ณ บ้านตระกูลอัครา
“โทษทีนะ พอดีลุงไปตีกอล์ฟกับหุ้นส่วนน่ะ” เสียงชายวัยกลางคนเอ่ยพลางเดินเข้ามายังห้องรับรอง ซึ่งแขกที่มาเยือนคือลูกชายของเขา และคู่พี่น้องเฟียเฟย ทำเอาคนแก่รู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งเพราะเท่ากับว่าข้อเสนอที่เขาได้ยื่นออกไปได้รับการพิจารณาจากคนเป็นลูก และว่าที่สะใภ้คนโปรดเรียบร้อยแล้ว “เฮอะ ยังมีเรี่ยวแรงออกไปตีกอล์ฟได้อยู่สินะ” หมิงว่าทำเอาคนเป็นพ่อเขวี้ยงถุงมือสำหรับใส่ตีกอล์ฟไปทางลูกชายด้วยความหมั่นไส้ หลังประกาศเรื่องงานหมั้นสู่สาธารณชนไปแล้วเฟียจึงได้เสนอให้ทั้งสองเข้ามาที่บ้านอัคราอีกครั้งเพื่อคุยให้เป็นเรื่องเป็นราว “ที่แรกที่ได้ยินว่าเจ้าหมิงเป็นฝ่ายขอหมั้นลุงก็ว่ามันเกินความคาดหมายแล้ว แต่ยัยหนูเฟยเองก็ตอบตกลงด้วยอีก...ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีของตาแก่คนนี้จริง ๆ” ผู้อาวุโสที่สุดในบ้านเอ่ยพลางหัวเราะพอใจในผลงานการหาลูกสะใภ้ให้ลูกชายในครั้งนี้เอามาก ๆ คราแรกก็คิดว่างานหมั้น หรือแม้พิธีแต่งงานที่เขาหมายมั่นคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เป็นแน่ ทว่าก็กลับผิดคาดเพราะหมิงดันเป็นออกปากประกาศในงานแถลงข่าวไปเสียอย่างนั้น แม้จะเป็นเพียงการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าก็ตาม แต่นี่ก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายล่ะนะ “งั้นเรื่องงาน..” “ค่อยจัดหลังกลับมาจากสัมมนาของบริษัทก็ได้ครับ” หมิงเอ่ยตัดบทคนเป็นพ่อทันที ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกคัดเคือง หรือไม่พอใจอะไรแม้แต่น้อย “ได้สิ เอาที่สะดวกได้เลยนะ...ถ้างั้นสัมมนาครั้งนี้แกก็พายัยหนูเฟยไปด้วยเป็นไง?” คำพูดของตาลุงทำเอาคนที่ถูกกล่าวถึงชะงักไปพลางหันสายตาไปจ้องหน้าคนข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีทีท่าคัดค้านหรือไม่อยากพาไปด้วย “ครับป๊า” “แต่ว่า..” “หรือมึงไม่กล้า” พอเฟยจะออกปากก็กลับถูกคนข้าง ๆ พูดดักทางเอาไว้ซะก่อน เขาจึงมองจ้องกลับไปด้วยความไม่พอใจ “ก็ดีเหมือนกันครับ ผมจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” เฟยคลี่ยิ้มออกมาทว่าสายตากลับจิกกัดเจ้าคนดักทางอย่างไม่วางตา ผิดกับอีกสองคนที่บัดนี้กำลังนั่งมองทั้งสองคนนั้นอย่างเอ็นดู ˜ หลายวันต่อมา.. ณ โรงแรมต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง รถหรูถูกขับมาจอดยังหน้าโรงแรมแห่งซึ่งเป็นสถานที่จัดสัมมนา เฟยก้าวเท้าลงจากรถพลางเงยหน้ามองสำรวจความหรูหราของที่แห่งนี้ “ต่างจังหวัดมีโรงแรมหรูขนาดนี้ด้วยแฮะ” ยัยหนูเฟยพึมพำออกมา มือก็คว้าเอาโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก “เคยได้ยินแต่บ้านนอกเข้ากรุง นี่กูเพิ่งจะได้เห็นคนกรุงกลายเป็นพวกบ้านนอกเหรอเนี่ย” เสียงพูดของอีกคนเอ่ยขึ้นหลังลงจากรถตามมา “ชิ” เฟยไม่ตอบโต้ทำเพียงแค่เบะปากแล้วหันกลับไปชื่นชมบรรยากาศสุดหรูของสถานที่ต่อ ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปด้านในเพื่อทำการเช็กอินเข้าที่พัก “นี่ค่ะ” พนักงานยื่นคีย์การ์ดให้กับคนทั้งสองยัยหนูเฟยถึงกับจ้องมองอีกครั้งเพราะเห็นว่าได้รับมาแค่หนึ่งอัน “ทำไมได้แค่ห้องเดียวล่ะ?” “กูไม่ได้แจ้งเพิ่มห้องน่ะ” หมิงว่าแล้วหันมาจ้องหน้าทำเป็นนิ่งไม่สนใจอีกฝ่าย “งั้นขอเปิดห้องใหม่ครับ” “ต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะคะ ตอนนี้ห้องเต็มหมดแล้วค่ะ” พนักงานสาวกล่าวอย่างละล่ำละลัก ด้วยเพราะเกรงจะถูกต่อว่า “นอนห้องเดียวกับกูนี่แหละเตียงตั้งใหญ่ หรือว่า...มึงกลัวจะอดใจไม่ไหว” หมิงพูดเว้นวรรคประโยคไปห้วงหนึ่งก่อนจะโน้มคอเอาตัวเองเข้ามาบังพนักงานที่อยู่ตรงหน้าเฟยแล้วพูดประโยคหลังด้วยเสียงแผ่วเบา ทำเอาคนถูกท้าเดือดพล่านขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะโกรธที่วันนี้ตนเองไม่มีห้องจะอยู่หรอกนะ แต่แค่โมโหที่เขามักถูกอีกคนชักจูงด้วยคำพูดยั่วยุบ้าบอของคนตรงหน้านี้ต่างหาก แม้รู้ว่าเป็นการยั่วยุก็ตามแต่จะให้มองข้ามแล้วทำเป็นหงอก็ไม่ใช่เรื่องหรือเปล่า.. “หึ นอนก็นอนสิ” เฟยเตรียมจะยื้อแย่งคีย์การ์ดจากอีกคนมา ทว่ากลับถูกมือหนาชูขึ้นเหนือหัวจนตัวเขาเองก็ยังเอื้อมไม่ถึง ˜ เมื่อเข้ามาในห้องเฟยก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งกับความใหญ่โต และหรูหราของบรรดาของตกแต่งกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่ครบครัน ยัยหนูถึงกับทิ้งกระเป๋าไว้ยังหน้าประตูแล้วเดินพรวดเข้าไปสำรวจบรรยากาศในห้องนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ ถ้าไม่ติดว่าตนอยู่ในร่างคุณหนูบ้านรวยละก็นะป่านเขาคงได้วิ่งไปกระโดดลงนอนยังเตียงกว้าง แล้วกลิ้งไปมาเพื่อประเดิมซะแล้ว คนที่ตามเข้ามาเห็นกระเป๋าถูกทิ้งขว้างไว้อยู่หน้าห้องจึงจัดการลากมันเข้าที่ แต่พอเห็นร่างของคนตัวเล็กกว่ามีท่าทีตกตะลึงก็พลันอดนึกเอ็นดูเจ้าตัวไม่ได้ “กระปงกระเป๋าทิ้งหมดเลยนะ” “มึงก็ลากเข้ามาสิ...จะบ่นทำไม” เฟยเอ่ยพลางสำรวจพื้นที่ต่อไป ซึ่งจุดใหม่ที่กำลังตื่นตาตื่นใจกลับเป็นห้องน้ำที่กว้างขวางโอ่อ่า ภายในนั้นมีอ่างน้ำตั้งอยู่ตรงกลาง ทว่ากำแพงที่กั้นระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำกับเป็นแค่กระจกสีใส “เอ่อ...แบบนี้แล้วจะอาบน้ำยังไงอะ” เฟยถามพลางหันมามองหน้าหมิงอย่างกังวลใจ หมิงที่เห็นดังนั้นก็หลุดขำออกมาก่อนจะเดินไปที่แผงสวิตช์ไฟแล้วกดปุ่มหนึ่งในสามทำให้กระจกฝ้าลงจนกลายเป็นสีขาว “ทำไมกลัวว่าตัวเองจะต้องแก้ผ้าอาบน้ำให้กูดูงั้นเหรอ?” “...” จริงดังคาดทว่าจะให้พูดออกไปก็เสียเชิงไอ้เฟยหมดสิวะ “มึงต้องไปห้องประชุมไม่ใช่เหรอ...