LOGIN[KHAO-PUN’s Talks]
‘จะ จุนแม่ ไก่หวานไม่ไปโรงเรียนวันหนึ่งได้ไหมคะ ไก่หวานอยากรอจุนพ่อ’
‘คุณพ่อกลับมาถึงบ้าน ลูกก็เลิกเรียนพอดีนะคะ...’
‘ยะ อยากรอจุนพ่อ ฮึก... T^T’
ด้วยเหตุนี้วันนี้ลูกสาวถึงไม่ยอมไปโรงเรียน -_-^
แต่ก็เอาเถอะ ฉันเองก็ยังไม่อยากให้ลูกไปเจอโยชิเหมือนกัน เดี๋ยวจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก
พอไม่ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียน วันนี้ฉันเลยปล่อยให้ไข่หวานและตัวเองก็ตื่นสายหน่อย ลงจากชั้นสองในเวลาเกือบเก้าโมงเช้าเตรียมไปร้านเลย แต่ก็ต้องสะดุดกับเสียงลูกสาวหัวเราะเสียงดังมาจากฝั่งห้องอาหาร
“แง้~ จุนพ่อ อย่าจั๊กจี้หนู คิกๆ ฮ่าๆ”
คุณพ่อ?
พี่เวย์กลับมาแล้วเหรอ ไหนเขาบอกว่าจะกลับมาถึงตอนเย็นไง ฉันรีบเดินไปโผล่หน้าดูในห้องอาหาร เห็นลูกสาวตัวน้อยนั่งจุมปุ๊กอยู่บนตักแกร่งของสามี มือข้างหนึ่งของเขากำลังถือช้อนป้อนข้าวลูกโดยที่ยัยเด็กแสบนั่งดีดดิ้นมีความสุขบนไออุ่นของคนเป็นพ่อ
“กลับมาถึงไวจังเลยค่ะ ปั้นเข้าใจว่าพี่จะมาถึงเย็นๆ ซะอีก”
ฉันเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ โน้มตัวมาหอมแก้มลูกสาวต้อนรับวันใหม่ และไม่ลืมที่จะหอมแก้มพ่อของลูกด้วย
“เป็นห่วงลูกเลยรีบกลับมา” เขารู้เรื่องที่ไข่หวานทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียนจริงด้วย “คิดถึงปั้นด้วย” พูดจบริมฝีปากอุ่นก็ทาบเข้ากับปากของฉันอย่างอ่อนโยนก่อนจะผละออก
“ดีเลย งั้นวันนี้ปั้นฝากเลี้ยงลูกด้วยนะคะ วันนี้ลี่กับเบลล์ลาหยุดพร้อมกัน ปั้นต้องเฝ้าร้านคนเดียว” ฉันอธิบายยาวเหยียดยืดตัวเต็มความสูง
“งั้นก็ปิดร้านวันหนึ่งสิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ลูกค้าจะเข้ามารับดอกไม้ตอนบ่าย นัดไว้แล้ว”
คำอธิบายของฉันทำเอาสามีตัวโตหน้าบูดบึ้ง ลูกสาวที่นั่งฟังหน้าสลอนอยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นกลางวงไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จุนพ่อก็ไปช่วยจุนแม่ทำงานสิคะ” ลูกสาวสวยวิญญาณนักจัดการคะยั้นคะยอคุณพ่อสุดหล่อด้วยการเขย่าแขนไม่ยั้ง จนคนตัวโตตัวสั่นตามแรงลูกสาว
“ไข่หวานไม่อยากให้คุณพ่อเล่นเป็นเพื่อนเหรอคะ?”
“ไก่หวานกลัวมีคนมาจีบจุนแม่” ยัยตัวเล็กลุกขึ้นเหยียบตักพ่อ กระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน
แต่หารู้ไม่ว่าฉันเองก็ได้ยินเสียงแจ๋นๆ นั่นเต็มสองหู
“ไก่หวานเคยเห็นคุณอาน่าสงสัยมาที่ร้านด้วย...”
ลูกฉันเป็นบ่างหรือไงเนี่ย -_-
“ไม่มีค่ะ ไข่หวานอย่าพูดไปเรื่อย” ฉันดุลูกที่เริ่มพูดจาเพ้อเจ้อ ดีเท่าไหร่ที่พี่เวย์ไม่ใช่พวกหูเบาเชื่อคนง่าย
“แล้วลูกค้าที่จะเข้ามาเอาดอกไม้บ่ายนี้เป็นใครครับ?”
