทว่า“โอ๊ะ…!!!” เจียวซินชะงักงันเมื่อเห็นว่าในศาลามีคนอยู่ และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นท่านอ๋องของจวนแห่งนี้กับอนุถัง อนุคนโปรดของเขา“ขอประทานอภัยเพคะ” เจียวซินรีบเอ