รีบไปสิ!” เจ้าตัวเปลี่ยนเรื่องโดยเอาจุดประสงค์หลักที่อีกคนมาที่นี่มาเป็นข้ออ้าง พร้อมกับจับให้ร่างหนาหันหลังแล้วดันให้เดินไปยังประตู “ยังไม่ถึงเวลาเลยนะ” “ถึงไม่ถึงก็รีบ ๆ ไปเถอะน่า พอขึ้นเป็นประธานแล้วคนอื่นต้องมานั่งรอมึงคนเดียวหรือไง” เฟยดันหลังอีกคนออกนอกประตูไปแล้วคว้าลูกบิดปิดอัดหน้าคนร่างสูงทันที ˜ เวลาดำเนินผ่านไปการนอนเล่นอยู่ที่ห้องทำเอายัยหนูเฟยรู้สึกเบื่อเป็นบ้า คราแรกคิดว่าตนจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ บ้าง แต่กลายเป็นว่าตนได้แค่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้องนี้เพียงเท่านั้น “โอ๊ยย! เบื่อ ๆๆ ทำไมมันน่าเบื่อขนาดนี้วะ” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ พลางวางมือถือที่เล่นเกมจนแบตลดเหลือ 15% แล้วม้วนตัวเข้าไปในผ้าห่มกลิ้งเล่นจนมันยับยู่ยี่ไปหมด ครั้นจะออกไปข้างนอกก็ดันไม่รู้ทางทำได้เพียงแค่รอให้อีกคนกลับมาจากสัมมนาเท่านั้นหรือไงกันนะ.. แกรก! ลูกบิดหมุนเป็นเสียงทำให้รู้ว่ามีคนกำลังเข้ามา ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจกับภาพที่เห็น “ไหงที่นอนยับแบบนั้นละ หรือว่า...” “อย่าได้คิดอะไรอุบาทว์ ๆ เชียวนะ” คนบนเตียงสวนกลับแล้วผุดลุกขึ้นนั่งบนที่นอนกว้างทันที หมิงเดินเอาเอกสารที่ได้จากสัมมนาไปวางลงที่โต๊ะปากก็ยกยิ้มพลันคิดในหัวไปด้วยว่าเจ้าตัวคงรู้สึกเบื่อที่ไม่ได้ออกไปไหนเป็นแน่ “แล้วนี่มึงต้องกลับเข้าไปอีกป่ะ?” “ไม่อะ เข้าอีกทีก็พรุ่งนี้เลย” หมิงตอบพลางแกะกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้นถึงข้อศอก “งั้นพรุ่งนี้ขอไปด้วยนะ อยู่ห้องแม่งโคตรน่าเบื่ออะ” “สัมมนาเขาคุยกันแต่เรื่องงานนะ” “รู้น่า...แต่ก็ต้องมีช่วงสันทนาการคลายเครียดให้ผู้เข้าสัมมนาบ้างแหละ” คำพูดเฟยทำเอาหมิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ตอนแรกคิดว่าอีกคนจะโวยวายที่ต้องมานอนรอเขาอยู่ภายในห้องซะแล้ว แต่นอกจากไม่โวยวายแล้วยังเสนอตัวขอไปเข้าร่วมสัมมนาเพื่อแก้เบื่อซะอย่างนั้น “บอกไว้ก่อนนะ...ถ้าไปแล้วก่อเรื่องกูเอามึงตายแน่” “คร้าบ ๆ ดุฉิบหาย...ไม่รู้ว่าเป็นอีนิกม่า หรือเป็นหมากันแน่” “แต่หมาอย่างกูก็เป็นว่าที่เหล่ากงมึงนะ” หมิงว่าโดยที่เจ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาหาอีกฝ่ายแล้วใช้นิ้วเขี่ยคางยัยหนูเฟยเล่น “เหล่ากง?” “นี่มึงไม่รู้ความหมายเหรอ?” พอรู้ว่ายัยน้องไม่รู้ความหมายพลันรอยยิ้มของคนอายุมากกว่าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที “มีเชื่อจีน ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้ภาษาพวกนั้นซะหน่อย” ยิ่งเห็นท่าทีของอีกคนที่แสดงออกว่าอยู่เหนือกว่าก็ยิ่งทำให้ยัยตัวเล็กรู้สึกหงุดหงิดหมั่นไส้คนตรงหน้ามากขึ้นพลันก็นึกว่า.. ‘อย่าให้ถึงทีกูนะ...