หลิวจินหลันกับความรักครั้งที่สอง
บทที่ 3
เพราะพิษไข้ต่างหากล่ะ
อุณหภูมิในช่วงกลางคืนของฤดูใบไม้ร่วงยิ่งดึกยิ่งหนาว หากบนหน้าผากของหลิวจินหลันกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็น ลำคอแห้งผากเหมือนถูกไฟแผดเผา
กลางดึก หลิวจินหลันลุกขึ้นนั่งด้วยอาการสะลึมสะลือ
หลังจากพึมพำว่า “หิวน้ำ...” สายตาก็ปะทะเข้ากับเหยือกน้ำที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ ซึ่งวางอยู่ข้างเตียงพอดี
ทว่าพิษไข้ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ เพียงแค่เอื้อมมือออกไปก็เกิดอาการหน้ามืด นางรีบคว้าจับโต๊ะเพื่อประคองไม่ให้ตกเตียง แต่ทั้งที่คิดว่าคว้าจับโต๊ะเอาไว้แล้ว หากแท้จริงมือของนางกลับปัดทั้งจอกและเหยือกน้ำจนตกแตก
เพล้ง!
เสียงของแตกทำให้แม่นมซุนสะดุ้งตื่น
หญิงท้วมวัยกลางคนรีบลุกจากตั่งแล้วเข้ามาดูตำแหน่งที่เกิดเสียง
“องค์หญิง!?”
“น้ำ ข้าหิวน้ำ...”
“เพคะ หม่อมฉันจะสั่งให้เสี่ยวเจียวนำน้ำเข้ามาให้”
หลังจากมองของที่แตกเกลื่อนบนพื้น แม่นมซุนรีบตอบพร้อมช่วยประคองหลิวจินหลันให้นอนลงบนเตียงดีๆ ทว่าพอสัมผัสร่างกายที่ร้อนจี๋ขององค์หญิง แม่นมซุนก็ร้องอย่างตื่นตระหนก
“แย่แล้ว! องค์หญิงมีไข้...ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะให้เสี่ยวเจียวไปตามหมอหลวงเหิงมานะเพคะ”
ว่าแล้วแม่นมซุนก็รีบวิ่งออกจากเรือนอวี้หลันด้วยท่าทีกระวนกระวาย
จวนแม่ทัพกู้มีทั้งเรือนใหญ่และเรือนเล็กมากมาย องค์หญิงรอง หลิวจินหลัน อาศัยอยู่เรือนแยกชื่อว่าเรือนอวี้หลัน เรือนเล็กที่อยู่ติดกันนั้นคือเรือนสำหรับสาวใช้ขององค์หญิงโดยเฉพาะ เสี่ยวเจียวคือนางกำนัลที่ติดตามมาจากวังหลวง
หลังจากแม่นมซุนสั่งให้เสี่ยวเจียวออกไปตามหมอหลวงเหิง หญิงสาวก็กุลีกุจอแล่นออกไป
ถึงตรงนี้สาวใช้คนอื่นพลอยตื่นตามไปด้วย ไม่นานจากนั้นเรือนอวี้หลันก็อยู่ในสภาพวุ่นวาย
พ่อบ้านกู้เมื่อทราบว่าองค์หญิงหลิวจินหลันกำลังจับไข้ก็ไม่อาจนิ่งเฉย รีบมารายงานแม่ทัพกู้ทันที
จะมากจะน้อย กู้อิ่นมู่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของหลิวจิวหลัน ต่อให้ไม่เคยร่วมหอกันสักครั้งเดียว หรือถูกองค์หญิงเมินเฉยใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ไม่ไยดีคนที่กำลังป่วย
ชายหนุ่มหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับชุดกลางสีขาวแบบลวกๆ ก่อนจะก้าวยาวๆ มายังเรือนอวี้หลัน
“นางไม่สบายหรือ มีใครไปตามหมอแล้วหรือยัง”
กู้อิ่นมู่เข้ามาสอบถามแม่นมซุน น้ำเสียงที่แสดงออกอย่างเป็นห่วงเป็นใยไม่ใช่การเสแสร้ง
“ข้าน้อยสั่งให้เสี่ยวเจียวไปตามหมอหลวงเหิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่นมซุนตอบพลางเช็ดตัวให้หลิวจินหลันอย่างกระวนกระวาย
ทั้งท่าทางร้อนรนผิดปกติทั้งยังระบุชื่อหมอหลวงชัดเจน สองอย่างนี้ทำเอากู้อิ่นมู่เกิดความสงสัยในใจ
