เมื่อมาถึงรถม้า กู้เหยียนฉีก็ก้าวเดินฉับๆขึ้นรถม้าไปโดยไม่มองหน้านาง อีกทั้งใบหน้าก็มึนตึงยิ่งนัก จินฝูถึงกับยกมือเกาศีรษะตนเองคราหนึ่ง พลางคิดในใจว่าอาการไบโพล่าของกู้เหยียนฉีกำเริบอีกแล้วสินะ
หญิงสาวรีบเดินตามเขาขึ้นไปนั่งในรถม้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักรถม้าก็เดินทางออกจากวัดซือหม่ามุ่งหน้ากลับจวนอ๋อง นางลอบชำเลืองมองสีหน้าของกู้เหยียนฉีเป็นพักๆ ก็ดูออกว่าอารมณ์เขาเขาไม่ใคร่จะดีเท่าใดนัก
จินฝูไม่อยากจะยั่วโทสะคนบ้า นางจึงนั่งอยู่เงียบๆ พลางมองดูอันใดไปเรื่อยเปื่อย กู้เหยียนฉีที่เห็นว่าสตรีตรงหน้าตนเอาแต่นั่งเงียบไม่สนใจอันใดทั้งสิ้นในใจก็ เกิดโทสะขึ้นมาทันที
"จินฝู ยามเจ้าอยู่กับข้าช่างปากคอเราะร้ายนัก ปากก็ไม่มีหูรด เถียงข้าคำไม่ตกฟาก แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าไม่ด่ากู้ม่อหลีบ้างเล่า!”
"ห๊ะ?"
จินฝูถึงกับมึนตึบ ที่เขาหน้าบึ้งเหมือนตูดปลาหมึกก็เพราะโมโหที่นางไม่ด่ากู้ม่อหลีอย่างนั้นหรือ ให้ตายเถอะ บ้าหรือไรกัน
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงเอ่ยตอบ
"ท่านอ๋อง ทรงลืมไปแล้วหรือเพคะ ว่าหม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัล ส่วนฝ่ายนั้นเป็นองค์ชาย หม่อมฉันด่าได้หรือเพคะ แล้วอีกอย่าง ท่านอ๋องกับเขาไม่เหมือนกัน ท่านอ๋องภายนอกดูเป็นพวกประสาทกลับ แต่แท้จริงพระองค์เป็นคนดีมาก อีกทั้งยังห่วงใยบ่าวไพร่ หม่อมฉันจึงกล้าสนทนากับพระองค์อย่างสนิทสนม"
“เจ้าด่าหรือชมข้ากันแน่?”
“ชมสิเพคะ ท่านอ๋องหล่อเหลาถึงเพียงนี้”
กู้เหยียนฉีส่งเสียงเหอะคราหนึ่ง แต่ในใจรู้สึกรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงถึงเพียงนี้
ส่วนจินฝูที่เห็นว่ากู้เหยียนฉีคลายโทสะลงแล้ว นางจึงเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ขอบคุณท่านอ๋องมากที่ทรงช่วยเหลือเพคะ"
กู้เหยียนฉีไม่ตอบอันใดเพียงแกล้งมองไปทางอื่น จินฝูเองก็ไม่ถือสา นางกลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สดใส
"ท่านอ๋อง แฮปปี้เบิรด์เดย์ สุขสันต์วันเกิดเพคะ"
กู้เหยียนฉีหันมามองนางพลางย่นหัวคิ้ว
"ภาษาประหลาดอันใดกัน นับวันข้าเริ่มจะไม่เข้าใจเจ้า"
กู้เหยียนฉีพยายามจับใจความในคำพูดของนาง จนกระทั่งเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ผู้ใดบอกเจ้าว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า?"
จินฝูยิ้มกว้าง และบอกว่าพ่อบ้านตู้เป็นคนบอก กู้เหยียนฉีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลอบด่าตาแก่ปากมากนั่นในใจ
จินฝูไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของกู้เหยียนฉี นางเปิดผ้าม่านรถม้าเพื่อชมบรรยากาศโดยรอบอย่างมีความสุข อีกทั้งตั้งใจว่ากลับถึงจวนอ๋องเมื่อใดนางจะทำบะหมี่อายุยืนให้เขากินสักชาม
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบไม่ร้อน จนกระทั่งผ่านป่าไผ่ที่รกครึ้มแห่งหนึ่งๆ อยู่ๆคนขับรถม้าก็หยุดรถม้ากระทันหัน และส่งเสียงร้องเตือนว่ามีนักฆ่า!
เสียงนางกำนัลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จินฝูรีบหันขวับไปมองและพบว่าเหล่านางกำนัลน้อยที่เดินตามหลังรถม้ามาได้ถูกนักฆ่าสังหารไปหมดแล้ว
“ท่านอ๋อง นางกำนัลของเราถูกสังหารหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
พ่อบ้านตู้รีบเข้ามาในรถม้า สภาพของเขาดูไม่ได้เลย โชคดีที่มีไป๋หลางคอยคุ้มกันจึงรอดมาได้ จินฝูตื่นตระหนกมาก นางเคยเจอแต่นักแสดงแสตนอินเล่นบทนักฆ่า แต่วันนี้ได้เจอนักฆ่าตัวจริงนางถึงได้เข้าใจว่ามันน่ากลัวกว่าที่นางคิดมากนัก บรรยากาศก็กดดันเป็นเท่าตัว
"ข้าจะออกไปรับมือกับพวกมัน เจ้าสองคนรออยู่ในนี้ห้ามออกไปข้างนอกส่งเดชเข้าใจหรือไม่!"
จินฝูและพ่อบ้านตู้พยักหน้ารับ พ่อบ้านตู้อายุมากแล้วอีกทั้งไม่มีวรยุทธ์จึงรีบนอนหมอบไปกับพื้นด้วยความหวาดกลัว จินฝูเองก็ใจเต้นระส่ำระสาย นางพยายามตั้งสติ ก่อนจะคิดถึงหน้าไม้ที่ตนเองทำขึ้นมาได้ นางนำมันติดตัวเอาไว้ตลอด เพราะคิดว่าจะเอามายิงนก แต่เมื่อเห็นว่าเขาพานางมาวัดนางจึงไม่ได้ใช้มัน
จินฝูรีบเปิดห่อผ้าที่วางอยู่ข้างกายตนออก ด้านในนอกจากจะมีขนมและของกินแล้วยังมีหน้าไม้ของนางด้วย หน้าไม้นี้เหมาะมือมาก ไม่ได้ใหญ่จนเกินไปพกพาได้สะดวก นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆแง้มผ้าม่านออกดูสถาณการณ์โดยรอบ
ตอนนี้กู้เหยียนฉีกำลังรับมือกับนักฆ่าหลายสิบคน โดยมีองค์รักษ์ลับคอยช่วยจัดการอีกแรงหนึ่ง
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ผ้าม่านที่บังประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก นักฆ่าชุดดำหน้าตาดุดันผู้หนึ่งกำลังจ้องมองพวกนางด้วยแววตาวาวโรจน์ ในมือของมันกำดาบยาวที่ชุ่มไปด้วยโลหิตเอาไว้ในมือ พ่อบ้านตู้หวาดกลัวจนปากสั่นรีบขยับเข้ามาหานางทันที จินฝูแม้จะกลัวมากแต่ก็พยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด ทุกอย่างสำคัญที่สติ หากคนเราขาดสติทุกอย่างย่อมจบเห่เป็นแน่
ดวงตาคู่งามของนางจ้องตอบนักฆ่าอย่างไม่ลดละ แล้วจึงค่อยๆเลื่อนมือไปหยิบขวดเล็กๆใบหนึ่งที่ใส่ผงฮวาเจียวมาถือเอาไว้ ตอนนี้นางไม่มีของป้องกันตัวอันใดมากนัก ย่อมต้องใช้มันแก้สถาณการณ์ไปก่อน!