“...”
ฉันเงียบและไม่สามารถตอบได้ เพราะลูกค้าคนนั้นก็คือคุณอาน่าสงสัยอย่างที่ยัยตัวแสบฟ้องพ่อจริงๆ
แต่เราไม่ได้มีอะไรกันนะ ลูกสาวเขาก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับไข่หวาน แค่อยู่ห้องธรรมดาไม่ใช่ English Program ก็เท่านั้น -_-;
“งั้นคุณพ่อไปช่วยคุณแม่เฝ้าร้านดีกว่า ไข่หวานเล่นกับสโนวี่กับอลันไปก่อนนะคะ”
“ค่ะ ^^”
สโนวี่กับอลัน? ใคร?
ไม่ทันที่จะได้ถามก็ทราบคำตอบเมื่อกวาดตามองในห้องอาหาร ตุ๊กตาจากดิสนีย์แลนด์สองตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ร่วมโต๊ะกินข้าวราวกับแขกรับเชิญ ตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาหิมะ ส่วนอีกตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกสีชมพู
ทำไมจิ้งจอกลินนาเบลกลายเป็นอลัน -_-;
“งั้นน้องไข่ทานข้าวด้วยตัวเองก่อนนะครับ คุณพ่อขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อน” ว่าจบพี่เวย์ก็เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านโดยไม่บอกกล่าว
สรุปฉันต้องรอสินะ...
4SEASON Florist Shop
อะไรทำให้เรามาถึงจุดนี้ก็ไม่ทราบ แต่ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาพี่เวย์ยังไม่หยุดวอแวฉันสักที วันนี้ฉันไม่ได้ขับรถมาเองเพราะใช้บริการพลขับของบริษัทเขา โดยมีเจ้าของบริษัทนั่งเบาะหลังมาด้วยกัน
หน้าร้านดอกไม้ของฉันมีคนขับรถเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ ส่วนฉันก็หนีเขามาจัดดอกไม้ในห้องด้านใน เพราะวันนี้ลูกค้าสั่งดอกไม้เมืองหนาวเป็นส่วนมาก เลยต้องจัดการกับอุณหภูมิให้เหมาะสมจนกว่าลูกค้าจะมารับ
“พี่เวย์! ขอร้องล่ะค่ะ ปั้นทำงานอยู่นะ -*-”
คนตัวสูงยืนกอดซบหน้าจูบแผ่นหลังฉันเล่นไม่หยุด ตอนนี้มือข้างหนึ่งมุดหายเข้ามาใต้เดรสตัวเล็กของฉันแล้วเรียบร้อย ฉันอยากตีสามีตัวเองจริงๆ
“หนูก็ทำงานไปสิ พี่ทำเบาๆ”
สองมือหนาจับจีสตริงของฉันรูดลงไปกองที่ข้อเท้า ชายกระโปรงถูกดึงขึ้นไปกองบนเอวคอดไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันทีที่คนด้านหลังนั่งคุกเข่าลงกับพื้นฉันก็รู้ว่าตัวเองจะเจออะไร
“อ๊ะ...” เผลอจิกปลายเท้าขึ้นด้วยความลืมตัว เพราะถูกลิ้นอุ่นๆ ระบายไปทั่วทั้งพื้นที่อ่อนไหว “ดะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
เวกัสเมินเฉยคำห้ามปรามของฉัน เสียงลามกจากน้ำหวานฉ่ำแฉะค่อยๆ ดังขึ้นหลังจากที่ปากอุ่นโลมเลียอยู่พักหนึ่ง
“อ๊ะ อือ...” สัมผัสจากเรียวลิ้นร้อนทำฉันกัดปากกลั้นเสียงครางเต็มที่ “ขะ ขอร้อง ปั้นขอทำงานสิบนาที...”
“สิบนาทีพี่เลียเสร็จพอดีครับ ทำงานสิ...พี่จะเลียเบาๆ”
บ้าชะมัด...ฉันจะเอาสมาธิจากไหนมาทำงาน
นอกจากเขาจะใช้ปากดื่มด่ำความหวานจากกลีบกุหลาบกลางหว่างขาเนิบนาบ ปากร้อนยังลามมาเลียด้านในขาอ่อนจนฉันสั่นเกร็งไปหมด จำต้องพกสติที่เหลืออันน้อยนิดรีบทำงานลูกค้าให้เสร็จ
กว่างานจะเสร็จขาก็สั่น...