เพราะก่อนหน้านั้น หมอหลวงที่มาดูอาการของหลิวจินหลันเป็นหมอหลวงเหิง ดังนั้นพอพบว่าองค์หญิงไม่สบาย ซึ่งอาจเป็นผลพ่วงจากยาพิษของจางลู่ ท่านหมอคนแรกที่แม่นมซุนนึกถึงจึงเป็นหมอหลวงเหิง
รออยู่ราวๆ หนึ่งเค่อ[1] ในที่สุดหมอหลวงเหิงก็มาถึงจวนแม่ทัพ หลังจากตรวจอาการป่วยของหลิวจินหลันเป็นที่เรียบร้อย ก็หันมารายงานแม่นมซุนอย่างลืมตัว
“แม้ว่าพิษ...”
พูดเพียงเท่านั้นก็หุบปากลงอย่างมีพิรุธ เนื่องจากเพิ่งนึกได้ว่าเรื่องพิษต้องปิดบังแม่ทัพ
ทว่ากู้อิ่นมู่กลับไม่ยอมขยับไปทางอื่น ทั้งยังรอคอยอย่างใจจดจ่อ
หมอหลวงเหิงขยับปากอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แม่นมซุนเห็นว่าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วคงปิดบังท่านแม่ทัพอีกต่อไปไม่ได้ จึงหลับตาพยักหน้าให้หมอหลวงเหิงรายงานต่อ
หมอหลวงเหิงกระแอมกระไอ “อาการป่วยขององค์หญิงรองเกิดจากพิษที่ยังตกค้าง แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะจัดยาไว้สองเทียบ ดื่มยาหมด พิษที่ตกค้างก็ไม่หลงเหลือแล้ว”
“พิษหรือ”
กู้อิ่นมู่ถาม
“คือเรื่องนี้...”
หมอหลวงเหิงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ยังพูดไม่ทันจบดี เสียงของหลิวจินหลันก็แทรกขึ้น
“อย่า...อย่าไป”
ไม่เพียงพูดเปล่าๆ นางยันตัวลุกนั่ง มือขาวเรียวเอื้อมออกมาตรงหน้ากู้อิ่นมู่ ทำท่าไขว่คว้าเขาให้เข้ามาใกล้ๆ ทว่าสุดท้าย นางก็คว้าได้เพียงอากาศ
กู้อิ่นมู่หลงลืมตัว ยื่นมือออกมาจับมือของนาง
นางอาจละเหมอเห็นเขาเป็นคนอื่น แต่เวลานี้นางอ่อนแอจากอาการป่วย มีหรือที่เขาจะใจร้ายมองดูอยู่เฉยๆ
“องค์หญิง ท่านนอนลงก่อน”
“ไม่เอา อย่าไปนะ...อย่าไป”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะอยู่กับองค์หญิง”
คำปลอบโยนของกู้อิ่นมู่ทำให้หลิวจินหลันหยุดเพ้อ กระนั้น นางยังคงนั่งมองหน้าของเขาอย่างไม่ละสายตา
“องค์หญิง หน้าข้ามีอะไรหรือ”
“ท่านนี่เอง”
นางพูดพลางจ้องเขาอย่างไม่ลดละ
พอเห็นสามีภรรยาแสดงออกอย่างสนิทสนม ถึงแม้จะเป็นผลมาจากการที่องค์หญิงรองละเหมอเพราะพิษไข้ หากแม่นมซุนก็ไม่อยากปล่อยโอกาสดีๆ หลุดมือ นางดึงชายเสื้อของหมอหลวงเหิง แล้วบอกให้ออกไปคุยข้างนอก
หมอหลวงเหิงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะตามแม่นมซุนออกมา
กู้อิ่นมู่ยังคงจับมือของหลิวจินหลันเอาไว้ พอเห็นว่าขอบตาของนางเริ่มแดงก่ำ ซ้ำหยาดน้ำใสยังผุดซึมกลางเบ้าตา ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงข้างๆ นาง ทั้งยังยื่นมือออกไปช่วยซับน้ำตา พอมือแตะใบหน้าเนียนก็สัมผัสได้ถึงความร้อน
“ตัวร้อนมากจริงๆ”
อันที่จริง หนึ่งปีที่หลิวจินหลันแต่งเข้ามา กู้อิ่นมู่ยังไม่เคยเห็นนางล้มป่วยสักครั้ง เป็นไข้ครานี้สำหรับนางแล้วคงลำบากเอาการ
หลิวจินหลันจ้องมองกู้อิ่นมู่พร้อมขยับปากพูด
“เลือกข้านะ”
“เอ๊ะ...?”
“ขอโทษ...ข้าขอโทษ อย่าไปจากข้าเลย”