พ่อจะเล่นให้ไปไม่เป็นเลยคอยดู’ โปรดติตามตอนต่อไป..“หรือมึงไม่อยาก?”แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่ทว่าแรงปรารถนาเองก็มีมากพอสมควร“เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะไม่ได้ทำแบบนี้แล้ว”ขณะเฟยกำลังก้มหน้าลงไปใช้ปากช่วยทำให้คนพี่อยู่นั้นกลับหลุดถ้อยคำที่ทำให้หมิงถึงกับต้องหยุดค้างไปกลางคัน“อีกหน่อยจะไม่ได้ทำ? หมายความว่าไง?”หมิงถามทวนอีกครั้งพร้อมกับช้อนคางคนด้านล่างให้เงยหน้าขึ้น ทั้งสองจ้องตากันอยู่สักพัก ก่อนจะเป็นยัยน้องเองที่เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาแล้วผุดลุกขึ้นนั่งข้างกายหมิง“กูตัดสินใจว่าจะไปเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ”ราวกับฝันที่หมิงวาดไว้พังลงตรงหน้า เมื่อเฟยเอ่ยออกมาถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่เขาเองก็ไม่ได้คิดถึงมันมาก่อน“ความจริงกูตั้งใจว่า...หลังหย่าค่อยไปน่ะ แต่ตอนนี้คุณลุงเขาไม่ได้เร่งรัดอะไรแล้วไง กูก็เลย...อยากใช้โอกาสนี้รีบไปก่อนที่เขาจะไม่อนุญาต”ช่วงที่ผ่านเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนั้น เฟยก็รู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ ที่ตัวเองมีต่อหมิงแล้ว นั่นไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวั่นไหวแต่เป็นความรู้สึกชอบ เป็นห่วง คิดถึงจนสามารถเรียกได้ว่ามันเป็นความรักได้เลยเพียงแต่เฟยไม่รู้ว่าอีกคนคิดเช่นไร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากรู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกอะไรกับตัวเองหรือไม่ เพราะเฟยกลั
ณ คอนโดแห่งหนึ่งย่านชานเมือง“นอนห้องนี้แล้วกัน”หวังเดินนำไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง พลางเปิดประตูแล้วบอกให้อีกคนเข้าพักที่นี่ เฟยได้แต่ทำว่าง่ายทว่าสายตากลับพยายามสอดส่ายมองว่ามีบริเวณไหนบ้างที่ตนจะสามารถหลบหนีออกไปได้ก่อนหน้านั้นโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ถูกลียึดไว้แล้วส่งให้หวังไปเรียบร้อยแล้ว การจะติดต่อกับคนภายนอกจึงถูกตัดไป“ทะ ทำไมระเบียงเป็นกระจกปิดตายล่ะครับ? แบบนี้ได้อึดอัดตายกันพอดี” สายตากวาดไปรอบห้องแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าระเบียง ที่ปกติตามคอนโดทั่วไปจะสามารถเปิดออกได้“กูสั่งให้คนเอาประตูเลื่อนออกน่ะ มึงจะได้หนีไปไม่ได้ไง”เรื่องนี้หวังคงคิดมาอย่างดี เพราะแม้ว่าเขาจะรู้จักเฟยคนนี้ดีแค่ไหน ทว่าคนตรงหน้านี้กลับดูแตกต่างราวกับคนละคน ซึ่งเขามั่นใจว่าถ้ามีช่องทางให้หนีได้ละก็ไม่ว่าจะระเบียง หรือแค่หน้าต่างโง่ ๆ เจ้าตัวก็คงสามารถหนีตนไปแน่นอน“หึ เฮียกะจะขังไว้ที่นี่เลยสินะครับ?”“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่จนกว่างานแต่งนั่นจะยกเลิกไปน่ะ”ยามนี้เฟยคิดถึงหมิง คิดถึงเฟียสุดหัวใจ ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะสามารถตามรอยจากมือถือ และหาที่อยู่ของเขาเจอหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องหาหนทางด้ว