อยากตะกุยหน้าสามีตัวเองชะมัด -*-
“เสร็จแล้วเหรอ...” คนลามกผละริมฝีปากออกจากตรงนั้นมาถามฉัน
“ยะ ยัง ปั้นไม่ได้เสร็จไวขนาดนั้นซะหน่อย...”
“พี่หมายถึงงาน ไม่ใช่หนู...” เขาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจหลังพูดจาจนทำให้ฉันสับสนและเผลอพูดเรื่องน่าอายออกมาได้ “หันหน้าเข้ากำแพงครับ รู้ใช่ไหมว่าต้องอยู่ท่าไหน”
ฉันหันหน้าแนบผนังห้องสีขาว ก้นเนียนถูกมือหยาบฟาดเสียงดัง ‘เพียะๆ’
“อ๊ะ…” อารมณ์ที่มีพลุ่งพล่าน ยิ่งพี่เวย์หันใช้ก้านดอกลาเวนเดอร์ที่วางบนโต๊ะเล่นกับส่วนอ่อนไหวของฉันจนมันแฉะ ตามด้วยใช้มันฟาดลงบนก้นจนตัวฉันกระตุกด้วยความเสียวซ่าน “สะ ใส่เข้ามาเลยค่ะ”
มือของฉันจิกบนผนังห้องสีขาว แอ่นสะโพกรอเขาใจจดใจจ่อ ขาข้างหนึ่งก็ถูกเกี่ยวขึ้นลอยกลางอากาศ ความใหญ่โตสอดใส่เข้ามาจนสุดทางช้าๆ จนจุกแน่นไปหมด
เสียงกระทบกระแทกดังกึกก้องไม่กลัวว่าลูกน้องของตนเองเองจะได้ยิน ส่วนฉันก็ทำได้เพียงยกมือปิดปากกลั้นเสียงครางเท่านั้น
“ทำตัวน่าเอานักใช่ไหม? หึ! มีผู้ชายมาเป็นลูกค้าประจำด้วยงั้นเหรอ มันรู้หรือเปล่าว่าผัวยังไม่ตาย” เขาบ่นพึมพำพร้อมกับออกแรงโถมเข้าหาร่างฉันไม่ยั้งจนเกิดความรู้สึกซ่านกระสันไปหมด
มาเพราะเรื่องที่ลูกสาวเป่าหูจริงๆ ด้วย...
ขี้หึงชะมัด...
“กะ ก็ปั้นสวย หะ ห้ามไม่ได้ ว้าย! อื้อ!”
ฉันล่ะชอบจริงๆ เวลาพูดยั่วโมโหเขาตอนมีอะไรกัน พี่เวย์ช้อนข้อพับอีกข้างฉันขึ้นมาและเปลี่ยนเป็นท่าอุ้มกระเตง เอวสอบขยับเสียงดัง ‘พั่บๆ’ ไม่หยุดจนฉันเสียวซ่านถึงก้านสมอง
“คะ แค่แกล้งเล่น อ๊ะ อื้อ บะ เบาหน่อย ปั้นจุกท้องแล้ว”
คำพูดของฉันไม่เป็นผลแม้แต่น้อย พี่เวย์ยังคงสาดความดุดันเข้าหาจนร่างกายของฉันเริ่มถึงขีดจำกัด มือที่จับบ่าแกร่งจิกแน่นและแอ่นอกเกร็งสะโพกรับความยิ่งใหญ่ของเขาเอาเป็นเอาตาย
“มีน้องให้ไข่หวานดีไหม จะได้เลิกคุยกับตุ๊กตา” เสียงแหบพร่าดังขึ้นแข่งกับจังหวะเนื้อกระทบเนื้อ
สมองฉันไม่รับรู้ว่าควรตอบยังไง ตอนนี้มันเสียวจนได้แต่พยักหน้าและอ้าปากครางไปกับอารมณ์ที่ใกล้ถึงขีดสุด
“ปะ ปั้นไม่ไหว อ๊ะ อ๊า อ๊า!!!”