คราวนี้หลิวจินหลันเปลี่ยนมาอ้อนวอน
ตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ คำพูดและการกระทำของหลิวจินหลันทำเอากู้อิ่นมู่แปลกใจยิ่งนัก แม้จะบอกว่านางละเหมอ แต่กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร
เขาขมวดคิ้วตริตรอง
“องค์หญิงรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
“อิ่นมู่...ข้าพูดกับกู้อิ่นมู่”
คำตอบอยู่เหนือความคาดหมาย
กู้อิ่นมู่ทำหน้าสุดเชื่อ อ้าปากค้าง เบิกตาโต
[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับ สิบห้านาที
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 38บทพิเศษ วันเวลาล่วงเลยมาอีกเล็กน้อย แม้บาดแผลบนเอวของมู่ฉีหลินยังไม่หายสนิท ทว่าเวลาขยับตัวก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดแล้ว นับตั้งแต่วันที่สุ่ยเซียนพูดความในใจออกมา การใช้ชีวิตของพวกเขายังคงดำเนินไปอย่างปกติ เหมือนการสารภาพครั้งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น นั่นทำให้มู่ฉีหลินเกิดความกังวล กลัวว่าความหวานล้ำในวันนั้นอาจจะเป็นแค่ความฝัน และเป็นเขาเองที่ละเหม่อมเพ้อไปฝ่ายเดียว หลังมื้อเย็นของวันนี้ มู่ฉีหลินเดินออกมานอกจวน ภายนอกอาจดูเหมือนแม่ทัพอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์ ออกมารับลมกลางคืน แต่แท้จริงชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าจะเริ่มสานสัมพันธ์กับฮูหยินของตนอย่างไร อากาศกลางคืนยิ่งดึกยิ่งหนาวเย็น มู่ฉีหลินหมุนปลายเท้า เดินกลับเข้าจวน ภายในห้องนอนของฮูหยินท่านแม่ทัพ สุ่ยเซียนนั่งอ่านหนังสือประโลมโลกตรงโต๊ะกลางห้อง แม้ว่าสายตาของนางจะจดจ่ออยู่บนตัวหนังสือ แต่จิตใจกลับคิดไปเรื่องอื่น หลังจากวันนั้น สุ่ยเซียนกับมู่ฉีหลินก็ยังแยกห้องนอนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างออกไป ทั้งที่พวก
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 37บทส่งท้าย “ม...มู่ฉีหลิน!?” ไม่เพียงถูกโอบกอดด้วยวงแขนอบอุ่น คำสารภาพครั้งที่สองทั้งหนักแน่นทั้งทรงพลัง ทำเอาสุ่ยเซียนถึงกับใจเต้นโครมคราม ตั้งแต่ที่มู่ฉีหลินกลับจวนมา ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แม้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และถึงจะเข้าใจยาก แต่พอทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ สุ่ยเซียนถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร สุ่ยเซียนยกมือขึ้นผลักอกมู่ฉีหลิน เขาส่งเสียง “อึก!” พร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้น สุ่ยเซียนรีบกล่าวขอโทษขอโพย ด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามู่ฉีหลินยังบาดเจ็บอยู่ “ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้เจ็บหนักขนาดนั้น อีกอย่าง เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า...