นักฆ่าจ้องพวกนางเขม็ง พลางเดินเข้ามาช้าๆหมายจะสังหารพวกนางให้ตายในดาบเดียว จินฝูไม่รอช้านางสาดผงฮวาเจียวใส่ใบหน้าของมันทันที นักฆ่าไม่ทันระวังทำให้ผงฮวาเจียวเข้าตาไปเต็มๆมันลืมตาไม่ขึ้นและสูญเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ จินฝูอาศัยโอกาศเหมาะรีบลุกขึ้นและยกเท้าถีบนักฆ่าเต็มแรง จนมันกระเด็นออกมาจากรถม้าทันที กู้เหยียนฉีที่เห็นว่ามีนักฆ่าบุกเข้าไปรถม้าและถูกถีบออกมาจนบาดเจ็บจึงเข้าไปสังหารมันให้ตายในดาบเดียว ก่อนจะหันไปเอ่ยกับองค์รักษ์ลับที่เหลืออยู่ของตน
"แบ่งกำลังส่วนหนึ่งมาคุ้มครองรถม้า!"
เอ่ยจบชายหนุ่มก็ไปรับมือกับนักฆ่าต่อ ด้านพ่อบ้านตู้ก็มองนางด้วยแววตานับถือ
"นางกำนัลจิน เจ้าเก่งดีนี่"
เก่งบ้าอันใด ข้าฉี่จะราดอยู่แล้ว!
จินฝูแม้ภายนอกจะยิ้มแย้มแต่กลับลอบปรารถในใจ นางเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกดูอีกครั้ง พบว่าตอนนี้รอบๆรถม้าของนางมีองค์รักษ์ของกู้เหยียนฉีคอยคุ้มกันอยู่ทำให้นักฆ่าเข้ามาใกล้พวกนางไม่ได้อีก จินฝูมองไปเบื้องหน้าก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น
ยามนี้กู้เหยียนฉีกำลังรับมือกับนักฆ่าถึงห้าคน พวกมันล้อมหน้าล้อมหลังเขาเหมือนสุนัขล้อมกินเนื้อ แต่กู้เหยียนฉีกลับไม่หวาดหวั่น เขาต่อสู้กับพวกมันได้สบายมาก
จินฝูจ้องเขาไม่ละสายตา ก่อนจะพบว่าตอนนี้มีนักฆ่าผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขากำลังจะใช้ดาบแทงเข้ามาที่ด้านหลังของชายหนุ่ม เหล่าองค์รักษ์ก็รับมือกับนักฆ่าคนอื่นๆอยู่จึงไม่อาจปลีกตัวมาช่วยเขาได้ นางคิดจะตะโกนบอกให้เขาระวังตัว แต่เมื่อคิดดูอีกหนนางกลับส่ายหน้าไปมา บางคราการที่นางตะโกนเสียงดังโวยวายนอกจากจะทำให้เขาเสียสมาธิแล้วอาจทำให้นักฆ่าพุ่งเป้ามาที่พวกนางมากขึ้น และกู้เหยียนฉีจะต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังอีก
นางเม้มริมฝีปาก ก่อนจะคว้าหยิบหน้าไม้ของตนขึ้นมา มันก็เป็นเพียงหน้าไม้ธรรมดาไม่ได้ดีเลิศแต่อย่างไร แต่ยามนี้เห็นทีก็มีเพียงหน้าไม้สัปปะรังเคนี่แล้วที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ นางตัดสินใจแน่วแน่พร้อมกับเล็งหน้าไม้ไปที่นักฆ่าผู้นั้น นางสูดลมหายใจเข้าลึก และใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการสังหารนักฆ่า นางไม่เคยฆ่าคน แต่เมื่อสถาณการณ์คับขันเช่นนี้จะมัวลังเลไม่ได้
จินฝูยิงหน้าไม้ออกไปอย่างรวดเร็วลูกธนูจากหน้าไม้ก็แทงเข้าไปที่หว่างขาของมันทันที คนถูกแทงร้องโหยหวน กู้เหยียนฉีที่จัดการนักฆ่าคนอื่นหมดแล้วจึงหันกลับไปสังหารนักฆ่าที่ถูกจินฝูยิงเป้าทันที ก่อนจะมองมันด้วยแววตาที่สมเพชคราหนึ่ง
เมื่อสังหารคนเสร็จแล้วเขาก็หันกลับมามองรถม้า พบว่าตอนนี้จินฝูกำลังถือหน้าไม้เอาไว้แน่น ดวงตาของนางสั่นระริก หน้าตายังตื่นตระหนกไม่คลาย
นางเป็นคนช่วยเขาหรือ!