ร่างเล็กแอ่นขึ้นจนลำตัวโค้ง มือของฉันระบายความรู้สึกออกมาด้วยการฟาดสีข้างเขาหลายครั้งและจิกเล็บลงบนลำตัวของสามี พี่เวย์กดเอวสอบเข้าหาจนตัวเราชิดกัน เขาจูบที่ปากด้วยความดุดันพร้อมกับปลดปล่อยของเหลวอุ่นเขามาจนมันล้นหยดลงพื้น
เราหอบและจูบกันอยู่อย่างนั้น แต่งงานกันมาห้าปี เขาปฏิบัติกับฉันดีขึ้นทุกวันๆ รวมถึงเรื่องเซ็กซ์ วันแรกเร่าร้อนขนาดไหนวันนี้ยิ่งกว่านั้น จนเป็นฉันซะเองที่กลัวว่าจะรับมือความปรารถนาของเขาไม่ไหวเข้าสักวัน
กระดาษทิชชูถูกหยิบมาเช็ดต้นขาด้านในให้อย่างอ่อนโยน ตามด้วยจัดการในส่วนของตนเองและแต่งตัวเรียบร้อยเสร็จสรรพ
“ปั้นเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำสิ พี่เอาดอกไม้ไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ให้”
“ทำไมต้องฝาก...”
“ไปต่อโรงแรม ปั้นคงจะไม่ใจร้ายให้พี่กินแค่รอบเดียวหรอกใช่ไหม” สายตาเว้าวอนของคนตัวสูงทำฉันหัวเราะด้วยความเอ็นดู เขาเหมือนเด็กหิวแล้วมาเกาะประตูขออาหาร
ความจริงตั้งแต่มีลูก เราก็เริ่มใช้บริการโรงแรมกันตอนกลางวันบ่อยครั้ง ยิ่งตอนที่ลูกยังไม่เข้าโรงเรียน เรียกได้ว่าสามีของฉันขับรถมารับไปเช็กอินโรงแรมแทบทุกเที่ยง ส่วนลูกสาวก็ฝากไว้กับพี่เลี้ยงบ้าง เด็กที่ร้านบ้าง
“จะให้ปั้นปิดร้านให้ได้เลยใช่ไหม?”
“บ่นทำไม โดนเอาอยู่ดี…โอ๊ย!”
พี่เวย์สะดุ้งโหยงเมื่อถูกฉันฟาดมือลงบนสีข้างดัง ‘เพียะ!’
ฉันที่เป็นคนตีก็สะดุ้งเหมือนกัน แต่นั่นก็เพราะฝ่ามือข้างที่ตีเขามันมีของเหลวเปื้อนติดมือกลับมา
เลือด!!
“ทะ ทำไม…”
“อ่า…”
มือของฉันตรงไปยังกระดุมเสื้อเชิ้ตสามี แกะไล่ตั้งแต่เม็ดล่างขึ้นมาจนหมดจนได้เห็นสิ่งที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ สีข้างด้านซ้ายมีผ้าก๊อซผืนใหญ่แปะอยู่ แต่ตอนนี้มันชุ่มไปด้วยเลือดจนหาสีขาวไม่เจอ
“พะ พี่ไปโดนอะไรมา…”
════☆♡☆════
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2019 ใครจะคิดว่าเวกัสจะเป็นคนสปอยล์แฟนตัวเองขนาดนี้ เพียงแค่เธอเอ่ยเล่นๆ ว่าอยากมางานครบรอบสามสิบปีของเครื่องประดับแบรนด์อเมทิสต์เป็นของขวัญรับปริญญา อาทิตย์ต่อมาเขาก็ลากเธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมายืนอยู่ในสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลเครื่องประดับและอัญมณีในค่ำคืนนี้ ยอมรับว่าแสงสีส้มของเมืองปารีสตัดกับความมืดของท้องฟ้าทำให้ข้าวปั้นรู้สึกมีความสุขมาก คนตัวเล็กสวมชุดเดรสสีดำขนาดพอดีตัวกับรองเท้าบูทส้นเข็มที่แฟนหนุ่มจัดหาให้ มือเล็กคล้องแขนเขาเดินชมภาพสินค้าที่ถูกจัดแสงถ่ายแขวนตามข้างผนัง ไม่ต่างจากงานแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเครื่องประดับด้วยความตื่นเต้น บ่อยครั้งที่มีชาวต่างชาติเดินเข้ามาทักทายเวกัสด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เธอฟังไม่ออก แต่เดาได้ว่าน่าจะเป็นการคุยเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของแฟนหนุ่ม ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะไม่ก้าวก่ายหรือถามให้เขาอึดอัดใจ “ปั้นชอบชิ้นไหนที่สุดในงานวันนี้?” ข้าวปั้นไม่กล้าตอบ กลัวใจว่าเขาจะควักเงินซื้อให้ แม้จะอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก แต่แฟนอเมทิสต์อย่างเธอรู้ดีว่าม