สุ่ยเซียน ข้าขอโทษที่หลอกลวงเจ้า แต่บาดแผลนี้ได้มาจากการปะทะกับกลุ่มโจรพวกนั้นเป็นเรื่องจริง” สุ่ยเซียนไม่ได้ถือสาที่ถูกหลอกลวง ขอแค่เขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กระนั้น ก็ไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านเจ็บหรือไม่” มู่ฉีหลินส่ายหน้าตอบ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 36ความดีของมู่ฉีหลิน ได้รับการตอบแทนแล้ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่มู่ฉีหลินเดินทางลงใต้ ปราบโจรชั่ว และใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง การปราบปรามโจรไม่ได้ลำบากด้านฝีมือ แต่เสียเวลากับการเดินทาง และยังยุ่งยากกับการหาที่ซ่อนตัวของพวกมัน สรุปแล้ว มู่ฉีหลินจัดการกลุ่มโจรชั่วได้อย่างเสร็จสรรพ และเป็นไปตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ทว่า...ถ้าจะพูดถึงปัญหาคงติดอยู่เรื่องเดียว นั่นคือการได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้กับกลุ่มโจรพวกนั้น และเพราะเรื่องนี้เอง ทำให้การกลับเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ มู่ฉีหลินไม่ได้นั่งบนหลังอาชาศึกด้วยท่วงท่างามสง่า แต่ได้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถม้า ทั้งร่างกายและบนใบหน้ายังถูกพันด้วยผ้าพันแผลเต็มไปหมด “แปลกเสียจริง เหตุใดถึงไม่เห็นแม่ทัพอสูรเล่า” “จริงด้วย” “ที่ว่ากันว่า โจรชั่วพวกนั้นเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเห็นจะเป็นเรื่องจริง” “ทำไมรึ” “ก็ถ้าไม่เห็นแม่ทัพอสูรนั่งอยู่บนหลังม้าหน้าขบวนอย่างทุกที อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกโ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 35นั่นเรียกว่าความคะนึงหา ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ณ คฤหาสน์ตระกูลมู่ ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้น ก่อนที่เสียงโกรธเกรี้ยวของมู่ฮูหยินจะดังตามมาทีหลัง “ทั้งที่เพิ่งแต่งภรรยาไม่นาน ฉีหลินเสนอตัวออกไปปรามโจรชั่ว เดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาเป็นเดือนๆ ต่อให้มีปัญหากัน แต่ทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ” ในช่วงบ่ายแก่ๆ ทันทีที่มู่ซื่อจื่อผู้เป็นสามีกลับมาถึงคฤหาสน์ บอกกล่าวเรื่องของมู่ฉีหลินบุตรชายคนรอง ซึ่งอาสาออกไปปราบกองโจรที่กำลังเป็นปัญหาในเมืองทางใต้ตอนนี้ให้ภรรยาฟัง มู่ฮูหยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุบโต๊ะอย่างไม่ยั้งกำลัง ทำให้โต๊ะไม้จื่อถานสีดำที่มีความหนาเกิดรอยร้าวเล็กน้อย “ข้าเองก็กังวลใจไม่แพ้ฮูหยิน อัดอั้นอยากรีบกลับมาบอกโดยเร็ว แต่ที่กรมก็มีงานให้สะสางมากมาย อีกอย่าง ดูจากท่าทาง เหมือนฉีหลินต้องการเร่งออกเดินทางเร็วๆ พวกเราควรทำเช่นไรดี” มู่จื่อซื่อบอกและถามภรรยาในประโยคเดียวกัน “ข้าจะไปถามฉีหลินให้รู้เรื่อง” มู่ฮูหยินลุกพรวด “ช้าก่อนท่านแม่”