ด้านจินฝูนั้นก็ยกมือขึ้นตีหน้าผากตนเองคราหนึ่ง มือนางสั่นจึงไม่อาจยิงโดนจุดตาย แต่อย่างน้อยก็ยิงโดนจุดสูญพันธ์นับว่าก้าวหน้าไปขั้นหนึ่ง!
เมื่อเห็นว่าสถาณการณ์ตรงหน้าสามารถควบคุมได้แล้ว นางก็หมดเรี่ยวแรงทันที พ่อบ้านบ้านตู้ที่เห็นเช่นนั้นก็ลนลานรีบคว้าของบางอย่างมาให้นางดม
"เจ้าดมยาหอมสมุนไพรขวดนี้ก่อน จะได้หายใจสะดวกขึ้น สูดเข้าไปลึกๆ!"
จินฝูหลับตาอยู่จึงไม่เห็นของสิ่งนั้นนางสูดเข้าไปเต็มปอดก่อนจะไอออกมาอย่างรุนแรง แล้วจึงหันมาถลึงตาใส่พ่อบ้านตู้
"มันใช่ยาหอมสมุนไพรที่ใดกัน นี่มันฮวาเจียว!"
พ่อบ้านตู้สะดุ้งโหยง ก่อนจะมองขวดที่ตนเองถือในมืออีกครา แล้วจึงยิ้มแห้ง
“ขออภัย ข้าคิดว่ามันเป็นยาหอมสมุนไพร”
“ยาหอมสมุนไพรกับผีน่ะสิ ตาดำข้าไหลมารวมกันแล้วเนี่ย!”
กู้เหยียนฉีจำได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในตอนนั้นเขาและจินฝูยังเป็นเพียงข้ารับใช้และเจ้านาย ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งอันใดต่อกันเลยแม้แต่น้อยอากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อยเลย หลังจากที่เตรียมอาหารมื้อเช้าให้กู้เหยียนฉีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จินฝูก็ตรงมายังห้องโถงใหญ่เพื่อปรนนิบัติเขากินอาหารมื้อเช้า นี่คืองานที่นางต้องทำในแต่ละวัน จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ เมื่อมาถึงก็พบว่ากู้เหยียนฉีตื่นนอนแล้ว ชายหนุ่มกินอาหารเช้าและแบ่งให้นางกินเหมือนกับทุกวันที่เคยทำ จินฝูรู้สึกฟินมาก ท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่นางยังไม่ทันจะไปนอนก็ได้ยินกู้เหยียนฉีเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ตามข้าไปที่ห้องนอนด้วย"เอ่ยจบเขาก็เดินตรงไปรอนางที่ห้องนอนทันที จินฝูที่ได้ยินเช่นนั้นใจก็เต้นถี่ระรัว นางกำมือแน่น พลางครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่นนี่นางกับเขา ต้องทำเรื่องอย่างว่ากันแล้วอย่างนั้นหรือ?!แม้ในใจจะร้องโอดครวญ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธ ในเมื่อนางเป็นคนของเขาแล้ว การที่เขาจะทำอันใดกับนางก็นับว่าไม่ผิด หญิงสาวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้กู้เหยียนฉีกำลังนั่งอยู่บนเตี
วันคืนล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กู้เหยียนฉีและจินฝูก็ได้แต่งงานกัน พิธีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะมีผู้คนมาร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก ก่อนที่เขาและนางจะแต่งงานกัน กู้เหยียนฉีพาจินฝูไปเที่ยวชมสถานที่งดงามและกินดื่มอย่างสำราญใจ นางจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งการแต่งงานครั้งนี้มิใช่การแต่งงานธรรมดา แต่เป็นการสถาปนาการขึ้นครองราชย์ของกู้เหยียนฉีด้วยแม้จะไม่ต้องการสักเท่าไร่ แต่กู้เหยียนฉีรู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว มันคือหน้าที่ของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีจินฝูที่เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา ขอเพียงมีนางในวังหลวงที่น่าเบื่อแห่งนี้ก็งดงามขึ้นมาทันตาหลังจากกู้เยียนฉีขึ้นครองราชย์ กู้ฟานก็สละราชบัลลังก์ เขาใช้บั้นปลายชีวิตไปกับการอ่านตำราและวาดภาพอยู่ที่ตำหนักท้ายวังหลวง ทุกวันผ่านไปอย่างมีความสุข กู้เหยียนฉีเองก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนจินฝูนั้นเป็นเด็กร่าเริงอารมณ์ดี นางมักจะชอบมาเล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟัง ทำให้เขาไม่เหงาเลยแม้แต่น้อยรัชศกฉีปีที่หนึ่ง กู้เหยียนฉีขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งจินฝูเป็นฮองเฮา เหล่าขุนนางไม่กล้าคัดค้าน เพราะฮองเฮาพระองค์ใหม่คือกำลังสำคัญเช่นกันที่ทำให้ฝ่าบาททรงได้ขึ้นค
กบฏตระกูลเจี่ยงถูกสังหารสิ้นแล้ว อีกทั้งราชสำนักยังประกาศความชั่วของพวกเขาให้ราษฏรทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้เจีี่ยงฉยงอดีตแม่ทัพใหญ่ มีใจคิดไม่ซื่อ ลอบวางยาพิษเจ้าแผ่นดิน และลอบสังหารอดีตชินอ๋อง โชคดีที่สวรรค์เมตตาให้อดีตชินอ๋องทรงรอดชีวิตกลับมาได้ และกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้บ้านเมืองได้สำเร็จส่วนเจี่ยงหว่าน อดีตฮองเฮานั้น เพียงเพราะหลงใหลในอำนาจ จึงตบตาฮ่องเต้แต่งเข้าวังหลังมาทั้งที่ตั้งครรภ์บุตรกับชายอื่น และยังฆ่าปิดปากชายคนรักเพื่อไม่ให้เขากลับมาเปิดโปงความเลวทรามต่ำช้าของตน ซ้ำร้ายยังลอบส่งนักฆ่าไปสังหารกู้เหยียนฉีหลายต่อหลายครั้งด้วย กู้ม่อหลีแท้จริงแล้วไม่ใช่บุตรของโอรสสวรรค์ เขาเป็นองค์ชายตัวปลอม ส่วนองค์ชายใหญ่ที่แท้จริงซึ่งมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ในกายคือกู้เหยียนฉี องค์ชายใหญ่ตัวจริงที่ต้องปิดบังสถานะของตนเองเพื่อหาทางเอาตัวรอดและกำจัดคนชั่ว คนตระกูลเจี่ยงมีโทษหลอกลวงเบื้องสูง ให้ขายบ่าวในจวนทิ้งไปเสีย ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง บุรุษให้สังหารทิ้งทั้งหมด ส่วนสตรีให้เนรเทศไปอยู่ที่ชายแดนแร้นแค้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดจะกลับเข้าเมืองหลวงอีกผู้คนที่ได้รับรู้ต
กู้เหยียนฉีเดินเข้าไปในตำหนักที่กู้ฮ่องเต้พักรักษาตัวอยู่ด้วยใบหน้าที่เลื่อนลอย ครั้งนี้จินฝูไม่ได้ตามไปด้วย เพราะอยากให้พ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจกู้ฮ่องเต้ได้สติฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะสำลักควันไฟเข้าไปเป็นจำนวนมาก และยังถูกพิษมาก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างหายของเขาย่ำแย่ลงไปมาก เขาให้นางกำนัลประคองตนนอนเอนพิงหมอนบนเตียง แล้วจึงให้พวกนางออกไปให้หมด ยามนี้จึงเหลือเพียงกู้เหยียนฉีและกู้ฟานเพียงเท่านั้นกู้ฮ่องเต้กระแอมไออยู่ตลอดเวลา เขาพยายามฝืนประคองตนให้ยืนหยัดเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าไปมองกู้ฟานน้องชายของตน"น้องสี่ ขอบใจเจ้ามากนะ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไร้สามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้ แค่กแค่ก"กู้ฟานน้ำตาไหล เขารีบเดินเข้าไปจับมือพี่ชายตนเอาไว้"พี่สาม ท่านเก่งที่สุดแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไมได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ข้าก็รักท่านมาก รักท่านเหมือนพี่ชายร่วมมารดาเดียวกัน"กู้ฮ่องเต้พยักหน้า ก่อนจะหันมามองกู้เหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล กู้ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนแรงรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ไหวมากขึ้นทุกที"ฉีหลาง เจ้ายังโกรธพ่ออยู่หรือ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนตระกูลเจี่ยงตายสิ้นแล้ว เจ้าโกรธพ่อนานอีกสักหน่อย พ่อก