ณ คอนโดแห่งหนึ่งย่านชานเมือง“เข้าไป! พวกมึงจับมันดี ๆ สิวะ!” ลีตะโกนออกคำสั่งให้ลูกน้องที่หวังส่งไปลักพาตัวเฟยมา ให้นำเข้ามาในห้องพักย่านห่างไกลจากการตามหาของหมิง และเฟียสภาพยัยหนูเฟยที่ถูกนำตัวเข้ามามีแต่รอยช้ำจากการถูกตบถูกทำร้าย และมีเลือดออกที่บริเวณมุมปากหวังที่ได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมาดู ทว่าก็กลับต้องชักสีหน้าเมื่อเห็นสภาพของคนน้องไม่เป็นไปตามที่ตนกำชับ“กูสั่งไปแล้วเหรอ...ว่าห้ามใครทำร้ายเฟย!” รอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจในตอนแรกเปลี่ยนกลับมาเป็นโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ใครใช้ให้มีปากดีใส่กูล่ะ อีกอย่างก็เพราะมันเสือกโทรหาหมิงไงล่ะ ดีนะที่กูจับได้” นายเอกของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้คีพความเป็นนายเอกอีกต่อไป สีหน้าหงุดหงิด และรังเกียจ ทุกแสดงออกมาจนหมดเฟยได้เห็นอีกมุมของทั้งสองคนจากที่ต่างออกไปมาก เมื่อก่อนที่มักเห็นทั้งคู่เป็นคนสุภาพ แต่บัดนี้ไม่มีแม้แต่คราบของตัวละครที่เขาดูมาก่อนเลยสักนิด“พวกมึงกลับไปได้ล่ะ โดยเฉพาะมึงไอ้ลี...อย่าคิดนะว่ามึงจะเอาเหตุผลเหี้ยอะไรนั่นมาอ้างแล้วกูจะปล่อยมึงไป ถ้าไม่ติดว่ามึงยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง...มึงได้ตายห่าอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว!”หวังกระชากคอเสื้อลีเข้า
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 วันก่อน..˜“เฟยนอนหรือยัง เจ๊เข้าไปหาได้ไหม?”เฟียพยายามเคาะเรียกน้องชายหลังจากที่เธอไล่ให้เพื่อนสนิทกลับไปก่อน เพราะอยากให้ทั้งสองฝ่ายอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกัน ซึ่งไม่นานเฟยก็เป็นฝ่ายเดินมาเปิดประตูให้ร่างบางเดินนำพี่สาวเข้าไปด้านใน ก่อนจะนั่งลงบนเตียงหลังกว้างด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ...บอกเจ๊ได้ไหม?”เฟียเดินไปนั่งลงข้าง ๆ โอบไปยังไหล่ของเฟยพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้คาดคั้น“เรื่องมันยาวอะเจ๊ แต่สรุปสั้น ๆ เลยก็คือลีมันจ้างคนมาทำร้ายตัวเองเพื่อใส่ร้ายเฟย แล้วหยางกับหมิงก็เชื่อ”เฟยเล่าเพียงแค่นั้น ทว่าเฟียก็พอจะเดาสถานการณ์ที่เหลืออยู่ออก เธอต่อยมือลงบนที่นอนเพื่อระบายโกรธ ซึ่งไม่ได้โกรธที่ลีทำแบบนั้น แต่เธอโกรธที่ตัวเองไม่ดื้อตามน้องชายไปด้วย เพราะอย่างน้องเธอนี่แหละที่จะสามารถเป็นพยานยืนยันได้ว่าเฟยไม่ได้เป็นคนทำ“เจ๊ขอโทษนะ ฮึก” เฟียขอโทษน้องชายเสียงสั่ง เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปกป้องน้องชายผู้เป็นที่รักได้“ขอโทษทำไม เจ๊ไม่เกี่ยวซะหน่อย” พอเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หันไปโอบไหล่เล็ก ๆ ของพี่สาวพลางลูบเบา ๆ เพื่อปลอบ“เจ๊จะไปบอกไ