ความสัมพันธ์ระหว่างเวกัสและข้าวปั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดด นับจากวันนั้นที่ทั้งคู่ศึกษาดูใจกัน ผ่านไปสี่เดือนทั้งสองก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ เวกัสยังเข้านอกออกในบ้านของแฟนสาวเป็นกิจจะลักษณะ แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับพ่อของข้าวปั้น แต่กับผู้เป็นแม่ เวกัสแทบจะกลายเป็นลูกชายคนโตของบ้านไปแล้ว ระยะหลังข้าวปั้นรู้สึกว่าพ่อตนเองกำลังมีความเครียดบางอย่างจากการทำงาน หลายครั้งที่เธอพบว่าพ่อเมากลับมาที่บ้าน ทั้งที่ปกติรองผู้กำกับขจรเดชไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะนอกเวลาหรือในเวลา ในขณะที่ข้าวปั้นกำลังจูงมือแฟนหนุ่มของตนเองเดินชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียน เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นจนต้องหยุดเดินและกดรับกลางคัน “พ่อโทรมาค่ะ ^^” เธอบอกแฟนตนเองว่าใครที่โทรเข้ามาเวลานี้ ข้าวปั้นมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีเรื่องปิดบังปกปิดสร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่าย มีอะไรก็เอามาเล่าให้ฟังหมด ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้เวกัสสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน “ค่ะพ่อ” (ไอ้ปั้น! วันนี้ไม่ต้อง
ผ่านไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ เวกัสเข้านอกออกในบ้านเธอเป็นว่าเล่น ทั้งยังช่วยเธอทำวิจัยจนข้าวปั้นแทบจะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ให้สาแก่ใจกับความเป็นพ่อพระของอีกฝ่าย และแม้รถของข้าวปั้นจะซ่อมเสร็จและออกจากศูนย์เรียบร้อย รุ่นพี่หนุ่มก็ยังขอเป็นคนไปรับไปส่งเธอด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนเย็นเขาต้องมาฝากท้องที่บ้านนี้ประจำจึงอยากให้ข้าวปั้นมาด้วยกันจะได้ประหยัดพลังงาน หล่อไม่พอ รักษ์โลกอีก... แต่เพราะวันนี้พ่อไปเข้าเวรดึก ส่วนแม่ก็ไปช่วยงานศพของคนรู้จัก ดังนั้นที่บ้านจึงไม่มีคนอยู่รอให้รีบกลับไป ข้าวปั้นจึงถือโอกาสชวนคนตัวโตไปฝากท้องที่ผัดไทยกระทะร้อนหลังมหาวิทยาลัยก่อนกลับ ซึ่งเวกัสก็ตามใจรุ่นน้องสาวดังเช่นทุกครั้ง แม้บรรยากาศในช่วงเย็นจะเต็มไปด้วยบรรดานักศึกษามาเดินหาของกินหลังมหาวิทยาลัยกันขวักไขว่ และร้านก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาจนส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไปทั้งร้าน แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อแม้แต่น้อย เวกัสชวนคุยฆ่าเวลาเก่ง เริ่มต้นด้วยการคุยดินฟ้าอากาศ จนมาจบที่ซีรีส์เรื่องที่คนตัวเล็กกำลังติดงอมแงมได้ลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ “ปั
หลังจากรับประทานมื้อเย็นเรียบร้อย ข้าวปั้นก็รีบปลีกตัวขึ้นมาอาบน้ำและลงมือปั่นงานวิจัยตนเองต่อ ข้าวปั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้อุปสรรคเพียงเท่านี้ส่งผลต่อการเรียนจบของตนเอง ติ๊ด! เสียงแจ้งเตือนดังมาจากเครื่องโน้ตบุ๊กสีเงิน ทำเอาคนที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตกใจจนสมาธิกระเจิง แถบแสดงค่าแบตเตอรี่ระบุว่าเหลือพลังงานเพียงสิบสามเปอร์เซ็นต์ ทำให้ข้าวปั้นลุกลี้ลุกลนหาสายชาร์จเพื่อนำมาเสียบกับตัวเครื่อง