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 34หวั่นไหว และ อาการของความเสียใจ สุ่ยเซียนรู้สึกว่ากำลังถูกมู่ฉีหลินหลบหน้าอยู่? ตั้งแต่วันที่เซี่ยงจวิ้นมาเพื่อตัดความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ในตอนนั้นมู่ฉีหลินยื่นมือออกมาทำท่าจะคว้าสุ่ยเซียน สายตาสื่อคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง สุ่ยเซียนตั้งใจว่าหลังกลับเข้าจวนจะถามมู่ฉีหลินให้รู้ความ รวมถึงบอกกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยงจวิ้นที่คลี่คลายแล้ว การพูดคุยกันอย่างเปิดอก บอกกล่าวเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา เป็นการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจในแบบของนาง ทว่า มู่ฉีหลินกลับหนีออกจากจวนไปดื้อๆ หลังจากนั้นก็เหมือนว่าจะคาดกันตลอด มู่ฉีหลินตื่นเช้ากว่าปกติ และออกจากจวนไปก่อนที่นางจะออกจากห้อง หากเช้าวันไหนบังเอิญเจอกันกลางห้องโถง เขาเพียงแค่ทักทายนางด้วยการพยักศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ในช่วงเย็น มู่ฉีหลินจะกลับเย็นกว่าปกติ ซ้ำยังบอกว่ากินมื้อเย็นมาจากบ้านเฉินเจี๋ยซูแล้วเนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษา สำหรับสุ่ยเซียน ดูอย่างไรเขาก็ตั้งใจหลบหน้านางไม่ใช่หรือ จากความสงสัยเริ่มกลายเป็
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 33แผนของเฉินเจี๋ยซู แม้ไม่อยากคิด แต่ก็เคยสงสัยว่าหากสุ่ยเซียนกับเซี่ยงจวิ้นตกลงปลงใจด้วยกันจริงๆ ตนจะยอมรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ถึงสุ่ยเซียนไม่เคยบอกว่าเลือกทางนั้น ลำพังแค่เพียงเรื่องเข้าใจผิดระหว่างมู่ฉีหลินกับนาง เหมารวมเอาความใส่ใจที่นางมอบให้มาคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นความรัก นั่นก็เพียงพอทำให้มู่ฉีหลินรู้ว่าตนเองไม่ได้เข้มแข็งเลยสักนิด ความรู้สึกที่มาไกลทำให้มู่ฉีหลินเจ็บปวดและอับอายทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับสุ่ยเซียน ยิ่งต้องมาทนเห็นนางออกไปพบเซี่ยงจวิ้นก็ยิ่งยอมรับไม่ได้ จึงเป็นฝ่ายหนีออกจากจวนทางประตูหลังเพื่อหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง รู้ตัวอีกที มู่ฉีหลินก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านของเฉินเจี๋ยซูเสียแล้ว ตั้งแต่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เฉินเจี๋ยซูก็ย้ายออกจากตระกูลใหญ่เพื่อมาอยู่คนเดียว ด้วยการซื้อบ้านหลังเล็กในตรอกที่เงียบสงบ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มตัวคนเดียวและรักสันโดษอย่างเฉินเจี๋ยซูหาได้ขาดตกบกพร่องเรื่องอาหารการกินแต่อย่างใด เพราะมารดาของเขามักจะทำอาหารและส่งมาให้ลูกชายอยู่เ