“ยกเลิกงานแต่งไปซะ”หลังประโยคนั้นบรรยากาศกลับเงียบลงทันตา เฟยนิ่งคิดว่าที่อีกคนนัดตนมาแล้วพูดเช่นนี้เพราะอะไรกันแน่“หึ แล้วกูต้องทำตามที่มึงพูดด้วยเหรอ?” ยัยหนูเฟยสวนกลับกลอกตาทำเหมือนไม่ใส่ใจฟังที่ลีบอก พลางยกขาขึ้นมาไขว่ห้างทำราวกับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร“ไม่แปลกใจหน่อยเหรอที่ผมก็มาคุยกับคุณเรื่องนี้น่ะ”แน่นอนว่าเฟยก็ต้องแปลกใจอยู่แล้ว เพียงแต่จะให้แสดงทีท่าเช่นนั้นต่อหน้าฝ่ายตรงข้ามก็อาจเป็นการเผยไต๋ให้อีกคนคาดเดาความคิดของเขาได้“ก็ไม่นี่ แล้วไง...สรุปนี่เรียกมาคุยแค่นี้ใช่ไหม? งั้นกูขอตัว”“ดูท่าจะมั่นใจมากสินะว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้เฮียหยางหันกลับไปสนใจน่ะ...ไม่คิดบ้างเหรอว่าลูกไม้แค่นี้มันอ่อนเกินไปหน่อยน่ะ เฮ้ออ ถ้าเป็นผมคงทำได้ดีกว่านี้” คำพูดยืดยาวทำให้ เฟยต้องหยุดฟังโดยไม่ทันรู้ตัวทำไมกันนี่เขายังแสดงออกไม่พออีกเหรอว่าตัวเองไม่ได้สนใจในตัวของหยางอีกต่อไปแล้ว..“เฮ้ออ พูดจนปากเปียกปากแฉะ มึงก็ไม่เข้าใจอยู่ดีสินะว่าที่กูแต่งงานน่ะ...ไม่ใช่เพราะไอ้หยาง”“แล้วมันเพราะอะไรล่ะ? จะบอกว่าเป็นเพราะคุณชอบเฮียหมิงงั้นเหรอ หึ ๆ อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย เอาตรง ๆ นะที่พวกคุณเล่นละครว่าร
“ช่วยกูแยกเฟยออกจากไอ้หมิงซะ”“หึ ชอบมันมากสินะ” พอได้ยินเช่นนั้นก็ทำเอาลีพ่นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างนึกขบขัน ไม่คิดว่าคนอย่างหวังจะมีความคิดอยากแย่งชิงแบบนี้กับเขาด้วย“คิดว่าคนอย่างมึงมีสิทธิ์จะมาเรียกเฟยว่ามันงั้นเหรอ?”เบต้าหนุ่มยกเหล้าขึ้นจิบเบา ๆ พลางมองแก้วในมือก่อนจะเงยหน้าจ้องไปที่อีกคนด้วยสายตาดูถูก“ทำไม!? มันมีดีกว่าตรงไหน ก็แค่คุณหนูเอาแต่ใจ...”เพล้ง!แก้วถูกเขวี้ยงผ่านหน้าไปยังด้านหลังโอเมก้าหนุ่ม ก่อนมันจะตกกระทบลงพื้นดังสนั่น ทำเอาร่างบางสะดุ้งตกใจหน้าซีดไม่คิดว่าคนสุภาพเช่นนั้นจะมีมุมน่ากลัวแบบนี้ด้วย“ต้องถามว่ามึงมีอะไรเอามาเทียบกับเฟยได้หรือเปล่ามากกว่า”“เฮีย!”“หรือว่าไม่จริง?” ลีถึงกับพูดไม่ออกได้แต่คว้าแก้วค็อกเทลของตัวเองมาดื่มรวดเดียวจนหมด สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก“ถ้าช่วยแล้วจะได้อะไรล่ะ?”“ก็ได้ไอ้หมิงคืนไปไม่ใช่หรือไง?”“ทำไมพูดแบบนั้นอะ! ลีไม่ได้...คิดอะไรกับเฮียหมิงแล้วซะหน่อย” ทำเป็นเฉไฉไปอย่างนั้น ทว่าในใจกลับรู้สึกเต้นเร่าเพราะถูกอีกคนจับทางเอาได้ หากยังด้อแพร่งไม่ให้ความร่วมมือต่อไปดีไม่ดีเรื่องนี้คงได้ไปเข้าหูของหยางอย่างแน่นอน“เฮียจะทำยังไง