ไม่มี... จะว่าไปในกระเป๋าเป้ที่ได้มาก็มีเพียงโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่องเท่านั้น หรือพี่เวกัสจะลืมใส่สายชาร์จมาด้วย หญิงสาวชำเลืองสายตามองหน้าจอก็พบว่าตอนนี้คือเวลาเกือบตีสอง เธอทำงานจนลืมง่วงไปเลย โทรศัพท์ส่วนตัวกับนามบัตรที่เขาให้มาเมื่อตอนเย็นถูกนำมากำเอาไว้แน่น ลังเลว่าควรโทรไปหาในยามวิกาลเช่นนี้หรือไม่ แต่หากมัวแต่รักษามารยาท กว่าจะได้สายชาร์จก็อาจจะเป็นวันมะรืน สุดท้ายเจ้าของมือเรียวจึงตัดใจกดเบอร์ตามหน้าบัตร ก่อนจะกดโทรออก...════♡════ -Khaopun Calling- เสียงเรียกเข้าดังเป็นหนที่ส
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย และคณะที่ข้าวปั้นเรียนอยู่เป็นหนึ่งในห้าคณะที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก ดังนั้นเหล่าศิษยานุศิษย์จึงรวมใจกันมางานรำลึกที่คณะจนไม่เหลือที่ให้นักศึกษาปัจจุบันที่จ่ายค่าเทอมได้ใช้สถานที่จอดรถ จุดฝากรถราคาหลักสิบจึงเป็นทางเลือก เพราะอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัยเพียงแค่ข้ามถนน แม้จะไม่มีหลักคาไว้กันแดดกันฝนให้รถก็ไม่เป็นไร รถเธอแข็งแรง แต่แล้วข้าวปั้นก็เห็นข้อเสียของมันหลังจากกลับมาที่รถ “ฉิบหาย!” ใครจะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอจะสบถคำหยาบในที่สาธารณะได้ แต่ฉิบหายจริงๆ เพราะกระจกทึบประตูฝั่งคนขับถูกเปิดทิ้งไว้จนเกือบสุด เธอไม่ได้ลืมมันแน่ๆ เพราะปกติเปิดแอร์ขับรถ คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตื่นตกใจ สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือโน้ตบุ๊กราคาหลักหมื่นหายไปจากเบาะข้างคนขับ “กรี๊ดดดด~!!!” เท่านั้นแหละนักศึกษาสาวแผดร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความโมโหทันที ในนั้นมีวิจัยที่ใช้ทำเป็นตัวจบอยู่ แถมกำหนดส่งคือเทอมนี้! เธอทุ่มเทชีวิตและเวลานอนในการอ่านหนังสือเกือบ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าวปั้นใช้เวลาหลังเลิกเรียน หมดไปกับการตามหารุ่นพี่นักศึกษาปริญญาโทคนนั้นเพื่อคืนเงิน แม้จำนวนเงินจะเป็นเพียงสามร้อยกว่าบาท แต่เธอถือคติยืมเขามาก็ต้องคืน โชคร้ายมากที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาสักนิด แต่เขาหล่อและเป็นใบหน้าที่เธอลืมไม่ลง ต่อให้เห็นแค่เงาก็มั่นใจว่าจำเขาได้ “ไอ้ปั้น แกแน่ใจนะว่ารุ่นพี่คนนั้นแกเป็นคน” ลูกตาลเพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยความระแวง เนื่องจากตัวเธอเองก็ติดสอยห้อยตามช่วยเพื่อนตามหาผู้ชายที่มีลักษณะตามที่เพื่อนกล่าวอ้างมาเกือบสัปดาห์เช่นกัน อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาจะสี่ปีเต็มยังไม่เคยเห็นผู้ชายร่วมคณะคนไหนจะตัวสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเลย แถมยังมาบอกว่าตัวหอม ผิวขาว แขนมีเส้นเลือดเซ็กซีๆ “คนสิ ผีอะไรจ่ายเงินได้” “อ้าว! แกไม่เคยฟังรายการพี่แจ็คเหรอ พี่เอาเงินจ่ายหนี้ ผีเอาเงินจ่ายค่าแท็กซี่” “ถ้าผีจะสภาพคล่องทางการเงินดีขนาดนั้น ฉันก็อยากเป็นผีบ้างเหมือนกัน” ข้าวปั้นเถียงเพื่อนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนอีกฝ่ายกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ “อย่าม