กู้เหยียนฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองกู้ฟานด้วยความสงสัย ด้านจินฝูนั้นคิดว่าเรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันย่อมเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงบอกว่าจะไปรอเขาที่ด้านนอกตำหนักเสียก่อน แต่ทว่ากู้เหยียนฉีกลับยื่นมือของตนมารั้งตัวนางเอาไว้ จินฝูมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยปราดหนึ่ง แล้วจึงพบว่าเขากำลังมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง"เสด็จอา นางเป็นคนรักของหลานเป็นคนที่พวกเราไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรื่องที่เหล่ากองทัพเสริมของเจี่ยงฉยงถูกระเบิดจนล้มตายไปกว่าครึ่ง ก็เป็นฝีมือของนาง"กู้ฟานหันมามองจินฝูด้วยสายตาเอ็นดู"ที่แท้ก็เป็นหลานสะใภ้ของข้าเองหรือ"จินฝูยิ้มให้กู้ฟานอย่างนอบน้อม ตอนที่ได้ยินว่าเขายังไม่ตาย นางแอบตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวต่างๆจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายถึงเพียงนี้กู้ฟานเองเมื่อรู้ว่าจินฝูคือคนสำคัญของกู้เหยียนฉีก็ไม่ได้ระแวดระวังสิ่งใดอีกเขาทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า"ฉีหลาง อารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าคับแค้นใจมาก เจ้าคงรู้แล้วว่าเสด็จพี่คือบิดาของเจ้า อาเองก็มีส่วนผิดเช่นกันที่รู้เรื่องราวทุกอย่างแต่กลับไม่อาจบอกกล่าวกับเจ้าได้"กู้เหยียนฉีกำมือแน่น ใบหน้าฉายแววเย็
กู้เหยียนฉีและจินฝูรีบกลับเข้าเมืองหลวง ก่อนไปยังสั่งให้องค์รักษ์พาครอบครัวของจินฝูและคนในจวนอ๋องกลับเข้าเมืองหลวงโดยเร็ว ส่วนพ่อบ้านตู้และฉินเซียง ซ่งเอ๋อร์ก็เร่งรุดกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนเสียหายบ้างหรือไม่ ระหว่างทางที่กลับเข้าวังหลวง เขาและนางได้พบเจอกู้ม่อหลีเข้าเสียก่อน กู้ม่อหลีจ้องมองกู้เหยียนฉีด้วยความเคียดแค้น เขาไม่มีทางเชื่อว่าตนเองไม่ใช่บุตรของโอรสสวรค์ อีกทั้งยังคิดจะแย่งจินฝูมา กู้เหยียนฉีคร้านจะสนใจคนบัดซบนี่ เขาจึงยิงหน้าไม้เข้าใส่กู้ม่อหลีทันที กู้ม่อหลีไม่ทันระวังทำให้ลูกศรแทงเข้าที่ลำคอ กู้ม่อหลีสิ้นใจตายทั้งที่ดวงตายังเบิกกว่าง ไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นตายของเขาเลยแม้แต่น้อยกู้เหยียนฉีได้เล่าให้จินฝูฟังแล้วว่า กู้ม่อหลีไม่ใช่บุตรแท้ๆของฮ่องเต้ จินฝูตกใจไม่น้อย แต่กลับดีใจมากกว่า คนเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นองค์ชายเลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ถูกสังหารเช่นนี้กู้เหยียนฉีและจินฝูวิ่งไปตามทางเดินในวังหลวงอย่างรีบร้อน เมื่อมาถึงตำหนักมังกรสวรรค์ก็พบว่าในตำหนักกำลังเกิดเพลิงไหม้โหมแรงมาก พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ด้านนอก“ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ด้านใน รีบช